ภาคที่ 5 ตอนที่ 8 เริ่มคุยจากเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ม้าควบเร็วรี่บนถนนใหญ่ แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับการพูดคุยของคนที่ขี่ม้า 

 

 

“นี่จะบอกว่าข้าโง่ได้อย่างไร” จูจั้นที่อยู่บนม้าผายมือเอ่ย ร่างกายมั่นคง 

 

 

คุณหนูจวินหันศีรษะไปมองเขา 

 

 

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้ายังต้องชมท่านว่าฉลาดหรือ?” นางคิ้วตั้งเอ่ย 

 

 

อย่างไรขายหน้าก็ขายหน้าสุดๆ ไปแล้ว ยังกลัวอะไรอีก จูจั้นตาไม่กะพริบหัวใจไม่กระตุก 

 

 

“นี่บอกได้ว่าข้าฉลาด” เขาเอ่ยตอบ “อย่างน้อยข้าก็มองออกว่าอารมณ์เจ้าแปลกไปไหม?” 

 

 

“ท่านสิถึงอารมณ์แปลกน่ะ” คุณหนูจวินถลึงตาเอ่ย 

 

 

“เจ้าดูสิดู นี่แหละแปลก” จูจั้นเอ่ย “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น เป็นอะไรก็ยอมรับอันนั้น เจ้าถามใจดู ลองพูดสิว่าเจ้าไม่ได้ปากไม่ตรงกับใจ?” 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาคล้ายอ้าปากแต่ลิ้นผูกเป็นปมอยู่นิดๆ  

 

 

จูจั้นยังไม่จบ ร้องเอ๋ยื่นมือชี้ใบหูของนาง 

 

 

“เจ้าดู หูแดงแล้ว” เขาตะโกน 

 

 

ทั้งหน้าของคุณหนูจวินล้วนแดงแล้ว โกรธแล้ว 

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านไม่มองสักนิดต่างหาก” นางคิ้วตั้งยิ้มหยัน “ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าแปลก? ท่านถามใจท่านดู พูดสิว่าเป็นปัญหาของใคร” 

 

 

กลัวอะไรก็เจออย่างนั้น จูจั้นฉับพลันสมองส่งเสียงดังบึ้ม รู้ตั้งนานแล้วว่าไม่ควรเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ 

 

 

นอกจากนี้สตรีล้วนปากไม่ตรงกับใจ พูดอะไรว่าก่อนหน้านี้ล้วนผ่านไปแล้ว ให้คุ้นชินกับตอนนี้มองไปข้างหน้า หลอกผีชัดๆ เจ้าดูสินางยังจดจำอยู่เลย 

 

 

นางก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้หรือ? ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตจริงๆ จุดนี้ไม่อาจโต้แย้งได้อย่างแท้จริง 

 

 

จูจั้นหน้าแดง สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก 

 

 

คุณหนูจวินแค่นเสียงเหอะ หมุนร่างกระตุ้นม้าไปข้างหน้า ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าได้ใจอยู่บ้างเล็กน้อย คิดถึงว่าเจ้าหมอนี่ถึงกับสัมผัสอาการเสียกิริยากับอาการตื่นเต้นอยู่บ้างของตนได้ แต่คิดถึงว่าเขากลับคิดว่าอาการเสียกิริยาของตนคือร่างกายไม่สบาย เขาก็อุตส่าห์คิดออกมาได้ 

 

 

โง่หรือไม่โง่น่ะ 

 

 

นางกัดริมฝีปากล่างกลั้นยิ้ม จูจั้นเงียบไม่พูดไม่จาตามอยู่ด้านหลัง ย่อมไม่กลัวถูกเขาพบ 

 

 

“ได้ ตอนนี้เป็นปัญหาของข้า” 

 

 

จูจั้นพลันตะโกน กระตุ้นม้าตามมาอีกหน 

 

 

คุณหนูจวินรีบเก็บสีหน้า ดวงตาไม่เหล่มอง 

 

 

“รู้ก็ดี” นางเอ่ย “มีปัญหาอย่าโยนมาให้ผู้อื่น เป็นปัญหาของท่านเองชัดๆ ท่านควรคิดดูว่าท่านทำไมรู้สึกไม่เหมือนเดิม” 

 

 

“นั่นง่ายดายยิ่ง” จูจั้นเอ่ย “เพราะข้าชอบฉู่จิ่วหลิง ข้าย่อมใส่ใจมากหน่อย ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่ ข้าย่อมไม่ใส่ใจ” 

 

 

เหมือนมีคำแปลกๆ อะไรอยู่ คุณหนูจวินขานอ้อพลางรู้สึกว่าแปลกนัก 

 

 

“ท่านทำไมชอบฉู่จิ่วหลิง?” ในเมื่อรู้สึกแปลก นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พวกท่านก็ไม่รู้จักกันไหม?” 

 

 

ถึงกับถามถึงฉู่จิ่วหลิงหรือ? จูจั้นลนลานอยู่บ้าง ที่จริงเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้กับผู้อื่น 

 

 

“ชอบก็คือชอบสิ มีทำไมที่ไหน” เขาเอ่ยตอบตรงๆ จบประเด็นนี้อย่างรวดเร็ว 

 

 

“ท่านกับนางก็ไม่คุ้นเคยกันสักหน่อย” คุณหนูจวินกลับรู้สึกแปลกนัก ประเด็นจุดขึ้นมาแล้วย่อมต่อง่ายดายนัก 

 

 

“เรื่องเช่นนี้เกี่ยวอันใดกับคุ้นเคยไม่คุ้นเคย!” จูจั้นถลึงตาเอ่ย “คนที่ข้าคุ้นเคยมากไป ก่อนหน้านี้ไม่คุ้นเคยกับเจ้าหรือ? หรือข้าก็ควรชอบเจ้าด้วย” 

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อพลางพยักหน้า 

 

 

เหมือนจะถูก เขากับนางนับว่าเริ่มรู้จักกันที่หรู่หนาน ต่อมาก็พัวพันยุ่งเกี่ยวกัน ไปมาหาสู่กันอีกมากหลายหน คุ้นเคยกันมากจริงๆ แต่เวลานั้นไม่ชอบตนจริงๆ ยังรังเกียจจงใจออกห่างอย่างยิ่งด้วย 

 

 

สายตาของทั้งสองคนสบกัน 

 

 

ไม่ถูกต้อง! 

 

 

ประหนึ่งอสนีบาตเส้นหนึ่งแล่นผ่านกลางอากาศ สะเทือนทั้งสองคนให้ล้วนฉุกใจคิดได้ 

 

 

ฉู่จิ่วหลิงก็คือจวินจิ่วหลิงนี่ นี่ไม่ใช่คนสองคน นี่เป็นคนคนเดียวนะ 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ที่จริงสิ่งที่ท่านชอบคือชื่อชื่อหนึ่ง” คุณหนูจวินรีบเอ่ย คล้ายช้าอีกชั่วครู่จะมีเรื่องยุ่งยากอันใดเกิดขึ้น 

 

 

“เจ้าจะเข้าใจอะไร” จูจั้นหน้าแดงรีบเอ่ย “ที่ข้าชอบคือคน เจ้าสภาพนี้ข้าจะจำได้ได้อย่างไร หากตั้งแต่เริ่มแรกเจ้าบอกว่าเจ้าคือฉู่จิ่วหลิง เจ้าลองดูสิว่าข้าจะชอบหรือไม่ชอบเจ้า” 

 

 

เขายังมีเหตุผลอีก คุณหนูจวินอดไม่ได้ถลึงตาบ้าง 

 

 

“ข้าบอกตั้งแต่แรก ท่านจะเชื่อรึ?” นางเอ่ย 

 

 

จูจั้นสะอึก 

 

 

“ไม่เชื่อ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ 

 

 

นับว่าเขาไม่ได้พูดโกหกหน้าด้านๆ คุณหนูจวินแค่นเสียงเหอะแล้ว 

 

 

“ท่านเกือบจะบีบคอข้าตายอยู่แล้ว” นางเอ่ย ยื่นมือชี้ลำคอของตนเอง 

 

 

ที่พูดถึงนี่ย่อมเป็นตอนที่นางเรียกชื่อเขาออกมากะทันหันที่หรู่หนาน 

 

 

จูจั้นก้มศีรษะอยากขยี้ปลายเท้า แต่พบว่าตนเองขี่อยู่บนม้า 

 

 

“เจ้าต้องพูดถึงเหตุผลด้วยสิ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “เวลาเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าไม่ทำเช่นนี้หรือ?” 

 

 

หากเวลานั้นฉับพลันมีคนเรียกนางว่าฉู่จิ่วหลิง นางคงวางยาเขาตายทันทีแน่นอน คุณหนูจวินคิดอย่างตั้งใจ 

 

 

“แน่นอนไม่มีทาง” นางแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง 

 

 

“ข้ายังพูดอะไรได้อีก” เขาผายมือเอ่ย 

 

 

สตรีหากไม่พูดกันด้วยเหตุผล ยังจะทำสิ่งใดได้อีก? 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ท่านผิดถูกหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

จูจั้นขานอ้อ ฉับพลันก็แปลกใจอยู่บ้างอีกหน 

 

 

“เรื่องไหน?” เขาเอ่ยถาม หลังจากนั้นในใจก็ยิ่งรู้สึกแปลก “พวกเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?” 

 

 

เขามองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินก็มองเขา 

 

 

ถูกแล้ว พวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่? 

 

 

เหมือนพูดถึงเรื่องเขาชอบฉู่จิ่วหลิง 

 

 

ฟ้าแจ้งคล้ายมีอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาอีกหน ระเบิดจูจั้นจนรู้สึกว่าทั้งร่างควันโชยขึ้นมา 

 

 

“ข้า ข้าพูดไปแล้วหรือ?” เขาเอ่ยติดอ่าง 

 

 

“ท่านยังไม่ได้พูด” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยอย่างตั้งใจ ยื่นมือชี้ด้านหน้าอีกหน “เดินไปข้างหน้าอีกไม่ไกลก็มีศาลาพักม้าแห่งหนึ่ง ท่านไม่ใช่กังวลถึงข่าวแดนเหนืออยู่ตลอดหรือ? ไปถึงที่นั่นก็ลองดูสิว่ามีของที่ท่านต้องการหรือไม่” 

 

 

จูจั้นขานอ้อมองไปทางด้านหน้า พูดไปแล้วก็ไม่ได้รับข่าวแดนเหนือมาพักหนึ่งแล้ว เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่? เขาขมวดคิ้ว 

 

 

คุณหนูจวินเร่งม้าเดินไปข้างหน้าเร็วไว คล้ายสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนาง ฝีเท้าม้าเปลี่ยนเป็นแผ่วเบา เสียงฝีเท้าม้าก็คล้ายไม่ได้ยิน เกรงว่าจะทำให้รบกวนสิ่งใดเข้า 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

แดนเหนือไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ตั้งแต่หลังเจรจาสงบศึกก็สงบไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใกล้เป่าโจว สยงโจวกับป้าโจว 

 

 

ชาวจินย้ายเข้ามาแล้ว ไม่ได้เหิมเกริมรุกรานชายแดน นอกจากนี้ชาวโจวในเมืองทั้งสามที่หนีออกมาไม่ทันนี่ก็ได้รับการจัดการอย่างดีเช่นกัน ไม่ได้ถูกข่มเหงหยามหมิ่นจับเป็นทาส ชีวิตสงบนักจนทำให้คนรู้สึกว่าสงครามการเข่นฆ่าช่วงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพฝัน 

 

 

ทว่าอย่างไรก็ใกล้เมืองชายแดนเกินไปแล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีแม่น้ำจวี้หม่า มีพื้นที่ว่างเปล่าที่เกิดจากสงครามนับร้อยปีกั้นขวาง หนึ่งก้าวก็ข้ามไปได้ ดังนั้นยังมีเรื่องเล็กน้อยบางอย่างเกิดขึ้น 

 

 

บนป้อมปราการแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของอันกั๋วเมืองฉีโจว ทหารโจวสิบกว่านายกำคันศรในมือแน่น สีหน้าตึงเครียดมองไปนอกป้องปราการ 

 

 

นอกป้อมปราการไม่มีทหารม้าที่น่ากลัวอันใด มีเพียงผู้เฒ่าสองคนที่สวมเสื้อขนสัตว์เห็นชัดว่าเป็นเครื่องแต่งกายของชาวจิน 

 

 

พวกเขาไม่มีดาบหอก แล้วก็ไม่ได้มีสีหน้าดุร้ายชั่วร้าย ตรงกันข้ามกำลังยกมือเช็ดน้ำตาคล้ายกำลังร้องไห้ แล้วพุ่งมาคำนับที่ป้อมปราการด้านนี้หลายครั้งหลายหน 

 

 

“รีบไล่ไป!” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าตวาดเสียงดังอีกครั้ง โบกมือใส่พวกเขา พลางยกคันศรในมือขึ้น “ผู้ที่ข้ามแดนสังหารไม่เว้น” 

 

 

ชาวจินสองคนสะอึกสะอื้นเอ่ยภาษาหูที่ฟังไม่เข้าใจอีกพรวนหนึ่ง ท้ายที่สุดหวาดกลัวลูกธนูที่ฉายประกายเย็นเยียบบนป้อมปราการจึงส่ายศีรษะจากไปอย่างจนปัญญา 

 

 

คนบนป้อมปราการเห็นพวกเขาหายไปจากสายตาถึงโล่งอก 

 

 

“จางจือเฉิง พวกเขาทำอะไร?” ผู้บัญชาการทหารหลี่ที่ได้ข่าวรีบมาเอ่ยถาม 

 

 

จางจือเฉิงท่าทางไม่ใส่ใจอยู่บ้าง 

 

 

“คนเลี้ยงสัตว์ชาวจินสองคน บอกว่าแพะหลายตัวหายไป เห็นวิ่งมาในเมืองของพวกเรา จึงอยากเข้ามาหาดู” เขาเอ่ย 

 

 

…………………………