บทที่ 113 ความจริงใจ (3)
อารามนิรันดร์ไม่ใช่เพียงองค์กรใต้ดินธรรมดา ๆ
คนพวกนี้นั้นต่างมีความเชื่อและความทะเยอทะยานส่วนตัวที่ต้องการไปให้ถึงที่สุด
ปกติแล้ว หากองค์กรใต้ดินเช่นนี้ครอบครองทั้งสองสิ่งนี้ พวกเขานั้นก็ควรที่จะถูกว่าองค์กรก่อการร้ายจึงจะเหมาะสมยิ่งกว่า !
ซึ่งอารามนิรันดร์ก็เป็นองค์กรเช่นนั้น
หากคนผู้หนึ่งกล่าวว่าต่อให้ปรุงยาพิษไปก็ไร้ประโยชน์ต่อตนเอง สู้ปรุงโอสถปลุกวิญญาณยังดีเสียกว่า ซูเฉินอาจเชื่อคำคนผู้นั้น
หากแต่เมื่อคำเหล่านี้ออกจากปากคนของอารามนิรันดร์ มันกลับไม่น่าเชื่อใจแม้แต่น้อย !
ดังนั้นแม้อาหลุนจะโมโหมากเช่นไร ซูเฉินก็ไม่ยอมลดรา
ซางเจินพยายามประนีประนอม “คุณชายซู ท่านเข้าใจเราผิดแล้ว อารามนิรันดร์ในตอนนี้ไม่ใช่อารามนิรันดร์เหมือนแต่ก่อน หลังจากเวลาหลายพันปีผ่านพ้นไป ผู้คนต่างไม่ใส่ใจเรื่องฝันเฟื่องของเผ่าอาร์คาน่าอีกต่อไป แน่นอนว่าคุณชายซูอาจไม่เชื่อคำเรา หากแต่ท่านลองดูให้ดี คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าท่านมีผู้ใดมาจากเผ่าอาร์คาน่าบ้าง?”
คำพูดประโยคนี้ตรงจุดพอดิบพอดี
คนตรงหน้าเขาคือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มีเผ่าอาร์คาาอยู่แม้สักคน
ประวัติศาสตร์ที่หมุนผ่านกาลเวลาและการขยายตัวขององค์กรค่อย ๆ เปลี่ยนวิถีการคิดและธรรมชาติขององค์กรไป
ในฐานะมนุษย์ หากทำการต่อสู้เพื่อความฝันของชนเผ่าอาร์คาน่าเพื่อฟื้นฟูอาณาจักร เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องน่าขันนัก
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างทำเพื่อการได้มาซึ่งสมบัติล้ำค่าและชีวิตที่ดีกว่าเดิมเสียมากกว่า
แต่ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ยังคงส่ายหน้า “ท่านอาจกล่าวได้ถูกต้อง แต่ท่านมั่นใจหรือว่าสมาชิกในอารามนิรันดร์ทุกคนมีความคิดเช่นนี้?”
“เรื่องนั้น……” ซางเจินอยากตอบว่าใช่ แต่เขาไม่อาจกล่าวคำไร้สาระเช่นนั้นออกมาในตอนที่จ้องตาซูเฉินอยู่ได้
ถูกต้องแล้ว ยังมีผู้ที่ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องในอดีตลงได้ปะปนอยู่ด้วย
และคนเหล่านี้หลายคนต่างก็มีตำแหน่งสูงภายในองค์กร
“ดังนั้นหากข้ามอบดอกซากวิญญาณให้ท่าน ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่” ซูเฉินตอบ “ข้ามีความคิดอยู่สองสามอย่างที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องความไว้ใจซึ่งกันและกัน”
“เป็นความคิดอันใดหรือ?” ซางเจินเอ่ยถาม
ซูเฉินตอบ “เมื่อพบดอกซากวิญญาณ นำมันมาให้ข้า หากท่านต้องการโอสถปลุกวิญญาณ ข้าสามารถปรุงมันให้ท่านได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกลัวเรื่องว่าของอันตรายจะตกไปอยู่ในมือพวกท่าน อีกทั้งหากข้าควบคุมดอกซากวิญญาณ ข้ายังไม่ต้องกังวลเรื่องพวกท่านคิดจะฆ่าปิดปากข้า ดังนั้นระหว่างเราก็จะมีความไว้เนื้อเชื่อใจใหม่ก่อเกิดขึ้น…… อย่างไรก็มั่นคงกว่าการใช้ความลับของทั้งสองฝ่ายในการสร้างความเชื่อใจกัน ถูกต้องหรือไม่?”
“เจ้าน่ะหรือ?” อาหลุน หัวเราะเสียงดัง “คนอย่างเจ้าน่ะหรืออยากจะปรุงโอสถปลุกวิญญาณ? มันเป็นยาระดับสูง เจ้าสามารถปรุงมันขึ้นมาได้งั้นหรือไร?”
“หากทำไม่ได้ ข้าก็เรียนวิธีทำได้”
“เช่นนั้นจะใช้เวลานานเกินไป”
“ข้าจะตั้งใจเรียนรู้สูตรยา เชื่อว่าต้องใช้เวลาไม่นานแน่”
ซางเจินได้ยินแผนการของเขา ชายชราก็ส่ายหัวก่อนถอนหายใจออกมา “นายน้อยซูดูถูกการปรุงยาเกินไป ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรคระบาดหรือโอสถปลุกวิญญาณ ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียนรู้วิธีปรุงได้ภายในเวลาอันสั้น หากคุณชายไม่เชื่อ…… ก็มากับข้า ข้าจะพาคุณชายไปดูบางสิ่ง จากนั้นคุณชายจะเข้าใจ”
ซางเจินพูดแล้วก็เดินนำซูเฉินไปยังอีกห้องอีกห้อง
ถายในห้องนั้น ชายชราอีกคนกำลังผสมตัวยาอย่างขะมักเขม้น แท่นประดิษฐ์และอุปกรณ์บนแท่นประดิษฐ์ของตาเฒ่าผู้นี้ดูล้ำหน้ากว่าของอูเอ่อร์หลี่มาก
หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝีมือในการปรุงยาของชายชรา
สองมือของเขาเคลื่อนที่ว่องไวราวกับนิ้วแต่ละนิ้วมีชีวิตจิตใจเป็นของตน มันร่ายรำอยู่กลางอากาศ สร้างการเคลื่อนไหวอันพร้อมเพรียงกันขึ้นมา ในตอนที่นิ้วมือเหล่านั้นขยับไปมา ผงยา ของเหลว และยาลูกกลอนถูกโปรยลงไป พวกมันละลาย เดือดพล่าน และทำปฏิกิริยากัน สุดท้ายพวกมันก็ทำปฏิกิริยากันอย่างต่อเนื่อง สร้างยาอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา……
แต่ถึงกระนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมากับไม่สามารถคาดเดาได้
ตูม!
หลังจากผ่านพ้นเสียงระเบิดดังตูม ยาในมือชายชราก็ระเบิดออก
“บัดซบ! ล้มเหลวอีกแล้ว! ข้าทำไม่สำเร็จอีกแล้ว!” ชายชราร้องขึ้นด้วยความโกรธ
เขากันมามองซูเฉินและซางเจิน “เป็นความผิดของเจ้า! เจ้าเข้ามาทำให้ข้าเสียสมาธิ บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าตอนข้ากำลังทำงานห้ามเข้ามารบกวน”
ซางเจินจึงเอ่ยกับซูเฉิน “ผู้นี้คือปรมาจารย์เฟิง เป็นผู้ที่เราเชิญมาเพราะเรื่องเนินกลบวิญญาณโดยเฉพาะ ปรมาจารย์เฟิงค่าตัวสูงมาก ปกติไม่ไปตามคำเชิญของผู้ใด หากไม่ใช่เพราะได้ยินข่าวเรื่องดอกซากวิญญาณก็คงไม่ตอบรับคำเชิญของทางองค์กร”
จากนั้นเขาจึงหันไปพูดกับชายชรา “ขออภัยด้วยปรมาจารย์เฟิง พอดีข้ามีคำถามมาถามท่าน”
“มีเรื่องก็รีบว่ามา!”
ซางเจินชี้ไปทางซูเฉิน “เด็กหนุ่มข้างตัวข้าผู้นี้ต้องการเรียนวิชาปรุงยา ข้าอยากให้ท่านสอนให้เขาเข้าใจว่าคนหนุ่มอย่างเขาต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ยาวนานเท่าไหร่ในการปรุงโอสถปลุกวิญญาณ หากเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน?”
“ปรุงโอสถปลุกวิญญาณอย่างนั้นหรือ? ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องการปรุงยาของเขาว่ามีมากน้อยเพียงไหน ส่วนเรื่องระยะเวลา……” ปรมาจารย์เฟิงเหลือบมองซูเฉินก่อนกล่าว “ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความอดทน อัจฉริยะทั้งหลายใช้เวลาเพียงสองหรือสามปีก็คงทำได้ ส่วนพวกโง่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจทำสำเร็จ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นี้ ข้าว่าเขาเป็นเพียงเด็กโง่คนหนึ่งที่ดีแต่พูดโอ้อวด”
สีหน้าปรมาจารย์เฟิงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยถากถาง
ซูเฉินเดินเข้ามา ก่อนจะหยิบถุงผงยาขึ้น เทผงยาลงไปในขวดยา
ปรมาจารย์เฟิงร้องขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “อย่าแตะต้องของของข้า!”
ซูเฉินไม่สนใจเขา เอ่ยเพียง “ยังมีอยู่หนึ่งเรื่องที่ข้าต้องทำให้ท่านซางเจินเข้าใจ นั่นคือข้าไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ข้าพอมีประสบการณ์ด้านการปรุงยาอยู่บ้าง”
ระหว่างที่พูด มือของเด็กหนุ่มก็เริ่มเขย่าผงในถ้วยแก้ว จากนั้นก็เริ่มใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงไป
แม้ฝีมือจะไม่อาจเทียบกับปรมาจารย์เฟิงในด้านการผสมตัวยา หากแต่ท่วงท่านั้นก็มั่นคงและไร้ข้อผิดพลาดใด
พริบตาต่อมา ยารักษาอาการบาดเจ็บธรรมดาขวดหนึ่งก็ถูกวางไว้ตรงหน้าปรมาจารย์เฟิง
“นี่คือฝีมือการควบคุมและปรุงยาที่ข้าเรียนรู้ภายในเวลาราวหนึ่งร้อยห้าสิบวัน ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ปรมาจารย์เฟิงลูบคาง “เจ้ามีความสามารถ หากทุกวัน ฝึกฝนวันละสี่ชั่วโมงอาจจะสามารถปรุงโอสถปลุกวิญญาณได้ภายในเวลาเจ็ดหรือแปดปี”
“ข้าสามารถฝึกฝนเป็นเวลาหกชั่วโมงได้ทุกวัน อีกทั้งข้ายังอาจฝึกฝนได้มากกว่านั้น”
“เช่นนั้นก็เป็นเวลาสามถึงห้าปี” ปรมาจารย์เฟิงเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “ข้าขอถาม เหตุใดจึงเข้ามาถามเรื่องเช่นนี้กับข้า?”
ซางเจินตอบ “เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องการศึกษาการปรุงยาจนสามารถปรุงโอสถปลุกวิญญาณ เขาหวังจะปรุงมันขึ้นมาโดยใช้ดอกซากวิญญาณที่ได้มาทั้งหมด”
“ว่าอย่างไรนะ? จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร!” ปรมาจารย์เฟิงร้องขึ้นด้วยความโกรธา “การปรุงโอสถปลุกวิญญาณก็ใช้เพียงหนึ่งดอกเท่านั้น จึงควรเก็บดอกที่เหลือเอาไว้ มันยังมียาระดับสูงอีกมากมายที่ต้องใช้ดอกซากวิญญาณในการปรุง ! ”
“ซึ่งก็รวมถึงยาพิษด้วยใช่หรือไม่? ข้าไม่ต้องการให้มันถูกใช้ในการทำร้ายผู้อื่น” ซูเฉินกล่าว สายตาเหลือบมองไปยังแท่นประดิษฐ์ของปรมาจารย์เฟิง
มีสิ่งของที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่มากมาย
หัวใจของอสูรร้ายที่ชุ่มไปด้วยตัวยายังคงเต้นตุบตับอยู่
ส่วนสมุนไพรที่ถูกปลูกไว้ในกระถางก็เติบโตขึ้นมามีหน้าตาคล้ายหญิงสาว
เขี้ยวอสูรร้ายหน้าตาแปลกประหลาดที่ถูกขัดจนคมดั่งใบมีด
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่ที่ซูเฉินไม่เคยเห็นมากก่อน
ปรมาจารย์เฟิงยังคงส่งเสียงร้องดุดันโกรธเกรี้ยวต่อไป “ไร้เดียงสานัก! เจ้าจะรู้อันใด? อาวุธไม่ได้ทำร้ายผู้คน ผู้ที่ถืออาวุธต่างหากคือผู้ร้ายที่แท้จริง พวกข้าเพียงสร้างอาวุธขึ้นมา เหตุใดจึงต้องกังวลเรื่องคนนำไปใช้ด้วย? เพียงเจ้าไม่ตายก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าหนู เจ้ากอบกู้โลกนี้ไม่ได้หรอก ลืมฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเจ้าที่อยากจะใฝ่หาความลับสุดยอดของใต้หล้าไปได้แล้ว เช่นนั้นถึงจะเป็นการกระทำที่มีคุณค่า! ดอกซากวิญญาณเป็นส่วนผสมหายาก ไม่ควรนำไปใช้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ยังมียาระดับสูงอีกหลายชนิดที่จำเป็นต้องใช้มันเป็นส่วนผสม!”
“ยิ่งได้ยินสิ่งที่ท่านกล่าวมา ข้ายิ่งต้องยืนยันคำเดิมในการเก็บดอกซากวิญญาณไว้กับข้า หรือก็คือมันจะถูกใช้ปรุงโอสถปลุกวิญญาณเท่านั้น” ซูเฉินตอบ จากนั้นหยิบเขี้ยวอสูรขึ้นมาดูใกล้ ๆ เขี้ยวที่คมดั่งใบมีดของมันทิ้งรอยเลือดจางไว้ยามที่สะกิดผ่านมือซูเฉิน
“เจ้าเด็กบัดซบ!” ปรมาจารย์เฟิงโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุด “ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร? ข้าไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อโอสถปลุกวิญญาณขวดเดียว!”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องอยู่เรื่องหนึ่ง” ซูเฉินพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ปรมาจารย์เฟิงไม่เข้าใจ
“ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
พริบตานั้นซูเฉินพลันพลิกฝ่ามือ จากนั้นเขี้ยวอสูรก็ถูกซัดเข้าใส่ลำคอของปรมาจารย์เฟิง