ภาคที่ 1 บทที่ 114 อยู่ในการควบคุม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 114 อยู่ในการควบคุม

โลหิตมากมายพุ่งออกมาจากหว่างนิ้วปรมาจารย์เฟิง แม้ชายชราจะกุมคอตนไว้แน่นเพียงไรก็ตามแต่

ปรมาจารย์เฟิงจ้องซูเฉินด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง เจ้าเด็กนี่ทำได้อย่างไร?

จากนั้นร่างของชายชราก็ร่วงลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะขาดไป

“เจ้าทำอะไรของเจ้า?” ซางเจินร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

เสียงตะโกนของเขาทำให้คนอื่น ๆ พากันวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นภาพปรมาจารย์เฟิงนอนจมกองเลือดก็พากันตกตะลึงไป

“ดูท่าพวกท่านคงจะต้องหานักปรุงยาใหม่เสียแล้ว” ซูเฉินตอบ “ข้าจะเป็นให้เอง ท่านว่าอย่างไร?”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการฝึกนักปรุงยาคนหนึ่งต้องใช้เงินและต้องลงแรงไปมากมายเท่าไหร่?” อาหลุนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “การจะฝึกนักปรุงยามีฝีมือผู้หนึ่งขึ้นมาได้ต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดไม่ต่ำกว่าแสน หรืออาจแตะถึงหนึ่งล้านก้อน!”

“ขอบใจที่เจ้าเตือนข้า” รอยยิ้มหนึ่งเผยขึ้นบนใบหน้าซูเฉิน “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าเรายังไม่ได้คุยเรื่องค่าตอบแทนมาก่อน เหตุใดไม่ใช้เรื่องตรงนี้เป็นค่าตอบแทนข้าเสียเลยเล่า?”

เขาหันไปมองซางเจิน จากนั้นค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ “เอาเป็นว่าจ่ายค่าตอบแทนให้ข้าด้วยการฝึกให้ข้าเป็นนักปรุงยาฟังดูเป็นอย่างไร? ส่วนเรื่องของเนินกลบวิญญาณก็เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ของที่พวกท่านเอ่ยขึ้นมาเป็นของพวกท่าน ส่วนของอื่น ๆ ที่ข้าพบเป็นของข้า”

ซางเจินจ้องซูเฉินด้วยความตะลึง

เขาไม่คาดคิดว่าซูเฉินจะกล้าทำเช่นนี้ และมีข้อเรียกร้องมูลค่าสูงถึงเพียงนี้

หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาที่เขาว่ามานับเป็นราคาที่แตะถึงขีดต่ำสุดที่อารามนิรันดร์ขีดไว้ นับเป็นราคาที่เหมาะเหม็ง

สามารถรักษาชีวิตตนด้วยการเก็บดอกซากวิญญาณไว้ข้างกาย ทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าทางองค์กรจะนำมันไปใช้ทำร้ายผู้อื่น หากอารามนิรันดร์ต้องการได้ตัวยาเร็วขึ้นก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อฝึกปรือซูเฉิน ไม่อาจแปรพักตร์ปรับเปลี่ยนข้อตกลงได้อีก ซึ่งนี่ก็ยังไม่รวมไปถึงเรื่องที่ซางเจินกล่าวว่าการจะเป็นพันธมิตรกับอารามนิรันดร์จำต้องมีความแข็งแกร่ง

แม้ซูเฉินจะยังไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ แต่ก็มีคุณสมบัติในการเป็นนักปรุงยาที่จะสามารถปรุงโอสถปลุกวิญญาณขึ้นมาได้

ที่น่าขันคือ นักปรุงยานั้นต้องถูกฝึกจากทางองค์กรเท่านั้น ซึ่งอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางไม่รู้ความจริงข้อนี้

การที่ซูเฉินกล่าวว่าของอย่างอื่นที่พบให้ตกเป็นของเขานั้นนับว่าไม่มากเกินไป เหมือนปาหลงกับคนอื่น ๆ ที่ไม่ว่าจะทำการใดก็จะพยายามแบ่งผลประโยชน์ให้ได้อย่างเท่าเทียมทั่วถึง เพื่อที่พวกเขาจะได้มั่นใจว่าอารามนิรันดร์ไม่ได้หลอกพวกเขา

หลังจากวนอยู่ในวงเวียนปัญหา ปัญหาทุกอย่างก็มีทางออกเสมอ

หากซูเฉินวางแผนเช่นนี้ไว้นานแล้วก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าตกใจนัก หากแต่การตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างการต่อรอง ซูเฉินไม่มีทางรู้ว่าจะได้พบกับปรมาจารย์เฟิง แต่ถึงกระนั้นเขากลับตัดสินใจและสังหารคนโดยไม่เสียเวลา

กระทั่งซางเจินยังอดชื่นชมในความเด็ดขาดและความสามารถในการปรับตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้

เขาพยักหน้า “แม้จะยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ก็มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เจ้ามีสิทธิ์ในการเป็นพันธมิตรของอารามนิรันดร์…… หึ ๆ อารามนิรันดร์ไม่ได้มีพันธมิตรที่มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณมานานแล้ว”

ซูเฉินเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

หลังจากคุยกันเรื่องแผนการในภาพรวมแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงข้อมูลเล็กน้อย เช่นจะเข้าไปยังเนินกลบวิญญาณได้อย่างไร และจะนำสมบัติด้านในออกมาได้อย่างไร รวมถึงเรื่องอื่น ๆ เหลือเพียงว่าจะตัดสินใจใช้วิธีการใด ไม่น่ามีความขัดแย้งใหญ่ใดเกิดขึ้นอีก สิ่งสำคัญตอนนี้คือเรื่องเวลาและเรื่องการสำรวจเพียงเท่านั้น

ดังนั้นซูเฉินและซางเจินจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน พูดคุยเรื่องแผนการในขั้นต่อไป

มีเพียงร่างของปรมาจารย์เฟิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทิ้งไว้ให้ข้ารับใช้เข้ามาจัดการกับคราบเลือดก่อนจะลากร่างของปรมาจารย์ออกไปจากห้องเหมือนดั่งลากศพสุนัขตัวหนึ่ง……

จากนั้นทุกอย่างก็กลับไปสู่สภาวะปกติดังเดิม

————————

หลังจากสนทนากับซางเจินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และตัดสินใจเรื่องวิธีที่จะใช้กันเรียบร้อย ซูเฉินก็กลับออกมา

เขากลับออกมาพร้อมกับตำราชี้แนะชิ้นส่วนรูปแบบพลังต้นกำเนิด รวมถึงแท่นประดิษฐ์ของปรมาจารย์เฟิง เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ และบันทึกการทดลองทั้งหมด

ตำราชี้แนะชิ้นส่วนรูปแบบพลังต้นกำเนิดมอบให้เป็นของขวัญแก่เขา ส่วนแท่นประดิษฐ์ของปรมาจารย์เฟิงและบันทึกการทดลองต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงของการที่ซูเฉินจะฝึกฝนเป็นนักปรุงยา หรือก็คือของเหล่านี้เป็นค่าตอบแทนของซูเฉินนั่นเอง

นอกจากนี้เด็กหนุ่มก็ยังมีคำขอเล็กน้อยอีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือการจัดการกับตระกูลหลิน

หากแต่ซูเฉินกลับเพียงขอแรงให้อารามนิรันดร์สร้างความวุ่นวายเล็กน้อย ดึงความสนใจจากเหล่าผู้มีฝีมือตระกูลหลินไป แผนลอบสังหารที่แท้จริงจะถูกดำเนินโดยคนอื่น ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร อารามนิรันดร์ไม่อาจล่วงรู้ได้

เมื่อซางเจินได้ยินคำขอเช่นนี้ เขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง

ก่อนหน้านี้อารามนิรันดร์พยายามดึงตระกูลหลินมาเป็นพวกเพื่อทำให้แผนการในเมืองหลินเป่ยดำเนินไปได้ด้วยดี

ไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรไปรวดเร็วเช่นนี้  พริบตาต่อมา อารามนิรันดร์กลับต้องมาประจันหน้ากับตระกูลหลินเสียแล้ว

โชคยังดีที่ตระกูลหลินเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง มูลค่ายังไม่มากเท่าปรมาจารย์เฟิงเสียด้วยซ้ำ การโยนหมากตัวนี้ทิ้งไปไม่นับว่าเสียหายอันใด

เขากระทั่งอยากจะยื่นมือเข้าช่วยโดยไม่รับค่าตอบแทน หากแต่ซูเฉินก็ยังคงยืนยันที่จะจ่ายเงินตามสัญญา

อย่างไรก็เป็นเพียงการสร้างความวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินมากอันใดอยู่แล้ว แม้ซางเจินจะอยากช่วยซูเฉินจัดการหลินเย่เม่ามากเท่าไหร่ หากแต่ซูเฉินกลับเอาแต่ปฏิเสธ

เขายังคงเชื่อว่าให้ผู้ลงมือเป็นหลินจิ้งซวนจะเป็นเรื่องดีที่สุด

และแน่นอนว่าหลินจิ้งซวนจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

เย็นวันที่สองนั่นเอง หลินจิ้งซวนก็มาหาเขาพร้อมใบหน้าไม่เป็นสุข หวาดกลัว  ทั้งยังมีทีท่าโอนอ่อนนัก

หลังจากครุ่นคิดอยู่ทั้งวัน หลินจิ้งซวนก็ตัดสินใจได้

แม้จะรู้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ซูเฉินสามารถตลบหลังเขาในภายหลังได้ หลินจิ้งซวนก็ไร้ทางเลือกอื่น เขาไม่เหมือนกับหลินเย่เม่า ไม่ได้มีบิดาที่สามารถสนับสนุนตนให้เดินไปได้ไกลอย่างเขา เขาเป็นเพียงสายตระกูลย่อยของตระกูลหลิน ที่เขาสามารถยืนอยู่ที่จุดนี้ได้เป็นเพราะความพยายามอุตสาหะของตนเองทั้งสิ้น หากไม่อยากสูญเสียทุกอย่างไป ก็ทำได้เพียงยอมก้มหัวให้ซูเฉิน

การยอมก้มหัวของหลินจิ้งซวนครั้งนี้ทำให้แผนการของซูเฉินสมบูรณ์

คืนที่สามที่หลินเย่เม่ากลับมายังตระกูลหลิน

ในคืนนั้นเอง ลมพัดหวีดหวิว ท้องห้ามืดสนิท นับเป็นคืนที่เหมาะสมกับการสังหารคนและลอบวางเพลิงเสียจริง

ซูเฉินยืนอยู่ที่ยอดเขาน้อยแห่งนึกทางทิศใต้ของเมืองหลินเป่ย เด็กหนุ่มมองสถานการณ์จากด้านบน มองสวนใหญ่ตระกูลหลินที่ส่องสว่าง

ท่ามกลางความมืดมิด ในสถานที่ที่เขาไม่อาจเห็น กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งกำลังรุดหน้าเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ศิษย์ตระกูลกำลังยืนเฝ้าประตูด้วยใบหน้าชั่วร้าย

“เจ้ารู้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าพลันนึกเรื่องยางอย่างขึ้นได้” จู่ ๆ ระหว่างที่มองภาพเบื้องล่าง ซูเฉินก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมา ลมบนหุบเขาพลันพัดหวีดหวิวผ่านร่างคนทั้งสอง

กังเหยียนไม่ตอบ

เขารู้ดีว่าเดี๋ยวซูเฉินก็จะพูดต่อเอง

และแน่นอน ซูเฉินกล่าวต่อ “ยังไงข้าก็ต้องให้คนจากอารามนิรันดร์เป็นผู้ลงมืออยู่ดี เหตุใดข้าจึงไม่ทำตรงไปตรงมา บอกให้พวกเขาจัดการหลินชูเยว่และไป๋หลีไปด้วยเสียเลยเล่า? อาจจะได้จัดการกระทั่งลี่ชิงอวิ๋นเสียด้วยซ้ำ ทำเช่นนั้นไม่ประหยัดแรงกว่าหรือ?”

เป็นคำถามที่ออกจะตอบยากไปสักหน่อย

กังเหยียนหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกว่าการสังหารคนเป็นเรื่องไร้เหตุผล หากเป็นไปได้ สังหารให้น้อยหน่อยย่อมดีกว่า”

ซูเฉินอดเผยเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

“เช่นนั้นหากมีคนอยากสังหารเจ้าเล่า?” ซูเฉินเอ่ยถาม

กังเหยียนเกาหัว เขาคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “นายท่านสอนวิชากายาเวหาเวียนและเกราะภูผาเหล็ก อีกทั้งข้ายังมีเกราะหลอมทอง คงไม่ถูกสังหารง่ายเช่นนั้น”

สมกับเป็นคำตอบของ ‘กังเหยียน’ นัก ซูเฉินหัวเราะออกมาอีกครา

ที่เบื้องล่างสวนตระกูลหลินเริ่มมีไฟลุกไหม้ขึ้น ผู้คนต่างวิ่งกรีดร้องไปทั่วพื้นที่ มือสังหารฉวยโอกาสลงมือท่ามกลางความวุ่นวาย

ซูเฉินมองภาพเหตุการณ์โกลาหลเบื้องล่างตาไม่กะพริบ มันกลับส่องประกายดั่งหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่มีผิด

เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง การสังหารคนช่างเป็นเรื่องไร้เหตุผลเสียจริง”