บทที่ 699 : ทดสอบธนูทอง!
แม้ว่าทองคำจะมีความแข็งแรงดีมากแต่การใช้ทองคำร้อยเปอร์เซ็นต์ทำคันธนูยาวหนึ่งเมตรครึ่งนั้น ก็นับว่าทำให้คันธนูมีน้ำหนักที่มากเกินกว่าคนธรรมดาจะยกขึ้นแล้ว
แต่เวลานี้..แขนข้างหนึ่งของหลิงหยุนก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่า คันธนูทองคำนี้จึงมีน้ำหนักเบาไม่ต่างจากขนนกสำหรับหลิงหยุน และประสิทธิภาพของมันนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง
หากเทียบกับคนธรรมดาที่แขนข้างหนึ่งสามารถรับน้ำหนักได้อย่างมากหกสิบกิโลกรัมนั้นคันธนูทองคำนี้จึงนับว่าเป็นอาวุธที่หนักมาก..
การถือคันธนูยาวที่ทำจากทองคำแท้ร้อยกิโลกรัมนั้นเป็นเรื่องที่สบายมากสำหรับหลิงหยุน เขาถือคันธนูด้วยมือขวาและยืดออกไปจนสุดมือ ในขณะที่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ซ้ายก็ดีดสายธนูเล่น หลิงหยุนลองดึงสายธนูจนสุด จากนั้นก็ยืนอยู่ในท่าพร้อมยิงครู่หนึ่ง แล้วจึงปล่อยมือออกจากสายธนู เสียงดีดของสายธนูที่ถูกดึงจนตึงและปล่อยออกนั้น ทำให้เกิดเสียงกระทบกับอากาศดังผึง!
จากนั้นหลิงหยุนก็จัดการหยิบลูกธนูสองสามดอกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่พร้อมกับคิดในใจว่าไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์หรือยอดฝีมือเก่งกาจแค่ใหน ก็ไม่น่าจะรอดจากลูกธนูของเขาไปได้!
“น้ำหนักน้าวสายอยู่ที่สองพันปอนด์..”หลิงหยุนพึมพำเบาๆ จากนั้นจึงยืนคันธนูให้กับเหล่ากุ่ย
“เหล่ากุ่ย..ท่านลองน้าวสายธนูดูสิ” หลิงหยุนถามยิ้มๆ
เหล่ากุ่ยยิ้มและเริ่มทดลองน้าวสายธนูตามที่หลิงหยุนบอกแต่เขาออกแรงจนสุดกำลัง ก็สามารถน้าวสายธนูออกมาได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และในที่สุดก็ล้มเลิก
“นายน้อย..กำลังของข้าไม่พอ อีกอย่างสายธนูของท่านเส้นเล็กจนเกินไป จะไม่ขาดก่อนงั้นรึ” เหล่ากุ่ยร้องบอกพร้อมกับส่ายหน้า
เหล่ากุ่ยไม่สามารถถือคันธนูต่อไปได้อีกด้วยกำลังภายขั้นเซียงเทียน-2 นั้น แม้ว่าจะมีลมปราณช่วย แต่เขาก็ต้องใช้ถึงสองนิ้วในการน้าวสายธนู และมีแรงดึงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ต่อให้เขาสามารถน้าวสายธนูจนตึงได้ ก็ยากที่เขาจะต้านทานแรงพลังของสายธนูได้ และถึงตอนนั้นนิ้วของเขาคงต้องถูกสายธนูตัดขาดอย่างแน่นอน
หลิงหยุนมีวิชาดาราคุ้มกายคอยปกป้องร่างกายอยู่เขาจึงกล้าทำเช่นนี้ คันธนูทองด้ามนี้ ต่อให้เป็นแวมไพร์ขั้นบารอนกลายร่างแล้ว ก็ยากที่จะรอดพ้นเงื้อมือของเขาไปได้อย่างแน่นอน
หลิงสือชีได้แต่ยืนอึ้ง..เพราะไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งทั้งสองก้อน หรือว่าสายธนู ล้วนแล้วแต่ออกมาจากมือของหลิงหยุนทั้งหมด!
นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและอัศจรรย์อย่างมาก!
หลิงหยุนวางคันธนูทองลงพร้อมกับตบบ่าหลิงสือชียิ้มๆแล้วพูดเบาๆ “เรื่องในวันนี้นอกจากท่านปู่จะถาม.. ห้ามเจ้าบอกกับใครโดยเด็ดขาด จำไว้! เรื่องแค่นี้เจ้าทำได้หรือไม่”
“ได้ขอรับนายน้อย!”หลิงสือชีพยักหน้าหงึกๆ
“ข้ายังต้องทำลูกธนูอีกจำนวนมาก ความยาวหนึ่งเมตรครึ่งเช่นกัน และลูกธนูจะต้องทำจากเงินเท่านั้น ส่วนก้านธนูจะทำจากโลหะอัลลอยด์ธรรมดาก็ได้ แต่จำไว้หัวของลูกธนูจะต้องเคลือบด้วยเงินแท้อย่างน้อยหนึ่งชั้น และต้องผลิตให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพราะอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงข้าจำเป็นต้องใช้!”
ในเมื่อมีโรงงานผลิตอาวุธที่พร้อมสรรพเช่นนี้นับว่าช่วยหลิงหยุนแก้ปัญหาได้อย่างมาก เขาจึงสั่งการหลิงสือชีทันที
แม้ว่าความสามารถของหลิงหยุนจะทำให้หลิงหสือชีรู้สึกทึ่งอย่างมากแต่เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจ จึงได้แต่หันไปมองเหล่ากุ่ยเพื่อขอความเห็น
เหล่ากุ่ยยิ้มให้พร้อมกับบอกหลิวสือชีว่า“นายผู้เฒ่าสั่งไว้ว่า.. คำสั่งของหลิงหยุนก็คือคำสั่งของผู้นำตระกูล. เจ้าทำตามคำสั่งของนายน้อยได้เลย!”
“ขอรับ..ข้าน้อยจะทำตามคำสั่งของท่านผู้นำตระกูล!” หลิงสือชีพูดพร้อมกับประสานมือทำการคาราวะทันที
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ช่วยตรวจอาการบาดเจ็บของหลิงสือชีแล้วจัดการหยิบเข็มทองเก้าเล่มออกมา และทำการฝังเก้าเข็มปลุกชีพให้กับหลิงสือชี หลิงหยุนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับหลิงสือชี และใช้ยันต์บำบัดรักษารอยแผลเป็นให้กับเขาด้วย
หลิงสือชีถึงกับตกใจมากยิ่งกว่าเดิมเขามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับว่าตนเองกำลังฝันไป..
หลิงสือชีรีบทำการคาราวะหลิงหยุนอีกครั้งหลังจากที่เขาช่วยทำการรักษาให้..
หลังจากเสร็จภารกิจแล้วหลิงหยุนก็จัดการถอนค่ายกลเขาวงกตออก และออกจากคลังอาวุธของตระกูลหลิงไปพร้อมกับเหล่ากุ่ย
ธนูกับลูกธนูนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการแต่ปืนกับกระสุนนั้นค่อนข้างจะมีปัญหา เพราะตระกูลหลิงไม่มีโรงงานสำหรับผลิตปืนเป็นของตนเอง เขาคงต้องหาวิธีผลิตเอง
“ไปที่ชานเมืองกัน..”
หลิงหยุนและเหล่ากุ่ยรีบไปที่เนินเข้าแห่งหนึ่งในชานเมืองหลังจากจอดรถไว้ที่ถนนด้านนอก ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในป่าลึก
ที่นั่นมีพื้นที่โล่งกว้างหลิงหยุนเรียกคันธนูทองและลูกธนูออกมา จากนั้นจึงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง..
นกที่กำลังบินอยู่สูงถึงห้าร้อยเมตรส่งเสียงร้องลูกธนูคมกริบปรากฏอยู่ในมือซ้ายของหลิงหยุน เขาน้าวสายธนูออก และเล็งลูกธนูไปที่นกบนท้องฟ้า จากนั้นจึงจัดการปล่อยลูกธนูทันที!
“ช่างเร็วยิ่งนัก!”เหล่ากุ่ยร้องอุทานออกมา
เหล่ากุ่ยนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-2สายตาของเขาจึงมองได้ไกลกว่าคนปกติ เขาเพิ่งจะเห็นหลิงหยุนคว้าลูกธนูคมกริบออกมา และจู่ๆ ลูกธนูก็หายวับไปกับตา
ใช่แล้ว!ลูกธนูหายไปในพริบตา และกำลังพุ่งขึ้นจนสูงเสียดฟ้า และสายตาของคนธรรมดาก็ยากที่จะมองเห็นได้!
สายธนูในมือหลิงหยุนยังคงสั่นและส่งเสียงดังแต่บนท้องฟ้านั้น นกน้อยที่น่าสงสารได้ถูกลูกธนูยิ่งเข้าใส่ และกำลังร่วงลงมาตาย
ในโลกของผู้ที่ฝึกวรยุทธนั้นความเร็วและพลังเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง!
“เอาล่ะ..คราวนี้เจ้าเด็กชั่วช้าเฉินเจี้ยนกุ่ยไม่รอดเงื้อมือข้าแน่..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยและเหล่าแวมไพร์ขั้นบารอนขึ้นไปต่างก็ไม่ใช่นกและพวกมันคงไม่เป็นเป้านิ่งให้หลิงหยุนยิงได้ง่ายๆเช่นกัน พวกมันคงต้องบินหลบหลีก และหลิงหยุนก็คงไม่สามารถยิงโดนพวกมันด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียวเช่นนี้แน่..
หลิงหยุนเก็บคันธนูทองเข้าไปในแหวนพื้นที่และเดินออกจากป่าไปพร้อมกับเหล่ากุ่ยที่ยังคงตกตะลึง
“นายน้อย..ให้ข้าขับให้ท่านจะดีกว่า ทุกครั้งที่ข้าไปใหนกับท่านผู้นำตระกูล ข้าก็จะเป็นฝ่ายขับรถให้เขานั่ง..”
อยู่ในเมืองนั้นการจราจรแออัดถนนหนทางก็ซับซ้อน แต่นี่เป็นชานเมืองที่ไม่มีการควบคุมความเร็ว หลิงหยุนจึงต้องการขับด้วยตัวเอง..
“เหล่ากุ่ย..เรื่องที่ข้าเดินทางมาปักกิ่งครั้งนี้ คนตระกูลเฉินรู้เรื่องแล้ว เด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินเซินพูดว่าเรื่องนี้หลิงห่าวเป็นคนบอกกับมันเอง..”
“อะไรนะหลิงห่าวงั้นรึ? นี่เขากล้า..” เหล่ากุ่ยได้ฟังถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เรื่องของหลิงหยุนนับว่าเป็นความลับสุดยอดที่ห้ามแพร่งพายตอนนี้มีเพียงหลิงลี่ เหล่ากุ่ยเท่านั้นที่รู้ แม้แต่ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่างหลิงเจิ้นก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลิงห่าวกลับกล้านำความลับสุดยอดเช่นนี้ไปแพร่งพรายให้คนตระกูลเฉินรู้ มีหรือที่เหล่ากุ่ยจะไม่ตกใจ!
“นายน้อยท่านวางใจได้เรื่องนี้ข้าจะรายงานท่านผู้นำตระกูล!” เหล่ากุ่ยขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างโมโห
แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลิงห่าวก็เป็นคุณชายตระกูลหลิง และเป็นตัวตั้งตัวตีในการตามหาหลิงหยุน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สามารถหาตัวหลิงหยุนพบ เหล่ากุ่ยจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาทำได้เพียงแค่รายงานเรื่องนี้ให้กับท่านผู้นำตระกูลรู้ และให้หลิงลี่ตัดสินใจด้วยตัวเอง
“เหล่ากุ่ยท่านช่วยบอกกับท่านปู่ด้วยว่าข้าไม่ไว้ใจหลิงห่าว..”หลิงหยุนขับรถไปอย่างสงบและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหล่ากุ่ยพยักหน้ารับรู้สำหรับเหล่ากุ่ยแล้ว ก็มีเพียงหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงหยุนเท่านั้นที่เขาจะไว้ใจ
“นายน้อย..นายผู้เฒ่าเห็นว่าท่านมาปักกิ่งนานแล้วแต่ยังไม่ยอมเข้าบ้าน นายผู้เฒ่าถึงกับนอนไม่หลับ ถ้ายังไง.. ท่านช่วยกลับไปหานายผู้เฒ่าสักครั้งก่อนจะได้หรือไม่!”
เหล่ากุ่ยเริ่มหว่านล้อมหลิงหยุนเพราะหลิงลี่สั่งเขาว่าให้พาหลิงหยุนกลับมานอนที่บ้านให้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงนอนไม่หลับแน่!
เพราะถึงอย่างไรหลิงหยุนก็เป็นหลานชายของเขาเวลานี้มาถึงปักกิ่ง.. แม้แต่ตระกูลเกาและตระกูลเฉินก็ไปมาแล้ว แต่กลับไม่ยอมเข้าบ้านตระกูลหลิง ทำให้หลิงลี่ไม่สบายใจยิ่งนัก!
หลิงหยุนฉีกยิ้ม“เอาล่ะเหล่ากุ่ย.. ท่านกลับไปบอกท่านปู่ว่า ข้าจะหาเวลาเข้าไปพบท่านปู่เอง!”
เหล่ากุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุขและได้แต่คิดในใจว่า หากหลิงลี่ได้พบหน้าหลิงหยุน เขาจะมีความสุขมากเพียงใด
ความจริงแล้วหลิงหยุนยังไม่ต้องการกลับไปตระกูลหลิงหากยังไม่สามารถสังหารเฉินเจี้ยนกุ่ยได้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสัมผัสได้แล้วว่าตระกูลเฉินค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด และด้วยความสามารถของเขาเพียงคนเดียว ก็คงยากที่จะกำจัดตระกูลเฉินได้ จำเป็นที่เขาจะต้องปรึกษาหารือ และวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
อีกทั้งหลิงหยุนพบว่ายอดฝีมือของตระกูลหลิงหลายคนยังอยู่ในอาการบาดเจ็บพวกเขาถูกทำให้ลมปราณเดินสะดุด จึงมีผลให้การฝึกฝนล่าช้าและไม่สามารถรักษาได้ หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้กับทุกคนโดยเร็วที่สุดก่อน เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมาฝึกฝนได้ก้าวหน้าเหมือนเดิม แล้วจึงค่อยคิดเรื่องฟื้นฟูตระกูลหลิง ช้าไปสักวันคงไม่เป็นไรนัก
ไม่ใช่ว่าหลิงหยุนไม่ต้องการกลับเข้าตระกูลหลิงการได้อยู่ในตระกูลหลิงนับว่าเป็นเรื่องดี แต่การกลับเข้าตระกูลหลิงจะทำให้เขาปกป้องตระกูลหลิงได้ยากลำบากมากขึ้น อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในการออกไปทำเรื่องต่างๆด้วย
หากพบว่าศัตรูของเขากลับกลายเป็นญาติมิตรของตนเองเล่าถึงเวลานั้นก็คงจะทำอะไรได้ลำบาก และอาจจะสายเกินไป
“แวมไพร์ทั้งสองของข้ายังใช้ได้ง่ายและไว้ใจได้มากกว่าคนตระกูลหลิงเสียอีก!ข้าจะให้พวกเขาไปคอยคุ้มครองท่านปู่เอง..” หลิงหยุนพูดกับเหล่ากุ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“นายน้อย..มีท่านอยู่เช่นนี้ ตระกูลหลิงคงต้องผงาดขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างแน่นอน.. ข้ามองไม่เห็นใครอื่นแล้วนอกจากท่าน!”
หลังจากที่เห็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนหลายครั้งหลายคราเหล่ากุ่ยก็ยิ่งมีความหวังมากขึ้น
ทั้งสองคนรีบกลับไปที่บ้านและทันทีที่หลิงหยุนลงจากรถ เขาก็หันไปสั่งเหล่ากุ่ยว่า
“เหล่ากุ่ย..ทันทีที่ท่านกลับไปถึง รีบปรึกษาหารือกับท่านปู่เรื่องสถานที่ซ่อนตัวของคนตระกูลเกาก่อน ให้คนตระกูลเกาทั้งสิบคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าไม่วางใจนัก..”
“นายน้อย..ครั้งนี้นับว่าตระกูลเกาต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่หลวง ถึงแม้ว่าผู้นำตระกูลเกาทั้งสามรุ่นจะรู้ความลับของตระกูลเฉินมาก แต่ตระกูลเฉินก็ใช่ว่าจะกำจัดตระกูลเกาได้ง่ายๆ”
นั่นสินะ..ตระกูลเฉินทำให้คนตระกูลเกาต้องกลายเป็นแวมไพร์เกือบทั้งหมด ก็ยังไมสามารถกำจัดตระกูลเกาได้ในทันที!
“ทุกอย่างต้องเก็บเป็นความลับ..”
หลิงหยุนร้องสั่งเหล่ากุ่ยและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อจู่ๆก็นึกถึงเกาเฉินเฉินและพู่กันจักรพรรดิขึ้นมา!