“นี่ พี่ได้ยินมาว่าคืนนี้เธอจะแสดงเปียโนเพลง ‘เดอะ เวดดิง ออฟ เดอะ ดรีม’ เหรอ” เฮ่อหว่านอีมองดูผู้คนที่ทยอยกันเดินเข้ามาในโรงละครแล้วกระซิบว่า “พี่เคยท้าทายตัวเองด้วยการเล่นเพลง ‘เดอะ เวดดิง ออฟ เดอะ ดรีม’ มาแล้วนะ ขอบอกว่ายากสุดๆ เธอมั่นใจนะว่าไหว” เธอมองหน้าถังซีด้วยสายตากังวล และถังซีก็รับรู้ได้ว่าเธอเป็นห่วงด้วยความจริงใจ
ถังซียักไหล่ “พี่จะช่วยเล่นให้ฉันใช่ไหมล่ะ”
เฮ่อหว่านอีหัวเราะ “อยากเห็นพี่ทำให้ตัวเองขายหน้าใช่ไหมล่ะ” เธอตบไหล่ถังซีเบาๆ “บอกพี่มาซิว่าเธอเคยเล่นเพลงนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่พี่จำไม่ได้เลยว่าเธอเคยบอกว่าเธอเล่นเปียโนเป็นด้วย”
“โหรวโหรวเล่นเปียนโนเป็น เธอได้รับการฝึกฝนโดยเจ้าชายแห่งเปียโน ซึ่งก็คือฉันเอง และตอนนี้เธอเล่นเก่งกว่าฉันเสียอีก” เซียวส่าเดินเข้ามา ขยิบตาให้ถังซี แล้วไปนั่งลงที่โต๊ะคณะกรรมการ เขาเหลียวกลับมามองเฮ่อหว่านอี “เธอมีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนมากกว่าฉันด้วยซ้ำ เดี๋ยวก็จะได้รู้เองว่าเธอคิดผิดอย่างมาก”
เฮ่อหว่านอีจ้องหน้าเซียวส่าตาคว่ำ อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่สนใจ “เดี๋ยวก็รู้”
เฮ่อหว่านอียิ้มออกมา “ทำตัวเป็นเด็กไปได้ นั่งลง ทำตัวให้สมกับเป็นกรรมการหน่อย”
เซียวส่าเลิกคิ้ว “ก็ไม่รู้สินะ”
เฮ่อหว่านอีค้อนเซียวส่า จับมือถังซีมากุม “พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของเธอ ชุดของเธอสวยสุดยอดจริงๆ”
ถังซีหันขวับมามองเฮ่อหว่านอี ยกมือทั้งสองขึ้นปิดปาก นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอคะ พี่หว่านอี พี่ตัดสินใจแล้วเหรอคะ”
เฮ่อหว่านอีพยักหน้ารับ “แม้ว่าแบรนด์ของเธอจะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ชุดที่เธอสวมคืนนี้เหมาะสมกับชื่อบริษัทของเธอที่สุด ‘เดอะควีน’ เมื่ออยู่ในชุดนี้เธอเหมือนราชินีจริงๆ ยังไม่เคยมีแบรนด์หรูๆ แบรนด์ไหนทำให้พี่รู้สึกอย่างนี้ได้ พี่รู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของเธอ”
ถังซีแทบจะกระโดดตัวลอยจากเก้าอี้ด้วยความปีติยินดี เธอคว้ามือเฮ่อหว่านอีมากอดไว้ แล้วกล่าวว่า “พี่หว่านอี ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ไว้วางใจ ฉันจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเลย”
เฉินจื่อเยียนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ มองถังซีด้วยความประหลาดใจ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนที่เธอขีดเขียนอะไรในสมุดสเก็ตช์ในชั่วโมงเรียน เธอก็สเก็ตช์งานออกแบบละสิ”
ถังซีพยักหน้า เฉินจื่อเยียนมองถังซีแล้วอุทานออกมาอย่างชื่นชม “ว้าว นี่มีอะไรอีกไหมที่เธอไม่เก่งเป็นเลิศน่ะ!”
ถังซีขมวดคิ้ว “เอ้อ ฉันทำอาหารไม่เป็น…”
“นั่นเอาไว้ให้พวกแม่บ้านทำให้เถอะ!” เฉินจื่อเยียนสวนกลับรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด “ฉันไม่เคยทำอาหารเลย แม่ฉันก็ไม่เคย ถ้าพ่อไม่ทำให้ทาน แม่บ้านก็ทำให้ แม่กับฉันทำอาหารไม่เป็น”
ในเวลานั้นนั่นเองก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความยินดีปนกับประหลาดใจ เหนือศีรษะถังซี “โหรวโหรว!”
เมื่อถังซีเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหลิวเฉิงอวี่ยืนอยู่ตรงหน้า กำลังจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขากล่าวขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “พี่มองหาเธออยู่ ไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาข้างในนี้แล้ว…” แล้วเขาก็สังเกตเห็นชุดราตรีที่เธอสวม ดวงตาเขาพร่าพรายด้วยความงามของถังซี เขาอุทานว่า “เธอ… เธอสวยเหลือเกินวันนี้”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าของกลุ่มนี้ก็หันกลับมา ทักหลิวเฉิงอวี่ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ประธานหลิว บังเอิญจริงๆ”
ฟังแล้วเหมือนเขากำลังทักทายหลิวเฉิงอวี่ตามมารยาท แต่เฮ่อหว่านอีและเฉินจื่อเยียนฟังออกว่า เขากำลังปกป้องถังซี ไม่ให้โดนขโมยไปโดยศัตรูหัวใจของเขา
ถังซีก็รู้สึกว่าเฉียวเหลียงมีนัยแอบแฝงบางอย่างในคำทักทาย แต่ยังไม่มั่นใจว่าคืออะไร เพราะเฉียวเหลียงไม่เคยแสดงอาการหึงหวงมาก่อน ถ้ามีอะไร เขาก็จะแค่ไม่พูดกับเธอโดยไม่มีเหตุผล พอเธอถามหาเหตุผล เขาก็ไม่ยอมบอก แล้วหลังจากนั้นก็จะกลายเป็นสงครามเย็นระหว่างเธอกับเขา แต่ว่าตอนนี้แทนที่จะหาเรื่องทะเลาะกับเธอ เขากลับหันไปฟาดฟันศัตรูหัวใจแทน เพื่อให้เธอรับรู้ว่าเขากำลังหึง และหวงเธออย่างจริงจัง เธอชอบปฏิกิริยาตอนนี้ของเขามากทีเดียว
หลิวเฉิงอวี่ปรารถนาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเซียวโหรวให้มากขึ้น เขาวางแผนไว้นานแล้วที่จะติดต่อไปหาเธอ แต่คุณป้าหลินก็มาเป็นอัมพาต เขาจึงคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปจีบเธอในช่วงเวลาแบบนี้ นอกจากนั้นโหรวโหรวก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในโรงเรียน เขาเองไม่ได้มาร่วมงานแสดงงานศิลปะของโรงเรียนมาหลายปี แต่ปีนี้เขาตัดสินใจมาร่วมงาน เพราะรู้มาว่าโหรวโหรวจะมาร่วมงานคืนนี้ด้วย เขารู้ว่าจะได้พบเธอที่นี่ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาพบกับเฉียวเหลียงด้วย…
แม้ในใจจะรู้สึกลังเล แต่เขายังปั้นสีหน้าได้อย่างไม่มีที่ติ เมื่อทักกลับเฉียวเหลียง “ประธานเฉียว ยินดีที่ได้พบคุณที่นี่”
เฉียวเหลียงตอบรับอยู่ในลำคอ และชี้ไปที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างเก้าอี้เขา “เชิญมานั่งตรงนี้สิ คุณเพิ่งเคยมางานแสดงของโรงเรียนเป็นครั้งแรกเหมือนผมใช่ไหม”
หลิวเฉิงอวี่มองไปทางถังซี รู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง เขาอยากมีเวลาใกล้ชิดกับถังซีมากขึ้นจริงๆ จึงไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เขายังคงยืนนิ่ง และพยักหน้ารับ “ใช่ นี่เป็นครั้งแรกของผม และนี่เป็นครั้งแรกที่โหรวโหรวมาร่วมงานนี้เช่นกัน ผมเลยอยากนั่งชมการแสดงร่วมกับเธอ…”
อากาศล้อมรอบตัวเฉียวเหลียงเหมือนจะลดอุณหภูมิลงเฉียบพลัน ขณะที่เฉียวเหลียงขยับตัวลุกขึ้น เซียวส่าก็กล่าวแทรกขึ้นว่า “เฮ้ ประธานหลิว อย่าพูดเหลวไหล ผมยังจำได้อยู่เลยว่าคุณพยายามปกป้องเซียวจิ้นหนิงมากแค่ไหนเมื่อเดือนก่อน และเซียวจิ้นหนิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจจนแทบจะร้องไห้โฮ คุณอย่ามายุ่งกับน้องสาวเราดีกว่า อย่าทำให้ชื่อเสียงเธอมัวหมอง เดี๋ยวเธอจะถูกอาจารย์ตำหนิเอาได้!”
หลิวเฉิงอวี่นิ่งงันไป เขาเพิ่งนึกออกว่าความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างเขากับเซียวจิ้นหนิง อาจเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ขวางกั้นไม่ให้เขาได้ใกล้ชิดเซียวโหรว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเขาเลย!
เมื่อเห็นเขามีท่าทีอับอาย ถังซีก็แย้มริมฝีปากยิ้มน้อยๆ “นั่นเป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แล้วก็มีข้อพิสูจน์แล้วว่าคุณหลิวเป็นคนดี อย่าหยาบคายกับคุณหลิวเลยค่ะ พี่ส่า แล้วอีกอย่างนั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว ฉันลืมไปหมดแล้ว แต่ว่าคุณหลิวคะ ฉันไม่มีอารมณ์จะเริ่มสานสัมพันธ์กับใครในตอนนี้ ขอความกรุณาอย่ากวนใจฉันเลย ได้ไหมคะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน” หลิวเฉิงอวี่ถาม แล้วรีบกล่าวต่อไปว่า “พี่จะรอเธอ เธอก็รู้ว่าเราหมั้นหมายกัน…”
“เดี๋ยวก่อน!” เซียวส่าหน้านิ่วลุกขึ้นทันที พร้อมกับขัดจังหวะ “โหรวโหรวเป็นลูกสาวคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านจดทะเบียนรับรองถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นคุณกับเธอไม่เคยหมั้นกัน ผมหวังว่าประธานหลิวจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
หลิวเฉิงอวี่จ้องหน้าเซียวส่าด้วยความโกรธ เซียวส่าเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ ไม่เชื่อที่ผมพูดเหรอ คุณไปถามคุณลุงผมได้เลย จะบอกให้นะ แม้แต่คุณปู่ผมก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนโหรวโหรวได้ในเรื่องการแต่งงาน และตราบใดที่เธอยังเป็นน้องสาวอย่างถูกต้องตามกฎหมายของผม ก็ไม่มีใครจะมาบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่ต้องการได้ เข้าใจหรือยัง”