เป็นเพราะหายตัวจากราชอาณาจักรมายังโครอา ทำให้ทั้งอาซนอนขลุกทั้งวันไม่ลุกขึ้นเหมือนกับตอนที่อาเรียใช้พลังจากนาฬิกาทราย

ทว่าโชคดีที่เขาแตกต่างจากอาเรีย แม้เธอจะได้รับการกระตุ้นจากภายนอกก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ แต่เขากลับสามารถลืมตาและตั้งสติได้หากเขย่าอย่างรุนแรง

แต่เนื่องจากยังไม่สามารถใช้ชีวิตแบบสภาพที่ปกติ จึงต้องปิดตัวอยู่แต่ในห้องอ้างว่ากำลังทำงานที่คั่งค้างไว้

“…อย่าทำเรื่องบุ่มบ่ามแบบนี้อีกนะคะ”

อาเรียพูดพร้อมกับยื่นน้ำเย็นให้อาซที่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน เมื่อคิดว่าเขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องที่สำคัญ แต่เป็นเพราะงานวันเกิดของเธอยิ่งทำให้ไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก

อาซตอบกลับอย่างเรียบเฉย

“จะไม่ทำอะไรให้เลดี้ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ”

ไม่ได้จะรับปากว่าจะทำตามคำแนะนำของอาเรีย แต่เป็นคำตอบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแบบนี้อีกครั้งหรือเปล่า

สภาพขนาดนี้แล้วยังจะตอบเช่นนี้ได้อีกหรือ! อาเรียขมวดคิ้วขึ้นมา

“ไม่ระวังตัวเลยนะคะ! แล้วไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นถึงมกุฎราชกุมาร จะมาทำตัวหุนหันพลันแล่นแบบนี้ไม่ได้นะคะ!”

แม้จะต่างจากตัวเองที่สามารถลืมตาได้เมื่อปลุกขึ้นมา แต่ถ้าหากโดนคุกคามกะทันหันอย่างไม่คาดคิดอาจเสียชีวิตได้

พออาเรียโมโหใส่อาซจึงบอกว่าอย่าเป็นห่วงพลางจับมือเธอนิ่งๆ

“หากไม่เกี่ยวกับเรื่องเลดี้ผมไม่ทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้นหรอกครับ”

“นี่…!”

ใช่เรื่องที่ควรพูดหรือนั่น

แต่เขาก็ยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางบอกว่าเป็นเพราะตัวเธอเองทำให้เธอโกรธไม่ลง

แต่เนื่องจากเรื่องนั้นจะแค่รับทราบและปล่อยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ อาเรียจึงพูดเตือนไว้เสริม คำเตือนที่ไม่ให้อาซดื้อไปมากกว่านี้

“…เข้าใจแล้วค่ะ หากคุณอาซพูดเช่นนั้น ก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นฉันจะไม่มาหาคุณอาซในห้องแบบนี้แล้วนะคะ เชิญทำตามสบายเถอะค่ะ จะไม่มีการโอบรับแบบเมื่อวานแน่นอนค่ะ และจะไม่มีการเอาน้ำมาให้แบบนี้ด้วยค่ะ”

“…”

ท้ายที่สุดแล้วคนที่เสียผลประโยชน์ก็คืออาซ

เพราะคำพูดที่ว่าแม้จะใช้พลังมาเพื่อได้พบก็ตาม หล่อนจะไม่ยอมมาพบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเพราะเขาดื้อรั้นเลยทำให้อาเรียโกรธด้วย

“ไม่พูดอะไรตอบหน่อยเหรอคะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะคิดว่ายอมรับข้อตกลงแล้วนะคะ”

น้ำเสียงที่เหมือนจะขังเขาไว้ในห้องในเดี๋ยวนั้น อาซจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกันพยักหน้า

ไม่รู้ว่าจะสามารถปกป้องได้จริงหรือไม่ แต่การคลายอารมณ์โกรธของอาเรียคือสิ่งสำคัญในตอนนี้

* * *

“ตายจริง ผ่านไปวันเดียวไปทำอะไรมาถึงได้ดูซูบผอมขนาดนี้เชียวคะ”

ไวโอเล็ตถามไถ่อาซที่ลงมาทานอาหารเช้าในห้องอาหารด้วยสีหน้าตกใจอย่างมาก เพราะอาซอิดโรยมากตามที่หล่อนพูดจริงๆ

อาเรียจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางตอบคำถามแทนอาซ

“ท่านเป็นมกุฎราชกุมารนี่คะ หนูเองก็ไม่ได้ทราบละเอียดเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าน่าจะทำงานหนักมาแน่เลยค่ะ”

“…”

แม้จะบอกว่าปล่อยผ่านไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายโกรธ ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้อาซพูดไม่ออก

อาซจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร ไม่พูดออกไปจะดีเสียกว่า

“คิดว่าจะกลับไปวันนี้เลยเหรอคะ”

“ใช่แล้วครับ เดี๋ยวรับประทานอาหารเสร็จก็จะออกเดินทางเลยครับ”

“อย่างนั้นหรือคะ… ไม่นานก็กลับแล้วสินะคะ ท่านอุตส่าห์มาเยือนที่นี่สมกับที่ตั้งตารอไว้ แต่ฉันกลับต้อนรับได้ไม่ดีเช่นนี้ รู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ”

“ต้อนรับไม่ดีอย่างไรกันล่ะครับ กลับกันผมรู้สึกสนุกสนานเต็มที่แล้วล่ะครับ ผมเองก็มีส่วนผิดที่จู่ๆ ก็มาเยือนอย่างกะทันหัน มาร์เชอเนสไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นมากไปเลยครับ”

“ได้ยินท่านพูดเช่นนั้นฉันก็โล่งใจค่ะ”

ดูเหมือนว่าหล่อนจะใส่ใจเรื่องนั้นจริงๆ สีหน้าของไวโอเล็ตดูอ่อนโยนลง

“อาเรีย แล้วหนูคิดจะกลับไปเมื่อไหร่ล่ะ ถ้าตามแผนการเดิมก็ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ”

อาเรียพยักหน้าและตอบคำถามของคาริน

“ค่ะ ตอนแรกคิดจะทำเช่นนั้นแต่จู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้คาดคิดมาเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องแยกกันกลับ หลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จก็จะออกเดินทางพร้อมกับคุณอาซเลยค่ะ”

สีหน้าไวโอเล็ตเผยความกังวลเล็กน้อยจากคำตอบนั้น

ราวกับจะไม่ได้เจอกันอีกครั้ง แต่จะว่าไปเมื่อเทียบกับการที่มีชายแดนก็ถือว่าเป็นระยะที่ใกล้ ดังนั้นจึงสามารถไปมากันได้ทุกเมื่อเท่าที่ต้องการได้อย่างไรล่ะ

“อย่างนั้นสินะ และเตรียมตัวเสร็จหรือยังจ๊ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้รถม้าจะถูกเตรียมรออยู่แล้วนะ”

“ค่ะ เพราะเอาของมาไม่เยอะเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีอะไรที่ต้องเตรียมมากน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันระวังๆ นะ ไว้หาเวลาเหมาะสม แม่จะไปเยี่ยมนะจ๊ะ”

“ค่ะ ท่านแม่”

เนื่องจากเหลือเวลาก่อนจะต้องออกเดินทางอีกไม่นานไม่จริงๆ คาริน รวมไปถึง โคลอี และมาร์ควิสเปียสต์จึงบอกให้อาเรียเดินทางกลับอย่างปลอดภัย

เว้นแต่ไวโอเล็ตที่ยังเผยสีหน้าเศร้าหมองอยู่เช่นนั้น

แม้จะเป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้ว แต่แม้กระทั่งตอนที่เธอรับประทานเสร็จแล้วก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่รับประทานอาหารเคล้าความเศร้าอย่างช้าๆ ก็เท่านั้น

และรับประทานอาหารจนเสร็จทั้งที่ยังอยู่ในสภาพนั้น จนกระทั่งออกไปรอหน้าประตูเพื่อส่งอาซและอาเรียก่อนจะเดินทางไปราชอาณาจักร

หญิงที่คอยพูดจาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ อาเรียได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไวโอเล็ตปิดปากเงียบราวกับพูดไม่ได้

“งั้นขอตัวก่อนนะคะ ได้โปรดรักษาตัวกันด้วยนะคะ”

อาเรียและอาซที่ยืนอยู่หน้ารถม้าบอกลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย จนถึงตอนนั้นไวโอเล็ตก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในที่สุดอาเรียเป็นห่วงก็จับมือหล่อนพร้อมกับบอกลาอีกครั้ง

“ไม่ต้องกังวลไปเลยนะคะ ไม่ได้แยกจากกันตลอดไปเสียหน่อย ได้โปรดมาเยือนที่ราชอาณาจักรพร้อมกับท่านแม่นะคะ แม้จะไม่งดงามอย่างคฤหาสน์ของมาร์ควิสก็ตาม แต่คฤหาสน์ที่ราชอาณาจักรก็งดงามอยู่เหมือนกันค่ะ”

“…เลดี้อาเรีย”

ไม่รู้ว่าไวโอเล็ตอดทนไม่ร้องไห้มาตลอดหรือเปล่า ทันใดนั้นจู่ๆน้ำตาของหล่อนก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับจับมืออาเรียไว้

“ได้โปรด… รักษาตัวด้วยนะจ๊ะ แล้วก็ถ้ามีเรื่องอะไรติดต่อมาได้ตลอดเลยนะ อีกไม่นานฉันจะรวบรวมความกล้าแล้วไปเยือนที่ราชอาณาจักรนะ”

ไวโอเล็ตที่พูดทั้งน้ำตาพร้อมกับเผยสีหน้าราวกับไม่ต้องการจะปล่อยให้อาเรียแยกจากไปจริงๆ

ความรู้สึกเสียดายและเสียใจเพราะยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้ถูกส่งผ่านมือคู่นั้นไปถึงอาเรีย

แม้แต่คารินซึ่งเป็นแม่ของเธอยังดูสงบเสงี่ยมอยู่ เป็นความรู้สึกที่อาเรียเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก

เพียงแค่ตัดสินใจก็สามารถมาพบกันได้อีกครั้งอยู่แล้ว ทำไมถึงได้เศร้าสร้อยขนาดนี้ล่ะ แม้จะรู้สึกสงสัยก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือความเศร้าของไวโอเล็ต อาเรียก็รู้สึกเสียดายที่ต้องแยกจากไวโอเล็ตเช่นกัน

แม้เธอจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ก็ตาม เป็นแค่ผู้หญิงที่สนใจสายตาคนรอบข้างมากจนออกไปข้างนอกไม่ได้ ทำได้แค่ดื่มชาและพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตามสิ่งที่ยังรู้สึกเสียดายอาจจะเป็นเพราะไวโอเล็ตยังคิดว่าเธอไม่ได้มอบความรักให้อาเรียอย่างเต็มที่

จนถึงขั้นคิดเรื่องไร้สาระว่าหากพรหมลิขิตไม่เล่นตลก คารินและโคลอีไม่ได้แยกจากกัน เธออาจจะเติบโตมาในครอบครัวอบอุ่นจนแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างนั้นจึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

“มาร์เชอเนส ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมคอยอยู่ข้างๆ เธออยู่แล้ว ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอนครับ”

ทันทีที่อาเรียเอ่ยปากตอบไปไม่ได้ อาซที่อยู่ข้างๆ จึงพูดตอบให้แทนเพื่อบรรเทาความกังวลของไวโอเล็ต ไม่ใช่ใครอื่นใดแต่เป็นเจ้าชายที่พูดเช่นนั้น มีหรือที่ใครจะเอะใจ

“…ขอบคุณค่ะ รบกวนดูแลเลดี้อาเรียด้วยนะคะ”

ท้ายที่สุดทันทีที่ไวโอเล็ตพยักหน้าราวกับเชื่อคำพูดนั้น อาเรียและอาซก็ขึ้นรถม้าด้วยกันหลังบอกลาเสร็จ

ราวกับเร่งรีบอะไรจนถึงกับไม่เหลือช่วงให้ได้พัก รถม้าก็เริ่มออกเดินทาง อาเรียมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นคฤหาสน์มาร์ควิสที่ค่อยๆ เล็กลง ทั้งครอบครัวของเธอที่ค่อยๆ ตัวเล็กลง

“เลดี้ ใช้นี่เถอะครับ”

และตอนนี้คฤหาสน์มาร์ควิสก็กลายเป็นจุดเล็กๆ จนลับหายไป ทันใดนั้นอาซที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้อาเรีย

อันนี้… ทำไมล่ะคะ อาซมองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอาเรีย แทนที่จะยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ กลับยื่นมือตัวเองออกไปเช็ดแก้มของเธอ

“เลดี้ร้องไห้อยู่นะครับ”

“…ฉันหรือคะ”

อาเรียได้ยินพลางตกใจคำพูดของอาซทันใดนั้นจึงหันลงไปมองผ้าเช็ดหน้าก็เห็นว่ามันเปียกอยู่จริงๆ

เมื่อไหร่กันนะที่เธอร้องไห้ น้ำตาไหลครั้งสุดท้ายตอนที่ได้ฟังคำสารภาพจากมิเอลก่อนจะโดนตัดคอหรือเปล่านะ

ไม่สิ แม้หลังจากนั้นก็ตามเหมือนจะร้องไห้ออกมาด้วยความโกรธ ความแค้น แต่ยังไม่เคยน้ำตาไหลเพราะความเศร้าอันบริสุทธิ์เช่นนี้

“…สงสัยจะร้องไห้ตามมาร์เชอเนสแน่เลยค่ะ เหมือนกับการหาวตามกัน เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นไหมคะ”

ได้เจอกันนานเท่าไหร่เอง ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันตลอดไปเสียหน่อย อาเรียที่อับอายเพราะให้คนอื่นเห็นน้ำตาตัวเองจึงพยายามพูดแก้ตัวราวกับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

อาซเช็ดดวงตาอาเรียที่ร้อนระอุพลางเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

 “ใช่ครับ บางครั้งก็เป็นเช่นนั้นครับ และจากประสบการณ์ของผมหากมีการส่งต่อความรู้สึกกันล่ะก็ อย่าพยายามที่จะปฏิเสธมันให้ยอมรับมันเช่นนั้นจะดีเสียกว่าครับ หากความรู้สึกก่อตัวขึ้นมากเรื่อยๆ อาจจะกลายเป็นความโกรธได้นะครับ”

อาซพูดเช่นนั้นพลางวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนหน้าตักอาเรียพร้อมกับหันหน้าไปตรงกันข้ามเธอ ราวกับบอกให้เธอเสียใจได้อย่างเต็มที่ อย่าพยายามไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะด้วยนิสัยของอาเรียก็ไม่ใช่ผู้ที่เผยความรู้สึกอ่อนแอออกไปง่ายๆ

อาเรียกล่าวขอบคุณสำหรับความห่วงใยจากนั้นจึงหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

ทั้งที่มือยังจับผ้าเช็ดหน้านั้นอยู่

* * *

เนื่องจากไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการพักผ่อนหรือไปท่องเที่ยว นอกจากแวะเข้าหมู่บ้านนั้นก็นั่งรถม้าอยู่ตลอด

บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของอาซที่มัวแต่คิดจนไม่พูดอะไรทั้งยังซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด

เนื่องจากอาซมาเยือนที่โครอาทั้งที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน อาเรียเดาว่าคงจะมีงานกองไว้เยอะจึงส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอของอาซที่ค่อยๆ เดินทางกลับ

เนื่องจากคำพูดที่เปลี่ยนไปกลางคันบ่อยๆ แม้จะรีบวิ่งเดินทางกลับไปก็ตามระยะทางหนึ่งอาทิตย์ก็สามารถร่นเหลือสี่วันได้

“ระยะทางประมาณนี้สามารถกลับไปได้อยู่แล้วล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“…ค่ะ”

อาซพูดว่าจะใช้พลังเพื่อเดินทางกลับก่อนโดยไม่ทันตั้งตัว

เหตุใดถึงได้กล่าวคำพูดที่ไม่ใส่ใจและดูเย็นชาพวกนั้นออกมาได้นะ อาเรียถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป อาซถือของไม่กี่ชิ้นของตัวเองพลางพูดอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ เพราะผมทิ้งงานสำคัญไว้อยู่น่ะครับ หากกลับไปพร้อมกันคนขับรถม้าอาจจะสงสัยแน่ ถ้าอย่างนั้นผมกลับไปคนเดียวก่อนนะครับ”

ถ้าจะทำเช่นนั้นก็ไม่ควรมาเสียแต่ทีแรกสิ ยิ่งไปกว่านั้นเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งวันก็จะเดินทางถึงแล้ว กลับไปคนเดียวแบบนี้เข้าท่าเสียที่ไหนล่ะ

ช่างน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ ทว่าความตั้งใจของอาซนั้นเด่นชัดเสียจนอาเรียที่กำลังจะเอ่ยปากรีบปิดปากเงียบทันที

“เจอกันที่เมืองนะครับเลดี้”

“…เพียงแค่วันเดียว ไม่สิ เหลือเวลาแค่ครึ่งวันยังกลับไปแบบนี้ ดูท่าจะยุ่งมากเลยนะคะ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันจริงๆ หรือเปล่า”

อาซยิ้มตอบทั้งที่ไม่ได้พูดอะไร อาเรียที่ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นจึงออกคำสั่งอาซพร้อมกับหลบสายตา

“…รีบไปสิคะ ยุ่งมากไม่ใช่เหรอคะ”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นพบกันวันพรุ่งนี้นะครับเลดี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

จากนั้นอาซก็หายตัวไปพร้อมกับคำพูดนั้น อาเรียที่นอนคลุมผ้าห่มมาถึงคอหลับตาลงด้วยความหงุดหงิด พลางบ่นพึมพำว่าอย่างไรเสียก็จะได้เจอกันวันพรุ่งนี้แล้ว ทำไมถึงกลับไปก่อนก็ไม่รู้

อาเรียที่ได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่อย่างเช่นทุกวัน ได้พาแอนนี่และเจสซี่ขึ้นรถม้าไปแทนที่ว่างของอาซ เนื่องจากรถม้าของเธอสามารถนั่งได้สะดวกสบายกว่ารถม้าของบรรดามหาดเล็ก เพราะไม่จำเป็นต้องอยากได้พื้นที่มากขนาดนั้น

เรื่องของอาซที่ทิ้งจุดหมายเช่นเธอไว้แล้วหายตัวไป ทั้งเจสซี่และแอนนี่ต่างเบิกตาโตปกปิดความสงสัยไม่มิด

“บอกว่าจะกลับไปคนเดียวเหรอคะ!”

“ใช่สิ”

“ทำไมเหรอคะ…”

“ท่านบอกว่ามีเรื่องยุ่งน่ะ”

เพราะเสียงของอาเรียที่ตอบฟังดูเย็นชืดมาก แอนนี่จึงไม่ได้ถามอาเรียเพิ่มอีก

เจสซี่ก็พอจะดูออกว่าอาเรียกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ พลางคิดว่าถ้าจะเป็นแบบนี้สู้นั่งรถม้าไปกับมหาดเล็กน่าจะดีเสียกว่า

เดินทางอย่างไม่หยุดพักใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะถึงเมืองหลวง

“…เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ”

เจสซี่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างตะโกนเสียงดังราวกับมีอะไรผิดแปลกไป

“ทำไม”

“ดูนั่นสิคะ!”

เจสซี่ชี้ไปที่ผนังรอบๆ เมืองหลวง และแอนนี่ที่หันไปตามทางที่เจสซี่ชี้ก็แสดงท่าทางเช่นเดียวกับกับเธอ

 “ตายแล้ว…!  นั่นอะไรน่ะ ดอกไม้ ดอกไม้เหรอ แล้วทำไมดอกไม้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ

อาเรียเห็นท่าทางแปลกของทั้งสองคนจึงเปิดหน้าต่างและชะโงกหน้าออกไปดูกำแพง ทันใดนั้นก็เบิกตาโตปิดความตกใจได้ไม่มิด

เป็นเพราะกำแพงเมืองที่เห็นจากในรถม้าต่างถูกตกแต่งด้วยดอกทิวลิปทั้งแถบ

……………..