ตอนที่ 384 ใช้กำลังปราบปราม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

อาอู่ประหลาดใจไม่น้อย เขาและคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อน เหตุใดจอมยุทธ์ลึกลับจึงกล่าวว่าเขาเป็นสหายของนาง? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นสัญญาณท่าทางของฉินอวี้โม่ที่ส่งมาเพื่อสื่อสารว่าไม่ให้เขาเอ่ยปากพูดอะไร อาอู่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจอมยุทธ์ผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่?

สิ่งที่ทำให้หลิวจื้อแปลกใจคือการที่ฉินอวี้โม่ยอมรับอย่างหน้าระรื่นเช่นนี้

เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะทำตามคำพูดของอาอู่และไปจากที่นี่ก่อน ถึงอย่างไรแล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ของเขาก็มีจำนวนมากกว่าและทรงพลังมาก ซึ่งกลุ่มของฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีสองนางและเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากนิ่งไปชั่วขณะ หลิวจื้อก็เรียกสติกลับคืนมา

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้วก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีก เจ้าเป็นพวกเดียวกับอาอู่ เพราะฉะนั้นก็เชิญลงนรกไปด้วยกันเถอะ!”

หลังจากกล่าวจบ ก้อนแสงก็ปรากฏในมือของหลิวจื้อและพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่

เมื่อเห็นก้อนแสงสว่างจ้านั้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏบนมุมปากของหลิวจื้อ

บัดนี้อาอู่ก็กังวลอย่างที่สุดและเขามองฉินอวี้โม่อย่างอยู่ไม่ติด

“มันอ่อนแอเกินไป”

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของหลิวจื้อที่ว่าฉินอวี้โม่จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านกลับไม่เกิดขึ้น ก้อนแสงของเขาหยุดลงตรงหน้านางอย่างประหลาดราวกับมันถูกจับตัวให้แข็งทื่อและไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก

“เอาคืนไป”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กๆและโบกขยับมือเพื่อส่งก้อนแสงกลับไปปะทะกับหลิวจื้อ

เมื่อก้อนแสงลอยตรงกลับมา ความตื่นตระหนกก็ปรากฏในแววตาของหลิวจื้ออย่างชัดเจน เขาไม่กล้าประมาทและหลบหลีกออกไปอย่างรวดเร็ว

ตู้ม!

ก้อนแสงพุ่งปะทะเข้ากับต้นไม้ในระยะไกลๆก่อนระเบิดจนเกิดเสียงดังสนั่น

จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าต้นไม้หลายต้นในบริเวณนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

ภาพที่เห็นทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำตกตะลึงและถึงกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของหลิวจื้อบิดเบี้ยวเหยเกเช่นกัน เมื่อเขาหันกลับมามองฉินอวี้โม่อีกครา แววตาของเขาก็ระแวดระวังมากขึ้น

บัดนี้อาอู่มองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใครรู้ยิ่งกว่าเดิม ทว่าก็แอบรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ

ดูเหมือนว่าด้วยพลังของฉินอวี้โม่ นางจะรับมือกับหลิวจื้อได้อย่างไม่มีปัญหา

“บัดซบ!”

หลิวจื้อสบถอย่างไม่สบอารมณ์และพุ่งตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ทันที

ตู้ม!

ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและเหวี่ยงฝ่ามือออกไปปะทะกับหัวหน้าคนชุดดำเช่นกัน

ในช่วงเวลานี้ บังเอิญว่านางเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดพอดิบพอดีและยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบพลังในปัจจุบันของตนเอง หลิวจื้อผู้นี้ก็ราวกับถวายตัวมาให้ถึงที่โดยที่นางจะได้ฝึกซ้อมและขัดเกลาฝีมือของตนเอง

เมื่อทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด คนชุดดำคนอื่นๆก็หยุดนิ่งอยู่กับที่โดยที่ไม่ได้จู่โจมอาอู่หรือมารยา

เห็นได้ชัดว่าหลิวจื้อเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและประสบการณ์การต่อสู้ของเขายังไม่ช่ำชองเท่าไหร่นัก ภายใต้การโจมตีไม่กี่กระบวนท่า ฉินอวี้โม่ก็ค่อยๆเป็นฝ่ายได้เปรียบ

“อ่อนแอยิ่งนัก ช่างน่าอายจริงๆ”

หานอวี้อดเอ่ยดูถูกไม่ได้ จากนั้นมันก็หันไปหาฉินอวี้โม่ “ท่านแม่ จัดการเขาให้น่วมไปเลย ทำให้เขาได้เข้าใจว่าหากไม่มีพลังที่แท้จริงก็ไม่ควรออกมาทำตัวโอ้อวดเก่งกาจเช่นนี้ มิฉะนั้นจะถูกฆ่าตายไปเปล่าๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหานอวี้ หลิวจื้อซึ่งกำลังสู้กับฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธอย่างสุดขีด

อดีตนักฆ่าสาวมือพระกาฬเพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและการโจมตีของนางยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ติดขัดส่งผลให้หลิวจื้อเดือดดาลอย่างแท้จริง

“พวกเจ้ามัวแต่ทำบ้าอะไรกัน?! ไปจัดการอาอู่และอีกสองคนนั่นเร็วเข้า!”

หลิวจื้อตะโกนใส่บรรดาคนชุดดำที่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ

เมื่อเหล่าคนชุดดำได้ยินวาจาของหลิวจื้อ พวกเขาก็ไม่รอช้าอีกต่อไปและพุ่งตรงไปโจมตีอาอู่อย่างรวดเร็ว

“หยุดและรอดูการแสดงที่น่าตื่นเต้นเถิด”

มารยากล่าวขึ้นเบาๆและเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำก็ยืนนิ่งราวกับถูกควบคุมไว้โดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไปและหยุดนิ่งอยู่กับที่

บุรุษหนุ่มเตรียมพร้อมตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายแล้ว ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามยืนนิ่งราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เขาหันไปหามารยาและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ทันที “ท่านจอมยุทธ์ นี่คือข่ายอาคมใช่รึไม่?”

มารยาพยักหน้าตอบตามความจริง

นี่คือข่ายอาคมประเภทหนึ่งทว่าจะมีผลเฉพาะกับผู้ที่อ่อนแอกว่าผู้ใช้เท่านั้น ข่ายอาคมประเภทนี้ทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเสียสติสัมปชัญญะเป็นการชั่วคราวและเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสังหารตนเอง

เมื่อมารยาพยักหน้า สีหน้าของอาอู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที เขาหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม

จอมยุทธ์เหล่านี้คือใครกันแน่? แต่ละคนช่างมีฝีมือผิดมนุษย์อย่างแท้จริง!

หลิวจื้อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและเขาตะลึงไปเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ข่ายอาคม’

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคู่ต่อสู้ ในขณะที่เขาชะงักไปนั้น ฝ่ามือทรงพลังก็กระแทกเข้าที่อกจนเขากระเด็นออกไปทันที

อั่ก!

ร่างของหลิวจื้อถูกฟาดกระเด็นออกไปกระแทกต้นไม้หลายต้นก่อนร่วงลงพื้นอย่างแรง จากนั้นก็กระอักเลือดคำโตออกมา

“ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด ผู้ใช้ข่ายอาคม พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?!”

ขณะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น หลิวจื้อก็จ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยความตกตะลึงในแววตา

‘ผู้ใช้ข่ายอาคม’ ในโลกมายาของพวกเขาถือเป็นอาชีพที่มีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง หลิวจื้อได้ยินชื่อของผู้ใช้ข่ายอาคมในโลกมายามาก่อนและไม่ได้มีใครที่เหมือนกับสตรีตรงหน้านี้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงฉงนสงสัยอย่างที่สุด คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?

“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดเองไม่ใช่รึว่าพวกข้าคือสหายของอาอู่”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆด้วยท่าทางไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีสีหน้าที่งุนงง

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และสีหน้าของนาง หลิวจื้อก็กัดฟันอย่างแน่น

ทันทีที่ละสายตา หลิวจื้อก็หันหลังกลับและเตรียมเผ่นหนีไปทันที

บัดนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินอวี้โม่ การอยู่ต่อไปมีแต่จะเป็นเคราะห์ร้าย เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องการไปจากที่นี่และรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“คิดรึว่าข้าจะปล่อยเจ้าหนีไปง่ายๆ?!”

ฉินอวี้โม่เอ่ยอย่างเย็นชาก่อนพุ่งไปหยุดตรงหน้าหัวหน้ากลุ่มคนชั่ว

จากนั้นเพลิงจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมือของนางและพุ่งตรงไปที่หลิวจื้อ

ทันใดนั้น เพลิงทรงพลังโหมกระหน่ำก็ล้อมรอบตัวเขาไว้ทันที

เมื่อสัมผัสถึงความน่าขนลุกของเพลิงรอบตัว สีหน้าของหลิวจื้อก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม

“ท่านจอมยุทธ์ เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนและข้าไม่เคยทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ ข้ารู้แล้วว่าท่านมิใช่สหายของอาอู่ แล้วเหตุใดท่านจึงเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้?”

บัดนี้เมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แน่นอนว่าหลิวจื้อต้องแสดงท่าทางเคารพต่อฉินอวี้โม่

“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดเองว่าพวกข้าเป็นสหายของอาอู่ แล้วเหตุใดจู่ๆจึงเปลี่ยนใจเช่นนี้ล่ะ?”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเย็นชาและเดินกลับไปหาอาอู่

“ขอบคุณท่านมาก”

อาอู่โค้งคำนับให้ฉินอวี้โม่และเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพนอบน้อม

“ไม่จำเป็นหรอก”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ข้าจะมอบเขาให้เจ้าจัดการ”

เมื่อหลิวจื้อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง สีหน้าของเขาก็เหยเกอย่างที่สุด เมื่อมองไปยังเพลิงโหมกระหน่ำรอบตัว เขาก็กัดฟันแน่นและเตรียมที่จะพุ่งตัวออกไป

“ฮ่าๆๆ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อน เพลิงของข้ามิใช่เพลิงธรรมดา หากเจ้าสัมผัสมันแม้เพียงเล็กน้อย เจ้าจะต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางดับมันได้”

เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของหลิวจื้อ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆเพื่อย้ำเตือนเขา

วาจาของนางทำให้หลิวจื้อหยุดขยับเขยื้อนทันทีและยืนนิ่งอยู่ตรงกลางวงล้อมเพลิงอีกครั้ง

แม้ว่าเขาไม่เคยได้ยินถึงเพลิงที่ทรงพลังเช่นนั้นมาก่อน เขาก็เชื่อจากน้ำเสียงของฉินอวี้โม่ว่านางมิได้พูดโกหก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่อยากตายในตอนนี้

“ท่านจอมยุทธ์ ท่านรู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

หลิวจื้อมองฉินอวี้โม่และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือข่มขู่เล็กน้อย

“ข้าไม่สนใจที่จะรู้”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างไม่แยแส นางไม่สนใจเลยว่าตัวตนของหลิวจื้อผู้นี้เป็นใคร

“ข้าเป็นสมาชิกของชนเผ่าเพลิงคำราม หากท่านสังหารข้า ท่านผู้นำไม่ปล่อยท่านไว้แน่!”

เมื่อได้ยินวาจาไม่แยแสของฉินอวี้โม่ หลิวจื้อก็เอ่ยตัวตนของตนเองออกไปอย่างวางท่าทันที เขาเชื่อว่าหากอีกฝ่ายรู้ว่าตนเป็นสมาชิกของชนเผ่าเพลิงคำราม ฉินอวี้โม่จะต้องปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลิวจื้อไม่รู้เลยก็คือฉินอวี้โม่เคยได้ยินชื่อชนเผ่าเพลิงคำรามนี้ด้วยซ้ำ

แม้ว่าได้อ่านข้อมูลมาแล้วบางส่วน ข้อมูลที่บันทึกไว้ก็ระบุเพียงขุมกำลังใหญ่ๆบางแห่งเท่านั้นและนั่นก็เป็นข้อมูลจากเมื่อนานมาแล้ว

ตอนนี้นางยังไม่มีเวลาสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกมายาและนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบัดนี้ตนเองอยู่ที่ใด เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่รู้เลยว่าชนเผ่าเพลิงคำรามคือชนเผ่าใด

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะทันทีโดยไม่ลังเล นางยังคงใจเย็นอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อได้ยินวาจานิ่งเฉยไม่แยแสของอีกฝ่าย สีหน้าของหลิวจื้อก็บิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้

“ท่านจอมยุทธ์ ชนเผ่าเพลิงคำรามคือหนึ่งในสามขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในเมืองเพลิงมายา และยังเป็นกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดอีกด้วย”

อาอู่อธิบายอย่างคร่าวๆเมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่รู้เรื่องชนเผ่าเพลิงคำรามที่ว่านี้ เขาไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ยั่วยุขุมกำลังทรงพลังเช่นนั้นโดยที่ไม่ทราบข้อมูลก่อน

“เมืองเพลิงมายางั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้ นางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนและเมืองใหญ่สามเมืองที่ระบุในบันทึกของหยินหึนก็ไม่มีชื่อของเมืองเพลิงมายานี้

“ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าเพลิงคำรามหรือเมืองเพลิงมายา ท่านแม่ก็บอกแล้วว่าจะมอบเขาให้เจ้าจัดการ เจ้าไปจัดการกับเขาก่อนเถอะ”

หานอวี้เดินเข้ามาอยู่ข้างฉินอวี้โม่และเอ่ยกับอาอู่โดยตรง

ฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสองยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกมายานี้มากนักและตั้งใจจะสอบถามจากอาอู่ในภายหลัง ทว่าตอนนี้จะต้องสะสางปัญหาตรงหน้าเสียก่อน

เมื่อเห็นสีหน้าอากัปกิริยาเฉยเมยของหานอวี้ ดูเหมือนว่าเมืองเพลิงมายาและชนเผ่าเพลิงคำรามจะเป็นเพียงกองกำลังเล็กๆไม่สลักสำคัญสำหรับทั้งสาม อาอู่อดรู้สึกทึ่งในใจไม่ได้ คนเหล่านี้ทั้งน่าทึ่งและน่าชื่นชมอย่างแท้จริง

บุรุษหนุ่มไม่ลังเลอีกต่อไปและเดินตรงเข้าไปหาหลิวจื้ออย่างช้าๆ

“อาอู่ เจ้าคิดจะทำอะไร?”

สีหน้าของหลิวจื้อซีดเผือดเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่และหานอวี้

เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะหวาดกลัวและล้มเลิกความคิดเมื่อได้รู้ว่าเขามาจากชนเผ่าเพลิงคำราม ไม่คิดเลยว่านางจะไม่เห็นชนเผ่าของเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

ด้วยความบาดหมางและความชิงชังฝังใจระหว่างเขาและอาอู่ มันก็คงจะเป็นเรื่องแปลกหากเด็กหนุ่มผู้นี้จะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ

“หลิวจื้อ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้าในตอนนี้และข้าจะขอให้ท่านจอมยุทธ์ผู้นี้ปล่อยเจ้าไป”

อาอู่ชำเลืองมองหลิวจื้อและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กลับไปบอกผู้นำของเจ้าว่าชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นของข้า ข้าจะทวงคืนในสิ่งที่เป็นของข้าอย่างแน่นอน ส่วนความบาดหมางระหว่างเรา สักวันข้าจะไปสะสางเอง”

หลังกล่าวจบ เขาก็เมินหลิวจื้อและเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่ “ท่านจอมยุทธ์ โปรดปล่อยเขาไปก่อนเถอะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะแต่โดยดี อาอู่ผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างแท้จริง

“ไสหัวไปซะ!”

นางเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาเมื่อถอดถอนเพลิงทรงพลังออกไป

เมื่อได้รับการไว้ชีวิต หลิวจื้อก็หายไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอย่างรวดเร็วและไม่สนใจแม้แต่ลูกน้องของตนเองด้วยซ้ำ

“พวกเจ้าก็ไสหัวไปให้พ้น!”

มารยาถอดข่ายอาคมและบรรดาคนชุดดำก็ฟื้นสติขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนเองหลบหนีไปแล้วโดยที่ไม่ใส่ใจไยดีพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่มีเวลาให้คิดเรื่องนี้และหายวับไปต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว

.