“นั่น… ทิวลิป…!”

มีหรือจะไม่ตกใจได้น่ะ มีทิวลิปมากมายถูกตกแต่งอยู่บนกำแพงที่ปกป้องราชอาณาจักรอย่างไรล่ะ

คนที่ต่อแถวรอเข้าเมืองก็คิดเหมือนกันหรือเปล่านะ ทุกคนต่างจ้องมองไปยังกำแพงที่ถูกเติมแต่งด้วยดอกทิวลิปจนปวดตาไปหมด

เจสซี่มองกำแพงที่ถูกตกแต่งไว้อย่างอลังการ พลางหันไปถามอาเรียด้วยแววตาเป็นประกาย

“ในเมืองมีการจัดเทศกาลอะไรหรือเปล่าคะ”

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ! ในฤดูหนาวแบบนี้ใครจะจัดเทศกาลกัน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะเป็นงานใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม ก็คงไม่มีทางเห็นดอกไม้มากมายขนาดนั้นล่ะมั้ง”

แอนนี่ค้านว่าพูดเรื่องไร้สาระก่อนที่อาเรียจะตอบด้วยซ้ำ เจสซี่ก็เห็นด้วยว่าหล่อนพูดถูก

“ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ กำแพงถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เลดี้มีเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ไหมคะ”

“…”

คำถามนั้นทำให้อาเรียนึกถึงอาซขึ้นมาชั่วพริบตาทันที

เพราะในช่วงฤดูหนาวก็มีแค่เจ้าชายที่สามารถใช้ดอกทิวลิปที่บานอยู่เตรียมการใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไรล่ะ

อาเรียไม่ตอบอะไรพลางกลอกตาไปมา ทันใดนั้นแอนนี่ที่หูตาไวก็เบิกตาโตพร้อมกับปิดปากตัวเอง ดูเหมือนว่าหล่อนก็นึกถึงอาซเช่นกัน

“ตายจริง… อย่าบอกนะคะว่า…! เพราะอย่างนั้นเลยเดินทางกลับมาที่เมืองก่อนอย่างนั้นเหรอคะ…!”

เพื่อเตรียมวิวทิวทัศน์อันงดงามพวกนี้เป็นของขวัญให้อาเรีย

ไม่สิ ไม่ได้เพราะแค่ตั้งใจจะอวดดอกทิวลิปหรอก ต้องมีเป้าหมายที่ใหญ่มากยิ่งกว่าจึงเตรียมการเอาไว้ไม่ผิดแน่แอนนี่รีบใช้ความคิด จากนั้นจึงคาดการณ์ความน่าจะเป็นไปในทิศทางอื่นได้จึงตะโกนออกมา

“เป็นอะไรไป แอนนี่”

เจสซี่ที่ยังทำความเข้าใจสถานการณ์ไม่ได้ จึงหันไปถามแอนนี่ พลางตำหนิหล่อนว่าไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย

“ทำไมถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่!”

“ทำไม…”

“เฮ้อ ในฤดูหนาวเช่นนี้จะมีใครที่สามารถหาดอกทิวลิปได้เยอะแบบนี้อีกล่ะ! คิดว่าจะเตรียมไว้ให้ใครดูกันล่ะ!”

เจสซี่ที่ถูกกระตุ้นจึงกลอกตาไปมา ทันใดนั้นดูเหมือนหล่อนก็นึงถึงใครคนหนึ่งเช่นกันจึงเบิกตาโตขึ้น

ในระหว่างนั้น รถม้าก็ขับผ่าประตูเข้าไปในเมือง เนื่องจากไม่ใช้รถม้าของใครอื่นแต่เป็นรถม้าของอาเรีย จึงไม่เสียเวลาตรวจสอบนานมาก

 และแล้ว

“กลับมาแล้วหรือครับ เลดี้เปียสต์”

ทันทีที่เข้าไปยังราชอาณาจักร องครักษ์นับร้อยคนต่างคำนับไปยังอาเรีย ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ประจำราชวงศ์ เพราะชุดเครื่องแบบที่พวกเขาใส่เป็นสีขาวเหมือนในพิธีทางการ

และดูเหมือนว่าผู้คนรอบๆ ต่างรอคอยมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานาน คนที่เดินไปมาตามถนนต่างจ้องมองมาด้วยเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น

“กำแพงนั่นเพียงแค่ตัวอย่างล่ะมั้งคะ…!”

ดูเหมือนว่าทิวลิปที่ล้อมรอบกำแพงนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทุกสิ่งที่เห็นต่างเต็มไปด้วยดอกทิวลิปยกเว้นทางวิ่งและทางม้าผ่าน

ในระหว่างที่อาเรียตกใจจนพูดไม่ออกกับทางที่เรียงรายไปด้วยดอกทิวลิปราวกับนำทาง ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ต่างกรูเข้ามาห้องล้อมเธอ

“เจ้าชายกำลังรออยู่ครับ”

เมื่อได้ยินเสียงคนขับรถม้าเข้ามาทางหน้าต่าง อาเรียจึงตั้งสติได้พร้อมกับพยักหน้า ทันใดนั้นคนขับรถม้าก็เริ่มบังคับรถม้าไปยังจุดหมายอย่างช้าๆ

“เพิ่งกลับมาเมื่อคืนเองไม่ใช่หรือคะ เพียงแค่ข้ามคืนท่านเตรียมการของพวกนี้ได้อย่างไรคะเนี่ย…!”

ทั้งกำแพงเมืองและตามทางถูกตกแต่งอย่างงดงามอลังการเช่นนี้ เวลาเพียงข้ามคืนไม่สามารถทำได้แน่นอน ถึงจะบอกว่ายืมมือพวกเขามาช่วยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์

“เจ้าชายท่านต้องเตรียมการไว้นานแล้วแน่เลยค่ะ! จะได้ตรงกับวันที่เลดี้กลับมาอย่างไรล่ะคะ!”

แอนนี่ตอบว่ามันแน่นอนไม่ใช่อยู่แล้วเหรอ

เดิมทีอาเรียตั้งใจจะกลับราชอาณาจักรในวันเกิด ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นไปได้

ไม่ใช่อาซหรอกหรือที่สัญญาว่าจะใช้ทุกอย่างในราชอาณาจักรเพื่อทำการขอแต่งงานอย่างอลังการยิ่งใหญ่ที่สุด แม้จะไม่ใช่ทั้งราชอาณาจักรก็ตาม แต่เขาก็รักษาคำสัญญากับอาเรียโดยการใช้ทั้งเมือง

“ตายแล้ว… หรือจะเป็นดอกไม้นั่นเหรอคะ ดอกไม้ที่เลดี้เคยได้รับเมื่อก่อนน่ะค่ะ”

“อ๋อ! ดอกไม้ที่ไม่เหี่ยวเฉาน่ะเหรอ!”

“ท่านช่างโรแมนติกเสียจริง…”

“ก็นั่นน่ะสิ บารอนเวอร์บูมน่าจะเอาอย่างบ้างนะ”

ในระหว่างที่เจสซี่และแอนนี่ต่างประทับใจอยู่ซ้ำไปซ้ำมา อาเรียก็ประทับใจกับดอกไม้ที่อาซทำขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไร

ภาพตัวเองที่ตำหนิอาซเมื่อขึ้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้จะเข้าใจว่าเพื่อเตรียมการและตรวจสอบให้แน่ใจ แต่คงจะไม่เหลือความรู้สึกนั้นแล้ว

รถม้าขับผ่านทางเข้าเมืองหลวง ผ่านจัตุรัสและกำลังเคลื่อนรถไปยังราชวัง ทุกที่ที่กวาดสายตาไปมอง ไม่มีจุดไหนที่ไม่งดงามจึงไม่สามารถละสายตาได้เลย

ยิ่งกว่านั้นตามที่แอนนี่บอกดูท่าว่าจะถูกตกแต่งไว้แบบนี้นานแล้ว คนทั่วไปจึงไม่มีใครสนใจดอกไม้พวกนั้นราวกับคุ้นชินกับมัน

ที่มากกว่านั้นคือทุกคนต่างให้ความสนใจรถม้าของอาเรียที่ได้รับการคุ้มครองจากองครักษ์ ทุกเส้นทางที่ขับผ่านทุกคนที่ได้เห็นต่างเฝ้าดูรถม้าของอาเรียด้วยสีหน้าที่มีความสุขยิ้มแย้ม ราวกับคาดหวังว่าในที่สุดก็มาถึงแล้วสินะ

“พระเจ้า ช่างงดงามเสียจริง…!”

“เพราะเป็นผู้ที่งดงามและยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย จึงเตรียมการขอแต่งงานเสียยิ่งใหญ่แบบนี้สินะ”

“นั่นสิ ทั้งยังไม่ใช่เลดี้จากตระกูลธรรมดาอีกด้วย ตอนนี้จะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งราชอาณาจักรก็ไม่ดูผิดเพี้ยนไปเลย!”

“ได้ปราบกองกำลังก่อกบฏนั่นแล้ว และยังได้ต้อนรับว่าที่มกุฎราชกุมารีที่แสนงดงามเช่นนี้ อาณาจักรเราไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”

พวกเขาต่างพร้อมใจกันชื่นชมยกย่องอาเรียด้วยความรู้สึกยินดี มองเห็นความหวังของอาณาจักรที่จะดีขึ้น

และยังหวังว่าอาเรียที่มีต้นกำเนิดต่ำต้อยได้ไต่เต้าไปถึงตำแหน่งสูงสุดแล้วอาจจะช่วยอะไรให้พวกเขาได้บ้าง

ราวกับตั้งใจจะแสดงความทุ่มเทของอาซให้อาเรียได้เห็น เมื่อองครักษ์และรถม้าของอาเรียขับผ่านเมืองไปอย่างช้าๆ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นต่างหยุดทำงานและตามหลังรถม้าของอาเรียไป

ด้วยความคาดหวังว่าเจ้าชายจะรอคอยอาเรียด้วยลักษณะแบบไหน เพราะการจัดงานที่ยิ่งใหญ่หรูหราแบบนี้อาซเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นครั้งแรก

มาถึงวังหลวงโดยมีเหล่าผู้คนคอยนำทางมา แต่ยังมีฝูงชนมากมายที่รออยู่ข้างนอกมากกว่าจำนวนคนที่นำทางอาเรียมาเสียอีก รีบไปจับจองมุมดีๆ ที่วังหลวงก่อนหน้านี้แทนที่จะเดินตามหลังรถม้า เพื่อจะได้ดูการขออภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารสินะ

แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่ประตูที่เคยปิดแน่นหนาอยู่ตลอดลกับเปิดออกกว้างและองครักษ์ที่เฝ้ายามตรวจสอบผู้มาเยือนด้วยสีหน้าบึ้งตึงกลับโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งและต้อนรับการมาถึงของอาเรียโดยไม่ถามอะไร

“เชิญครับ เลดี้เปียสต์”

“เชิญเข้าไปได้เลยครับ”

รถม้าเข้าไปในวังโดยไม่ชักช้า

ราวกับว่าได้เตรียมทางไปยังสวนใหญ่ของวังเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ทางที่รถม้าผ่านไม่มีร่องรอยหรือใครมารบกวนเลย แม้แต่นกที่ปกติคอยส่งเสียงร้องออกมาดังสนั่น ยังเฝ้ามองภาพนั้นอย่างเงียบๆ

หลังจากการเดินทางที่ยาวนานได้จบลง รถม้าหยุดลงตรงด้านหน้าน้ำพุขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางสวน

ซึ่งที่ตรงนั้นมีอาซที่กำลังยืนรอเธออยู่ เขาสวมชุดหรูหราอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเพื่อความเหมาะสมสำหรับวันนี้

“ถึงที่หมายแล้วขอรับ”

องครักษ์ที่คอยคุ้มกันเปิดประตูรถม้าให้ อาเรียลงจากรถม้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทุกย่างก้าวสั่นไหวราวกับหัวใจที่เต้นอยู่

ไม่รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนแถวในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร องครักษ์ที่คอยคุ้มกันอยู่ก่อนหน้าหลายสิบคนต่างสลับแถวเรียงรายอยู่สองข้างทางที่อาเรียผ่านพร้อมกับยกดาบขึ้นด้วยฝีมือ

อันยอดเยี่ยม เป็นภาพงดงามที่สามารถเห็นได้ในงานทางการของราชวงศ์

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น

ทันทีที่อาเรียก้าวเท้าไป อาซที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที

ราวกับว่าพวกเขาอยากจะกรีดร้องออกมากับภาพที่เห็น เจสซี่และแอนนี่ที่ยังอยู่ในรถม้าต่างปิดปากตัวเองดิ้นไปมาอยู่อย่างนั้น

คนที่มาคอยสังเกตการณ์ก็เช่นกัน

ถึงแม้อยากจะกรีดร้องออกมาเสียเดี๋ยวนั้นกับภาพลักษณ์โรแมนติกของเจ้าชาย ก็ได้แต่กำหมัดแน่นจนตัวสั่นพยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศกร่อย

“หากเลือกทางนี้แล้ว ไม่มีทางย้อนกลับไปได้แล้วนะครับ”

ความตกใจนั้นเพียงชั่วครู่ ขณะที่อาเรียกำลังก้าวไปอีกครั้ง อาซที่ตกอยู่ใจความเงียบจึงเปิดปากพูดอย่างช้าๆ

มันเป็นทั้งคำเตือนและคำแนะนำ ราวกับประกาศว่ามันจะกลายเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังหมายถึงเขากำลังให้โอกาสครั้งสุดท้ายได้ลองคิดทบทวนอีกครั้ง

แต่อย่างไรก็ตามสีหน้าเขากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าอาเรียจะเดินมาหาเขาแน่นอน ดูเหมือนจะถามเผื่อไว้ถ้าหากหลังจากนี้อาเรียเปลี่ยนใจจะจากเขาไปจะได้ยกเรื่องในอดีตมาอ้าง มันเป็นวิธีที่สามารถโทษได้ว่าทำไมเธอถึงสัญญาไว้แล้วทิ้งเขาเช่นนี้

อาเรียที่เข้าใจสถานการณ์จึงยกยิ้มขึ้นมา ย้อนกลับไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอ นั่นเป็นคำที่เธออยากจะพูดเลยล่ะ

อาเรียย่างเท้าไปอีกก้าวหนึ่งโดยไม่มีความรู้สึกลังเลหรือเสียใจภายหลังใดๆ ช่างต่างจากภาพที่เธอลงจากรถม้าในครั้งแรก

ราวกับอาซเป็นผู้ขอแต่งงาน และอาเรียเป็นผู้ที่กำลังถูกขอแต่งงาน

อาซไม่รู้สึกอึดอัดใจแม้แต่นิด ทว่ากลับดีใจที่สมกับเป็นอาเรียจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย

“แล้วคุณอาซล่ะคะ คงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

ในไม่ช้าอาเรียก็หยุดอยู่ตรงหน้าอาซจากนั้นยื่นมือของเธอออกมาพร้อมกับถาม ราวกับจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่อาซ

อาซจับมืออาเรียที่ยื่นมาให้เขา พลางจุมพิตหลังมือเธอพร้อมกับตอบอย่างไม่ลังเล

“เป็นคำถามที่แทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำนะครับ”

“รักษาคำพูดนั้นด้วยนะคะ หากคุณอาซทรยศดิฉันล่ะก็ ดิฉันสามารถพลิกนาฬิกาทรายได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”

แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ หากเธอพลิกนาฬิกาทรายจนทำมันแตกแล้วย้อนเวลากลับไปได้ไกลกว่านี้ก็ตาม เธอก็ยินดีจะทำเช่นนั้น

อาซตอบคำขู่ที่น่ากลัวนั้นราวกับจะแพ้ไม่ได้

“ได้โปรดทำเช่นนั้นเถอะครับ ไม่สิหวังว่าจะทำเช่นนั้นนะครับ ส่วนผมน่ะ ถึงแม้เลดี้จะย้อนเวลากลับไปพยายามแยกจากผมสักเท่าไร ผมก็จะตามไปไม่ให้เลดี้หนีผมได้สำเร็จ เพราะผมต่างจากเลดี้ที่สามารถใช้พลังได้หลายครั้งนี่ครับ แม้เลดี้จะย้อนเวลาสักเท่าไรก็ไม่มีทางหนีผมพ้นหรอกครับ”

อาเรียยกยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่หลงใหลจนยึดติดในตัวเธอ

หลีกหนีจากอาซไม่ได้อย่างนั้นหรือ จะมีอนาคตที่ดีกว่านี้อีกไหมนะ

เมื่อทั้งคู่ไม่มีอะไรจะต้องพูดต่อ อาซจึงหยิบแหวนที่เตรียมไว้ออกมาพร้อมกับเดินไปหาอาเรีย

“หากเลดี้ไม่ถือสาอะไร ได้โปรดแต่งงานกับผมจะได้ไหมครับ”

แหวนเพชรพลอยดูลึกลับงดงามอย่างไม่เคยได้เห็นจากที่ไหนมาก่อนส่องแสงประกายเป็นสีฟ้า ดูเหมือนกับแววตาของอาซที่กำลังขอเธอแต่งงานอยู่ตอนนี้

ผู้คนที่เฝ้ามองทั้งสองคนจากที่ไกลๆ ต่างคาดหวังสถานการณ์ถัดไปพร้อมกลับกลืนน้ำลายตัวเอง

อาเรียที่ตกเป็นเป้าสายตาของฝูงชนที่ซ่อนตัวดูมากในวัง เธอหลับตาลงครู่หนึ่งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า

คิดเอาไว้ก่อนหน้าหากอาซขอแต่งงานก็แค่ตอบกลับไปว่าเข้าใจแล้วและรับแหวนมาก็เท่านั้น แต่เพราะเพิ่งได้รู้สึกอิ่มเอมตื้นตันใจจนน่ากลัวแบบนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้

ในแววตาของอาเรียมีภาพสะท้อนของอาซที่ส่องประกายอยู่เช่นกัน

และหลังจากนั้นทั้งซาร่า คาริน บุคคลที่สำคัญสำหรับเธอต่างค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาในความคิด และสุดท้ายรวมไปถึงทางที่ถูกตกแต่งด้วยดอกทิวลิปเรียงรายไปทุกหนทุกแห่ง

แตกต่างจากอดีตที่เคยไม่มีอะไรเลย กลับกลายเป็นมีสิ่งสำคัญเพิ่มมากขึ้นขนาดนี้เพียงแค่คิดก็ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ

แม้จะหลับตาก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน จนแทบจะหลั่งน้ำตาให้กับภาพที่น่าประทับใจพวกนั้น

อาเรียได้พบกับอนาคตที่เธอในอดีตแม้แต่จะฝันก็ไม่กล้าฝันทั้งความรู้สึกต่ำต้อย ภาพลักษณ์สกปรก รวมไปถึงผู้คน เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นวิ่งเข้าไปโผกอดอาซด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้เสียตอนนั้น

“…แน่นอนสิคะ”

อาซกอดตอบอาเรียก่อนที่เธอจะพูดจบด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุเช่นนั้นจึงทำให้แหวนที่อาซกำลังถืออยู่ตกลงที่พื้นและกลิ้งออกไป ทว่ากลับไม่มีใครสนใจสิ่งนั้นเลย

………………