ภาคที่ 5 ตอนที่ 7 มีเจ้าที่ถี่ถ้วน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ยามฮ่องเต้ไม่พอพระทัยจะเรียกขานชื่อจูซานตรงๆ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ ไม่ตอบแต่เอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาทันที

 

 

ถึงกับไม่ใช่เพียงสอดส่องเนื้อหา กระทั่งจดหมายก็คัดลอกออกมาได้ด้วย ฮ่องเต้สีหน้าพอพระทัย

 

 

“ดูท่าคนส่งสารของจูซานคงถูกเจ้าจับไว้แล้ว” พระองค์ตรัส

 

 

“ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์ คนที่จะเป็นบิดา มักยินดีขบคิดเพื่อบุตรชายบุตรสาวทั้งหลาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

เสียงของเขาตรงทื่อทุ่มนุ่ม ฟังแล้วจริงใจนัก

 

 

ทว่าประกอบกับใบหน้าของเขารวมถึงเมื่อขบคิดความหมายที่เขาพูดอย่างละเอียด ก็ทำให้คนขนลุกทั้งที่ไม่หนาว

 

 

ฮ่องเต้หาได้ขนลุกทั้งที่ไม่หนาว แต่แย้มสรวลยิ่งกว้าง เปิดจดหมายกวาดตาผ่านทีหนึ่ง หลังจากนั้นพลันหัวเราะหยัน ตบจดหมายลงบนโต๊ะ

 

 

“ในเมื่อชอบชี้มือบงการงานราชการของแดนเหนือเช่นนี้ ทำไมไม่ส่งหนังสือขอกลับเสียเลย” พระองค์ตรัส “จะรอข้าเชิญเขารึ? จะให้ทุกคนเห็นว่าเขาเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน ให้ทุกคนเห็นว่าข้าขาดเขาไม่ได้รึ?”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงียบงันไม่พูด

 

 

คำถามเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องการคำตอบของเขา

 

 

ฮ่องเต้บ่นไม่กี่ประโยคก็หยุด

 

 

“ชิงเหอปั๋วคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังหรอกนะ?” พระองค์ตรัสถาม

 

 

ลู่อวิ๋นฉีค้อมกาย

 

 

“ฝ่าบาทจะได้ทอดพระเนตรในไม่ช้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น

 

 

ฮ่องเต้มองเขาแล้วเลิกคิ้ว

 

 

“เก็บความลับจากข้า?” พระองค์ตรัส ไม่ได้โกรธกลับสรวล “เอาสิ ข้าจะรอ”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีค้อมกายคำนับ เงียบงันและนิ่งสงบ ทว่ายืนอยู่ที่นั่นกลับไม่มีทางทำให้คนมองเมินแต่สงบใจเป็นพิเศษ

 

 

“อย่างไรก็ยังเป็นเจ้าทำงานวางใจได้” ฮ่องเต้อดไม่ได้ถอนพระปัสสาสะตรัส “ไม่พูดมากพูดมาย แต่ไม่ว่าข้าคิดสิ่งใดหรือไม่ทันคิดสิ่งใด ทุกเรื่องเจ้าล้วนทำได้ดี”

 

 

“คนย่อมต้องมีประโยชน์” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ไม่เช่นนั้นอาศัยสิ่งใดขอความโปรดปรานจากฝ่าบาท”

 

 

ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“พูดได้ถูกต้อง” พระองค์ท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “เจ้าคนที่เคยได้อ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มคนหนึ่งล้วนคิดได้เช่นนี้ ขุนนางทั้งหลายที่ร่ำเรียนหนังสือมาเหล่านั้นมากมายกลับไม่รู้ แต่ละคนๆ คิดเพียงว่าข้าติดค้างพวกเขา ทำท่าไม่จำนนต่ออำนาจไม่หวั่นไหวต่อลาภยศ ก็ไม่คิดเสียบ้างว่าพวกเขามีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะข้าให้”

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรลู่อวิ๋นฉีแล้วพยักพระพักตร์อย่างปลาบปลื้ม

 

 

“ยังดีงานฝั่งพลเรือนฝั่งทหารทั้งราชสำนักนี่มีเจ้า ข้าจึงหลับสนิทได้”

 

 

ลู่อวิ่นฉีค้อมกายคำนับ

 

 

“ใต้เท้าหวงส่งทรายทองกระปุกหนึ่งมาให้กระหม่อมอีกแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“สุนัขเฒ่าตัวนี้รวยจริง” ฮ่องเต้ด่าคำหนึ่ง “ขอให้มากไว้ อย่าปฏิเสธให้เสียเปล่า”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ

 

 

“ดูสุนัขเฒ่าตัวนี้กัดทึ้งจูซานก็สนุกไม่หยอก” ฮ่องเต้สรวลตรัส ท่าทางสนุกอยู่บ้าง “ข้าบอกตั้งนานแล้ว สิ่งหนึ่งข่มสิ่งหนึ่ง ดังนั้นเจ้าดูสิ ตอนนั้นเหลือสายเลือดของตระกูลว่านต้าชุนไว้คนหนึ่งมีประโยชน์ใช่ไหม หากไม่ใช่เพื่อตนเอง ใครจะยอมแลกชีวิตเพื่อใคร ขุนนางพวกนี้ ข้ามองทะลุปรุโปร่ง มีแต่เกี่ยวข้องกับตัวพวกเขาเองถึงทุ่มเทกายทุ่มเทใจ”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้มองลู่อวิ๋นฉีถอยออกไป แล้วเลิกคิ้วอีกครั้ง

 

 

“เจ้าก็เหมือนกัน” พระองค์ตรัสกับตนเอง “หากไม่ใช่เพื่อครอบครัวนั่น เจ้าจะยอมขายชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร ทุกคนต่างคว้าสิ่งที่ต้องการเถอะ”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ทอดพระเนตรเห็นฎีกากองหนาบนโต๊ะ ฉับพลันรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นึกขึ้นได้อีกว่าบนโต๊ะนี่นอกจากวินิจฉัยฎีกายังทำสิ่งอื่นได้อีกก็อดไม่ได้ตื่นเต้นขึ้นมาอีกหน

 

 

“ใครมานี่ซิ ใครมานี่ซิ” พระองค์ตรัสเรียก

 

 

นอกประตูขันทีรีบร้อนเข้ามาแล้วขานรับ

 

 

“ไปเรียกสนมเหลียงมา” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ขันทีกลับไม่รับคำสั่ง สีหน้ากระวนกระวายอยู่บ้าง

 

 

“ฝ่าบาท สนมเหลียงถูกไทเฮาเรียกไปพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง “บอกว่าต้องการฟังพิณ หลายวันนี้จึงรั้งอยู่ในตำหนักของไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้พิโรธมาก

 

 

ฟังพิณอันใด รู้เรื่องครั้งก่อนของพระองค์กับสนมเหลียงคนนี้ในตำหนักฉินเจิ้งจึงจงใจลงโทษชัดๆ

 

 

ยัยแก่หนังเหนียวคนนี้ ยังคิดว่าตนเป็นสวรรค์จริงๆ

 

 

ฮ่องเต้ค้ำโต๊ะสีพระพัตร์เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

“ข้ารู้แล้ว” พระองค์ตรัส ไม่บันดาลโทสะ แล้วยังละอายอยู่นิดๆ

 

 

ขันทีโล่งอก รู้อยู่แล้วเชียวว่าฝ่าบาทไม่ทรงอารมณ์ร้าย

 

 

……………………………………….

 

 

ยามแสงตะวันค่อยๆ สว่าง จูจั้นเห็นเด็กสาวเดินออกมาจากห้อง บนหน้าก็ประดับรอยยิ้ม

 

 

ดูท่าวันนี้อารมณ์ดีไม่เลว

 

 

“อาหารเช้าข้าจัดการไว้แล้ว” จูจั้นประหนึ่งเพิ่งเห็นนางจึงกวักมือเรียก แล้วชี้ไปด้านนอก

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อ

 

 

“เอาอาหารแห้งไปกินระหว่างทางเถอะ” นางเอ่ย “เดินทางเร่งด่วน”

 

 

“ไม่ต้องรีบหรอก” จูจั้นเอ่ย “พักอีกสองวันเถอะ”

 

 

คุณหนูจวินไม่เข้าใจอยู่บ้างมองเขา

 

 

“ทำไม?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นมองนางแล้วกะพริบตา

 

 

“ไม่ทำไม” เขาว่า “พักผ่อนหน่อยก็ดี”

 

 

เขาอยากพัก? เหนื่อยแล้ว? ร่างกายไม่สบายหรือ? คุณหนูจวินมองเขา ดูไปแล้วก็ยังกระปรี้กระเปร่าไม่เลวนี่ แต่วิ่งไปกลับเป็นเพื่อนตนนานปานนี้ก็ยากเลี่ยงเหนื่อย

 

 

ไม่ได้ให้เขามาก็จะมา โทษใครเล่า

 

 

คุณหนูจวินคิดในใจ แล้วก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง

 

 

เห็นชัดยิ่งว่าในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมเขาต้องตามมาให้ได้แล้ว นอกจากเหตุผลเรื่องแม่ข้าบีบบังคับ บ้านข้าติดค้างน้ำใจเจ้าพวกนั้น

 

 

แค่อยากเรียกชื่อน อยากติดตามคนผู้นี้

 

 

แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แล้วก็ประหลาดอยู่นิดๆ แต่ชอบอย่างไรก็เป็นเจตนาที่ดี ในเมื่อเป็นเจตนาที่ดีก็ควรปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย เสียงละมุน “ข้าก็กำลังอยากพักผ่อนอยู่บ้างเหมือนกัน”

 

 

รอยยิ้มของจูจั้นยิ่งคลี่ออกมา

 

 

เห็นไหม เป็นอย่างที่คิดจัดการใส่ใจหน่อยเช่นนี้ไม่ผิด เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นนางเผยสีหน้าเช่นนี้

 

 

ในห้องโถงใหญ่ยามเช้าตรู่ลูกค้าไม่มากเช่นนั้นอย่างเมื่อคืน

 

 

“เจ้านั่งก่อน” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปดูกับข้าว”

 

 

พูดพลางไม่รอคุณหนูจวินเอ่ยวาจาก็เดินออกไปแล้ว

 

 

สตรีส่งอาหารเดินมาจากห้องครัว เห็นจูจั้นก็คลี่คิ้วดวงตาแย้มยิ้มทันที

 

 

“คุณชายจู” นางเอ่ยอย่างเป็นมิตร

 

 

จูจั้นมองกล่องอาหารที่นางหิ้วมา

 

 

“เตรียมตามที่ข้าบอกไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“คุณชายท่านวางใจเถอะ” นางเอ่ย “ข้าแม่เฒ่าเหยาทำอาหารมาทั้งชีวิตแล้ว ผู้ใดไม่เคยรับใช้”

 

 

จูจั้นพยักหน้า เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ด้วยกันกับนาง

 

 

อาหารหนึ่งชามหนึ่งจานจากในกล่องอาหารวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับที่นางยิ้มแย้มพูดคุย

 

 

“แม่นางน้อยเจ้าวางใจทาน” นางเอ่ย “นี่ล้วนเป็นข้าทำเองกับมือง สะอาดแน่นอน”

 

 

เห็นสตรีคนนี้กับจูจั้นเดินเข้ามาด้วยกัน คุณหนูจวินก็รู้ว่าอาหารนี่เป็นเขาจัดการไว้เป็นพิเศษ นี่ก็ไม่มีอะไร แต่เห็นอาหารที่ยกออกมา นางยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกอยู่บ้างแล้ว

 

 

“พวกนี้ให้ข้ากินหรือ?” นางเอ่ยถาม มองไปทางสตรีเฒ่า

 

 

นางพยักหน้า ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วยังเย้าหยอก

 

 

“แม่นางน้อยช่างโชคดีนักจริงๆ” นางยิ้มเอ่ย “พวกนี้ล้วนเป็นของดี”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ข้ารู้ว่านี่เป็นของดี” นางเอ่ย สีหน้านิ่งสงบ “แต่ข้าไม่ต้องบำรุงครรภ์”

 

 

จูจั้นที่กำลังก้มศีรษะหยิบตะเกียบได้ยินเข้าพลันอึ้งจากนั้นหน้าพลันแดง

 

 

บำรุงครรภ์?

 

 

เขารู้ว่าสตรีคนนี้เป็นหมอเทวดา ประโยชน์ของสมุนไพรทำอาหารย่อมรู้ชัดกว่าใครทั้งหมด คำพูดนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน

 

 

“โธ่ เจ้าเตรียมอะไรมาเนี่ย” เขาถลึงตารีบเอ่ยกับสตรีเฒ่าผู้นั้น “ข้าไม่ได้ให้เจ้าเตรียมอันนั้นหรือ? ทำไมเจ้า…”

 

 

นางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

 

 

“คุณชายไม่ได้บอกว่าแม่นางน้อยร่างกายไม่ค่อยสบาย ไม่สะดวกเดินทางอะไรหรือ?” นางเอ่ยขึ้น มือก็เช็ดบนผ้ากันเปื้อน “นั่นนอกจากมีครรภ์…”

 

 

“ข้าหมายถึงนางเจ้านั่นมา ดังนั้นร่างกายขยับไม่สะดวกไม่ค่อยสบายต้องบำรุงสักหน่อย” จูจั้นตบโต๊ะเอ่ย

 

 

สตรีเฒ่าถูกตวาดอึ้งไป ตอนนี้ถึงได้สติกลับมา

 

 

“อ้อ เช่นนี้หรือ” นางขัดเขินอีก แต่เมื่อคิดขึ้นว่าเงินมาอยู่ในมือแล้วไม่อยากคืนกลับไปจริงๆ ก็รีบยกยิ้มอีกหนมองไปทางคุณหนูจวิน “แม่นางน้อยก็ไม่ต้องรีบร้อน อุ้มท้องเด็กเรื่องเช่นนี้รีบร้อนไม่ได้ อาหารบำรุงเหล่านี้ของข้าก็มีประโยชน์เรื่องบำรุงร่างกายเหมือนกัน…”

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่ง หิ้วสตรีเฒ่าไล่นางออกไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาตกใจถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าไม่มีความโมโห นิ่งสงบมองเขา

 

 

“จูจั้น” นางเอ่ย “ท่านโง่ใช่หรือไม่?”

 

 

………………………