ฉินอวี้โม่มองบุรุษหนุ่มผู้เข้ามาซ่อนตัวอยู่ใต้เท้าของตนเองก่อนชำเลืองมองชายฉกรรจ์สวมหน้ากากกลุ่มใหญ่ ไม่คิดเลยว่าทั้งที่เพิ่งเข้ามาท่องในโลกมายา นางจะได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ นางเริ่มไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าเมื่ออีกฝ่ายพบตัวบุรุษหนุ่มคนนี้ นางจะยื่นมือเข้าไปช่วยหรือไม่

“หัวหน้า เด็กนั่นหายไปแล้ว”

บังเอิญเหลือเกินที่คนกลุ่มนั้นหยุดลงใต้ต้นไม้ที่นางซ่อนตัวอยู่พอดิบพอดี

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหันมองซ้ายมองขวาและแผ่พลังวิญญาณออกไปรอบตัวครู่ใหญ่ก่อนรายงานผลต่อผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม

ผู้เป็นหัวหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างเย็นชา “เด็กนั่นบาดเจ็บอยู่ ลมหายใจของเขาอ่อนแอมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็อยู่เพียงตัวคนเดียว ข้าเชื่อว่าเขาหนีไปได้ไม่ไกลหรอก ทุกคนกระจายกำลังออกไปค้นหารอบๆ วันนี้เราจะต้องจับตัวเด็กนั่นและกำจัดเขาให้ได้ มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ”

“ขอรับ หัวหน้า”

คนอื่นๆพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงและแยกออกไปในทุกทิศทางเพื่อค้นหาทั่วบริเวณ

ผู้นำกลุ่มนั่งลงพร้อมแผ่พลังวิญญาณออกไปเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ

หลังจากค้นหาเป็นวงกว้างและไม่พบร่องรอยใดๆ คนอื่นๆก็กลับมารวมตัวกันใต้ต้นอีกครั้ง

“หัวหน้า พวกเราไม่พบอะไรเลย บางทีเด็กนั่นอาจจะหลบหนีออกไปไกลแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่ช่วยเขาก็เป็นได้”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้พวกเขากระจายตัวกันค้นหาทั่วบริเวณแล้วและค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีร่องรอยของเด็กหนุ่มผู้นั้น

“นั่นก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน”

ผู้เป็นหัวหน้าพยักศีรษะพร้อมเหยียดกายลุกขึ้นและกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น เรากลับกันก่อนเถอะ ต่อให้เขาหนีไปได้ ตอนนี้เขาก็อยู่เพียงตัวคนเดียว หากเขาคิดจะล้างแค้นล่ะก็ เขาจะต้องกลับมาแน่ เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะเป็นวันตายของเขา”

คนอื่นๆก็เห็นด้วยและหันหลังเพื่อจะเดินไปจากที่นี่

“หืม มีบางอย่างหยดใส่หัวข้า”

จู่ๆบุรุษคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยกมือแตะศีรษะของตนเองโดยสัญชาตญาณ

เมื่อเห็นสิ่งที่หยุดใส่ศีรษะ เขาก็ร้องเสียงแหลมออกมาทันที

“เลือด!”

เมื่อได้ยินคำสั้นๆของบุรุษผู้นั้น หัวหน้ากลุ่มก็เดินเข้ามาเขย่าไหล่ทั้งสองของเขาและยิ้มอย่างเอือมระอา “ก็แค่เลือด เจ้าจะส่งเสียงร้องไปทำไมเล่า?”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ฮ่าๆ อาอู่ ลงมาเถอะ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่ใด”

บุรุษชุดดำเอ่ยขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

บุรุษหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็หน้าซีดเผือดทันที เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าหัวไหล่ของตนเองมีบาดแผลและเลือดที่หยดลงไปนั้นก็เป็นเลือดจากบาดแผลของเขาเอง

หลังจากกัดฟันแน่น เขาก็กระโดดลงจากต้นไม้ทันที

อย่างไรก็ตาม เวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มกระโดดออกไป กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปอย่างไม่มีที่มาและพุ่งตรงไปยังจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้

บุรุษหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า ‘อาอู่’ ไม่ได้อยู่บนต้นไม้อีกต่อไป กระบี่ยาวเล่มนั้นจึงทิ่มแทงผ่านตรงมายังจุดที่ฉินอวี้โม่ซ่อนตัวอยู่

ฉินอวี้โม่อึ้งไปเล็กน้อย นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าในขณะที่บุรุษชุดดำเอ่ยปาก กระบี่เล่มยาวก็พุ่งเข้ามา เพียงแต่นางไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้

ติ้ง!

ด้วยเสียงเบาๆ ฉินอวี้โม่ก็ปัดป้องกระบี่ยาวไว้ได้และมันพุ่งตรงกลับไปหาหัวหน้ากลุ่ม

เมื่อบุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้าเห็นอาอู่ปรากฏตัว เขาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างยิ่ง ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดอะไรออกมา เขาก็สัมผัสได้ว่ากระบี่ที่ตนเองเหวี่ยงออกไปในต้นไม้กำลังพุ่งกลับมาหาตนเอง

เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเหวี่ยงฝ่ามือเพื่อผลักกระบี่เล่มยาวลงพื้น

“ใครซ่อนอยู่ในต้นไม้?”

บุรุษชุดดำเงยหน้ามองบนต้นไม้ขณะสภาวะพลังแรงกล้าแผ่ออกจากร่างของเขาทันที

เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้ากลุ่ม อาอู่ผู้ซึ่งกระโดดลงจากต้นไม้ก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย เขาซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้มาพักใหญ่แล้ว เขาจะไม่ทราบได้อย่างไรหากมีใครอื่นซ่อนอยู่เช่นกัน?

“ฮี่ๆๆ เมื่อครู่กระบี่พุพังของเจ้าเกือบที่จะทำร้ายข้าแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปขณะกระโดดลงจากต้นไม้ไปอยู่ข้างบุรุษหนุ่มนามว่า ‘อาอู่’

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่ปรากฏกายอย่างกะทันหัน อาอู่ก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกถึงผู้ใดที่อยู่บนต้นไม้เลยซึ่งนับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง

มารยาและหานอวี้ก็ไม่รอช้าเช่นกันขณะกระโดดลงมาอยู่ข้างกายของฉินอวี้โม่อย่างใจเย็น

เมื่อเห็นนารีงดงามสองนางปรากฏตรงหน้า บรรดาสมาชิกในกลุ่มคนชุดดำก็อดตะลึงไม่ได้และดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่หัวหน้ากลุ่มก็ถึงกับชะงักค้างเล็กน้อยก่อนเรียกสติกลับคืนมา

“พวกเจ้าเป็นใคร? เป็นสหายของอาอู่งั้นรึ?!”

หัวหน้ากลุ่มมองบุรุษชุดดำคนอื่นๆด้วยแววตาดุดันก่อนหันมามองฉินอวี้โม่ มารยาและหานอวี้ขณะแรงกดดันทรงพลังจากร่างของเขาแผ่ออกไปอย่างเปิดเผย

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำ ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อเลยว่าหัวหน้ากลุ่มชุดดำผู้นี้จะมีพลังพอสมควรและอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดในขณะที่บุรุษชุดดำคนอื่นแต่ละคนมีพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดเป็นอย่างต่ำ

หากอยู่ในดินแดนอ้างว้าง พวกเขาเหล่านี้คงจะเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่พอสมควร

“ไม่ ข้าไม่รู้จักคนเหล่านี้”

ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบทว่าอาอู่เป็นคนที่เอ่ยขึ้นก่อน

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และผู้ร่วมทางทั้งสอง เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาประหลาดใจมิใช่ความงามของสตรี หากแต่เป็นความจริงที่ว่าพวกนางซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ก่อนหน้านี้และเขาไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น อาอู่ก็รู้ถึงพลังความแข็งแกร่งของหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นอย่างดี แรงกดดันทรงพลังของเขาแผ่ไปยังฉินอวี้โม่และสตรีถัดจากนางอย่างรุนแรงทว่าพวกนางกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใดๆ และแม้แต่เจ้าเด็กน้อยนั่นก็ดูจะไม่ได้รับผลกระทบโดยที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

อาอู่คาดเดาได้ทันทีและเขาเชื่อว่ากลุ่มคนทั้งสามไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เพียงแต่บุรุษชุดดำตรงหน้ามาที่นี่เพื่อไล่ล่าตัวเขาแต่เพียงผู้เดียวและเขาไม่มีความคิดที่จะทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย ในความจริงเขาก็สามารถปิดปากเงียบและปล่อยให้บุรุษชุดดำเข้าใจผิด ทว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน

“ไม่รู้จักงั้นรึ?”

หัวหน้ากลุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันความสนใจไปที่ฉินอวี้โม่และ ‘คน’ ทั้งสองข้างกายพร้อมยิ้มกริ่ม “อาอู่เอ๋ย..เจ้าคิดว่ากำลังโกหกใครอยู่งั้นรึ? หากพวกเจ้าไม่รู้จักกัน คนพวกนี้จะซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ต้นเดียวกับเจ้าได้อย่างไร? เมื่อครู่นี้เจ้าก็แค่ต้องการโผล่หัวออกมาก่อนโดยให้คนพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้เพื่อรอโอกาสซุ่มโจมตีพวกข้าใช่รึไม่?!”

เมื่อได้ยินวาจาเป็นตุเป็นตะของบุรุษชุดดำ ฉินอวี้โม่ถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่า ต้องกล่าวเลยว่าเขามีจินตนาการที่ล้ำเลิศจริงๆ การโจมตีพวกเขาจะต้องใช้ความพยายามมากมายถึงเพียงนั้นเลยหรือ?

“ฮ่าๆๆ วะฮ่าๆๆ…”

หานอวี้อดหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขันไม่ได้ มารยาเองก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยเช่นกันด้วยความคิดที่ว่าวาจาของบุรุษชุดดำตรงหน้าช่างน่าตลกจริงๆ

เพียงจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะหนึ่งคนและลูกน้องในขอบเขตจ้าวพิภพประมาณสิบคน ไม่มีความจำเป็นที่ฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสองจะต้องซุ่มโจมตีเลยสักนิด

เมื่อจู่ๆหานอวี้และมารยาหัวเราะออกมา เหล่าคนชุดดำก็งุนงงและไม่เข้าใจ

“เหอะ อย่าเสแสร้งแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ในเมื่อพวกเจ้าเป็นพวกเดียวกับอาอู่ พวกเจ้าก็ควรจะอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ ดีเลย อาอู่จะได้มีสหายร่วมทางไปปรโลกด้วยกัน”

หัวหน้ากลุ่มแค่นเสียงเย็นชาและไม่รอช้าขณะกระบี่เล่มยาวบนพื้นก่อนหน้านี้บินกลับมาอยู่ในมือของเขา

“หลิวจื้อ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือใครภายใต้หน้ากากนั่น อย่างที่ข้าบอกไป ข้าไม่รู้จักคนเหล่านี้ เจ้าไม่ต้องมาอวดฉลาดนักหรอก”

อาอู่มองหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์และกล่าวต่อ “เจ้าคนชั่วช้า เจ้าฆ่าครอบครัวของข้าอย่างเลือดเย็นและยังเสแสร้งทำเป็นปล่อยข้าไป ทว่ากลับส่งคนมาไล่ล่าข้าทีหลัง สำหรับเด็กธรรมดาๆอย่างข้า เจ้าต้องลงทุนทำถึงขั้นนี้เลยรึ?!”

เมื่อได้ยินวาจาของอาอู่ หัวหน้าอีกฝ่ายก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ อาอู่เอ๋ย เจ้ามีปัญญาเป็นเลิศจริงๆ เจ้าคาดเดาแผนการของพวกข้าได้ก่อนแล้ว ทว่าในเมื่อคาดเดาได้ เหตุใดเจ้าจึงยังลงเอยเช่นนี้เล่า? หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี พวกข้าก็คงไม่ต้องกระทำการโหดร้ายเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้าเอง”

ขณะหลิวจื้อกล่าว เขาก็ถอดหน้ากากสีดำของตนเองเผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่น่ามองนัก

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าต้องปิดหน้าปิดตาด้วยหน้ากากนั่น แท้ที่จริงเจ้าก็มีหน้าตาที่น่าเกลียดอัปลักษณ์จนทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวนี่เอง”

เมื่อเห็นใบหน้าของหลิวจื้อ มารยาก็เอ่ยวาจาถากถาง

หานอวี้และฉินอวี้โม่อดหัวเราะกับวาจาเสียดสีของมารยาไม่ได้ และแม้แต่อาอู่ที่ใบหน้าซีดเซียวก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน แม้แต่คนชุดดำบางคนก็ยังกลั้นหัวเราะไม่ไหว

“พวกเจ้าทั้งหมดหุบปากเดี๋ยวนี้!”

เสียงหัวเราะอย่างขบขันของทุกคนทำให้หลิวจื้อหน้าบูดเบี้ยวอย่างที่สุด เขาหันขวับมองมารยาอย่างดุร้ายและกล่าวเสียงดัง “เจ้ารู้ชะตากรรมของคนที่กล้าทำให้ข้าหงุดหงิดใจรึไม่?”

“เจ้าจะใช้ใบหน้าของเจ้าเพื่อทำให้พวกเราหวาดกลัวจนตายรึ?”

หานอวี้ตอบกลับทันควันซึ่งทำให้สีหน้าของหลิวจื้อเหยเกยิ่งกว่าเดิม

“เหอะ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นสหายของอาอู่รึไม่ อย่าคิดว่าวันนี้จะรอดพ้นไปได้ พวกเจ้ากล้าเอ่ยวาจาหยามเกียรติข้า หากข้าปล่อยให้พวกเจ้ารอดชีวิตไป ในอนาคตข้าจะมีหน้าไปพบใครอีก!”

หลิวจื้อแค่นเสียงในลำคอ จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งตรงไปยังมารยา

ตู้ม!

ก่อนที่มารยาจะขยับเขยื้อน อาอู่ผู้ซึ่งอยู่เฉยมาตลอดก็หยิบกระบี่ยาวออกมาขวางการโจมตีของหลิวจื้อไว้ทันที อย่างไรก็ตาม พลังมหาศาลของหลิวจื้อทำให้เขาต้องถอยกระแทกต้นไม้ทันทีและมีเลือดไหลออกจากมุมปาก

“ท่านทั้งสาม หลบหนีไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน หลิวจื้อมาที่นี่เพื่อฆ่าข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

อาอู่เช็ดเลือดจากมุมปากของตนเองและยืนขึ้นพร้อมกล่าวกับฉินอวี้โม่และอสูรทั้งสอง

เมื่ออาอู่มาขวางตรงหน้า มารยาก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อครู่มันเตรียมวางข่ายอาคมเล็กๆไว้ และเมื่อหลิวจื้อเข้ามาใกล้ มันจะแสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์อันน่าทึ่งของข่ายอาคมนั้น ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเข้ามาขวางไว้ก่อน

เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาด้อยกว่าหลิวจื้อมาก ทว่าเขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆและเข้ามาขวางการโจมตีไว้อย่างไม่ลังเล การกระทำอย่างกล้าหาญนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนดีและมีความรับผิดชอบมากเพียงใด

มารยาหันไปสบตาฉินอวี้โม่เพื่อถามความคิดเห็นของนาง

หากนางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ทั้งสามก็จะไปจากที่นี่ทันทีโดยที่ไม่มีผู้ใดคัดค้านได้ ถึงอย่างไรแล้วนางก็เป็นนายใหญ่และมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ เดิมทีนางไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น ทว่าหลิวจื้อไม่ยอมลดละและการกระทำของอาอู่ก็ทำให้นางรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป

“ฮี่ๆๆ เจ้าคิดถูกแล้วล่ะ พวกข้าเป็นสหายของเขา ทว่าหากเจ้าอยากจะฆ่าพวกเรา เจ้าก็ต้องประเมินตนเองก่อนว่ามีความสามารถมากพอรึไม่!”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและเดินไปข้างอาอู่พร้อมมองหลิวจื้ออย่างท้าทายพร้อมส่งยิ้มมุมปากเย็นชา

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ อาอู่ หลิวจื้อและคนอื่นๆก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปและทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

.