บทที่ 2 บทที่ 2 ตอนที่ 103

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

วิธีใช้ปีศาจเยาว์วัยที่ถูกต้อง

 

ถึงแม้ตอนนี้จะมองเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คิดจะทำร้ายเด็กพวกนี้ แต่ทว่าคนที่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัสก็ยังคงเป็นเพื่อนสหายของผู้ชายคนนี้ จะให้เฮยสุ่ยทำตัวตามสบายเรื่อยเปื่อยได้อย่างไรกัน

 

ไม่สู้บอกไปว่าเธอกลัวอีกฝ่ายมากขึ้น…เพราะอย่างไรเด็กๆ พวกนั้นก็อยู่ในเงื้อมมือเขา

 

“ปล่อยพวกมัน ข้า…ข้าจะให้เจ้าลงโทษ” เฮยสุ่ยกัดฟันกรอด พูดสิ่งที่ทำให้ลั่วชิวค่อนข้างจะแปลกใจออกมา

 

ลั่วชิววางปีศาจกระต่ายน้อยในอ้อมอกลงมา

 

ปีศาจน้อยตัวนี้นอนหลับไปแล้ว อีกทั้งยังหลับลึก ตอนนี้กำลังขดตัวอยู่บนพื้น ท่าทางที่น่ารักทำให้ลั่วชิวเผลอยื่นมือออกมาแหย่จมูกของปีศาจกระต่ายน้อย แล้วจึงลุกเข้ามา เดินเข้ามาใกล้เฮยสุ่ยสองก้าว

 

“พวกมันบอกว่า สิบปีก่อนเป็นคุณที่พาพวกมันออกมาจากในภูเขา ไม่ง่ายเลยนะที่จะหาสถานที่แห่งนี้และอยู่อย่างสงบสุขเรื่อยมา” ลั่วชิวพูดขึ้นมาทันที

 

สีหน้าของเฮยสุ่ยเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แต่กลับสกัดกั้นความโกรธไม่กล้ารบกวนพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้ที่หลับสนิทอยู่ “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าตัดโค่นที่อยู่อาศัยของพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า พวกข้าก็คงใช้ชีวิตได้เต็มที่ และไม่ต้องมาที่นี่…พวกเจ้ามักจะช่วงชิงที่อยู่อาศัยของพวกข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า!”

 

ลั่วชิวพูดอย่างไม่แยแส “ด้วยความสามารถของคุณ หรือว่าจะไม่มีหนทางปกป้องป่าเขาของคุณจากน้ำมือของพวกเห็นแก่เงินพวกนั้นเลยเหรอ?”

 

เฮยสุ่ยยิ้มเย็นชา “ไล่ไปกลุ่มหนึ่ง แล้วจะอย่างไรต่อเล่า? เจ้าพูดแล้วนี่ ว่าเห็นแก่เงิน! บนโลกนี้หายไปคนหนึ่ง ก็ยังมีอยู่อีกหลายคน! เจ้าคิดว่าที่ข้าไล่ไปมีน้อยเหรอ? คนพวกนั้นเอาใบอนุญาตตัดโค่นป่าไม้ขึ้นภูเขามาอย่างถูกต้องและโปร่งใสด้วยกฎหมายของประเทศนี้ แล้วข้าจะลงมือทำอะไรได้หรือ? พอข้าลงมือ นักพรตที่ซ่อนตัวอยู่พวกนั้น ก็บุกออกมาทีละคนทีละคน เข่นฆ่าพวกข้าอย่างถูกต้องตามเหตุผล? พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ข้าลงมือ!”

 

บางทีอาจด้วยความฮึกเหิม ถึงส่งผลกระทบไปยังบาดแผล เลือดสดๆ พลันไหลนองออกมาจากปากของเฮยสุ่ย เธอพูดอย่างเศร้ารันทดว่า “โลกใบนี้มีมนุษย์อย่างพวกเจ้าเป็นผู้นำ! พวกเราเผ่าปีศาจประพฤติตนเรียบร้อยก็ยังใช้ชีวิตให้รอดไปวันๆ แต่พอทำผิดทำร้ายมนุษย์ให้บาดเจ็บ ก็มีนักพรตของพวกเจ้ามาปกป้อง แต่พวกข้าเล่า? ตอนที่พวกข้าถูกบีบบังคับ ใครจะมาปกป้องความยุติธรรมให้กับพวกข้า? ก็เป็นเพราะโลกนี้เป็นโลกของพวกเจ้า ดังนั้นที่ดินที่ให้พวกข้าอยู่จึงเหลือเพียงน้อยนิด?”

 

ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าในทางกลับกัน หากเปลี่ยนเป็นโลกที่เผ่าปีศาจของพวกคุณเป็นผู้นำ คุณจะยังยืนยันได้ไหม ว่าสภาพของมนุษย์จะดีกว่าพวกคุณตอนนี้?”

 

เฮยสุ่ยสบถออกมาหนึ่งคำ ปัญหาเรื่องเผ่าพันธุ์แก้ไม่ตก เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน แล้วมองลั่วชิวอย่างแค้นเคืองพร้อมกับพูดว่า “อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นผู้ช่วยที่นักพรตเน่านั่นเชิญมา ย่อมอยู่ข้างเขาแน่นอน”

 

“ผมไม่ได้อยู่ข้างหยางไท่จื่อ” ลั่วชิวส่ายหน้า “เขาเพียงแค่อยู่ในฐานะลูกค้าของผม เขาจ่ายค่าตอบแทนให้กับทางผม ข้อเรียกร้องก็คือทำให้คุณบาดเจ็บสาหัสเพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่เช่นนั้น คุณคิดว่าคุณรอดไปอย่างปลอดภัยเหรอครับ?”

 

เฮยสุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา “จริงหรือ? เช่นนั้นถ้าข้าจ่ายค่าตอบแทนที่มากพอให้กับเจ้า ข้าอยากจะให้นักพรตเน่านั่นตายก็ทำได้ใช่หรือไม่?”

 

“ได้แน่นอนครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ “สมมุติว่าคุณอยากให้เราบริการคุณนะครับ”

 

 

แต่เฮยสุ่ยก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด

 

เป็นปีศาจมาหลายร้อยปีแล้ว พบเห็นการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของมนุษย์มาก็หลายครั้งแล้ว ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยสงคราม ซากศพกองเกลื่อนกลาด ตอนที่มนุษย์โหดร้ายนั้นร้ายแรงเกินกว่าการห้ำหั่นกันระหว่างปีศาจด้วยกันเสียอีก ในโลกที่มนุษย์เป็นผู้นำ นางไม่เพียงแต่รู้เรื่องมนุษย์มากขึ้น แต่ทว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งพบความซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตอย่างพวกมนุษย์นี้

 

ผ่านไปหลายร้อยปี สิ่งที่เฮยสุ่ยได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่การมองความดีความเลวของคนคนเดียวเท่านั้น แต่คือการดูคนทั้งยุคสมัย

 

มองดูการเปลี่ยนแปลงของคนยุคนี้ มองดูเวลาของคนยุคนี้ มองดูว่าเขานำอะไรมาสู่โลกนี้

 

อารยธรรมของมนุษย์กำลังก้าวไกล

 

สิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดกลับเป็นเพียงแค่สำหรับตัวมนุษย์เอง แต่ทว่าป่าเขาที่สวยงามอีกทั้งป่าหินในยุคปัจจุบัน ในระยะเวลาอันสั้นๆ เพียงร้อยปี กลับเหมือนได้ใช้ชีวิตของโลกใบนี้ไปหมดแล้ว

 

ในยุคสมัยปัจจุบันที่นางอยู่นี้ สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่ความละโมบโลภมาก

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถเชื่อคำพูดที่ชายวัยรุ่นผู้นี้ได้อย่างหมดใจ

 

หากเจ้านี่คิดอยากจะแสวงหาอะไรจากตัวนางเองแล้ว ก็เพียงใช้ปีศาจเด็กพวกนั้นมาเป็นตัวประกันให้เธอยอมจำนนได้

 

เฮยสุ่ยไม่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังคิดอะไรกันแน่

 

“คุณลูกค้าลองคิดดูหน่อยก็ได้ครับ ว่าอยากได้อะไรบ้างไหม” ต่อมาลั่วชิวก็พูดเสริมอีก

 

จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเฮยสุ่ยอีก เพียงแต่เริ่มเดินเล่นอยู่ในถ้ำนี้ คิดดูแล้วถ้ำแห่งนี้เฮยสุ่ยไม่ได้สร้างขึ้นมา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่มานานแล้ว

 

ทางที่มายังที่นี่อยู่ใต้รูปสลักหินของบรรพจารย์ในสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ลองนึกถึงรูปสลักหินของบรรพจารย์ ในฐานะที่เป็นศิษย์รุ่นหลังย่อมไม่กล้าไปขยับเขยื้อนง่ายๆ แน่ เฮยสุ่ยเจอที่แห่งนี้ได้ คาดว่าตอนแรกคงจะทำอะไรบางอย่างกับรูปสลักหินนี้…อย่างเช่นทุบตีอะไรพวกนี้

 

เฮยสุ่ยคงจะรู้การมาถึงของพวกหยางไท่จื่อก่อนหน้านี้แล้ว ถึงได้เอาปีศาจวัยเยาว์พวกนี้มาซ่อนไว้ที่นี่

 

 

ความจริงแล้วถ้ำภายในภูเขานี้ใหญ่มาก บนกำแพงของถ้ำ ทุกๆ ช่วงระยะหนึ่ง จะฝังไข่มุกที่ส่องแสงแวววาวอย่างหนึ่งเอาไว้ ทุกๆ ทิศก็จะมีต้นหญ้านิรนามที่ส่องแสงสว่างอย่างหนึ่งงอกยาวออกมา

 

ผนังด้านหนึ่งนั้นเปียกชื้น มีไอน้ำเกิดขึ้น ตรงนี้มีช่องว่างเล็กน้อยอยู่ และยังมีอากาศ เหมือนว่าเป็นวัฏจักรทางนิเวศวิทยาเล็กๆ แบบปิดอย่างหนึ่ง ลั่วชิวเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ตอนนี้ปีศาจวัยละอ่อนพวกนั้นกำลังหลับสบายอยู่ ด้านบนสุดเป็นลานแหวกออกมาจากกลางหินผา..เหมือนเป็นสถานที่ที่ใช้พักอาศัย

 

แต่ว่าเดินเข้าไปยังห้องหินที่เล็กกว่าห้องนี้ กลับพบเพียงแค่ถ้ำธรรมดาๆ ถ้ำหนึ่ง

 

โดยพื้นฐานแล้วที่นี่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่หินรูปสี่เหลี่ยมที่ดูแล้วคงเอามาทำเป็นเตียง ข้างบนหินมีโครงกระดูกหนึ่งโครง

 

ถึงแม้จะถือได้ว่าค้นพบที่แห่งนี้แล้ว เหมือนว่าเฮยสุ่ยก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งของที่นี่เลย ลั่วชิวเห็นข้างๆ กระดูกโครงนี้มีคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่วางอยู่ พึ่งจะหยิบขึ้นมา ซี่ไผ่ก็แตกสลายร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว

 

ลั่วชิวส่ายหัว ดูแล้วคงไม่สามารถรู้อะไรจากจดหมายไม้ไผ่พวกนี้ได้

 

เจ้าของโครงกระดูกพวกนี้ อาจจะเป็นบรรพจารย์ของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม หรืออาจจะเป็นศิษย์ของหนึ่งในรุ่นนั้น ลั่วชิวก็ไม่ได้ไปแตะต้องโครงกระดูกนี้ เพียงแต่ดูอยู่เงียบๆ สักครู่หนึ่ง

 

ดูจากถ้ำในตัวหุบเขานี้และโครงกระดูกที่ซ่อนอยู่นี้ เมื่อหลายร้อยหรือพันปีก่อนหน้านี้คงมีคนเข้ามาในที่แห่งนี้ เพื่อตามหาสัจธรรมของการมีชีวิตยืนยาว แล้วถูกขังไว้จนตาย

 

พออยู่ไป ก็กลายเป็นกระดูกสีขาว

 

ลั่วชิวค่อยๆ ถอยออกมาจากห้องหินนี้ เหมือนว่าจะไม่มีที่อื่นใดน่าดูแล้ว เขาจึงเดินลงไปตามขั้นบันได ตอนนี้กลับพบว่าเฮยสุ่ยมาอยู่ตรงด้านล่างของบันไดแล้ว

 

เฮยสุ่ยไม่ได้ขึ้นมา แต่ปีศาจน้อยหลายตัวในบรรดาปีศาจวัยเยาว์พวกนั้น รวมถึงปีศาจกระต่ายน้อยกลับตื่นขึ้นมาแล้ว

 

เฮยสุ่ยที่ปลดเสื้อตัวบนออก ตอนนี้กำลังอยู่ใกล้ๆ บันได ข้างกายของนางมีปีศาจวัยกระเตาะหลายๆ ตัวที่ดูแล้วคงจะเป็นเพศหญิง? เกำลังเลียร่างกายของเฮยสุ่ยอยู่

 

จะพูดให้ถูกก็คือ น่าจะกำลังเลียที่บาดแผลบนร่างกายเฮยสุ่ยเบาๆ

 

ลิ้นของปีศาจตัวน้อยๆ ก็เหมือนกับขนไม้กวาดขนาดเล็ก กำลังเลียอยู่ที่บริเวณไหล่ของเฮยสุ่ยเบาๆ เลื่อนไปมา

 

ตรงบริเวณเอว ว่องไวปราดเปรียวมากนัก

 

ลั่วชิวเคยได้ยินว่าน้ำลายของพวกสุนัขเหมือนจะกำจัดพิษฆ่าแบคทีเรียได้…อืม คล้ายว่าในบรรดาปีศาจน้อยพวกนั้นจะมีปีศาจสุนัขอยู่เพียงแค่ตัวเดียว?

 

น้ำลายที่พร่างพราวเชื่อมต่อกันเป็นเส้นไหม แถวๆ บริเวณบาดแผลที่น่าสยดสยองสยองนั้น กำลังทำให้ถ้ำสะท้อนแสงสว่างเรืองรอง ส่องไสวระยิบระยับ

 

บาดแผลที่เดิมก็น่ากลัวมาก ก็เหมือนจะดีขึ้นหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้บาดแผลนี้จะยังคงน่าสยดสยองอยู่มาก และยังทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายเฮยสุ่ยก็ตาม

 

ลั่วชิวมองเห็นภาพเช่นนี้ ก็เข้าใจได้เองว่านี่อาจจะเป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่ง เพียงแต่มองดูสีของเลือดฝาดที่อยู่บนหน้าของเฮยสุ่ยอย่างน่าอัศจรรย์ใจแล้ว และยังมีเสียงครวญครางเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก…เจ้าของร้านลั่วยังมิอาจเข้าใจได้ เหมือนการรักษาที่ช่ำชองจะกลายเป็นอย่างอื่นไปเสียอย่างนั้น…

 

บางทีน้ำลายของปีศาจน้อยอาจโดนบริเวณแผลที่ปวด ร่างกายของเฮยสุ่ยถึงได้หดเกร็งฉับพลันทันที

 

ขาทั้งสองข้างของนางโผล่ออกมาจากรอยแหวกของกระโปรง ตอนนี้น่องกำลังรัดพันกันอยู่ ข้อเท้านิ้วเท้าเหยียดตรงและยกเท้าขึ้นมาเล็กน้อย กลายเป็นเส้นโค้งงอได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

“อืม…อา…”

 

ในขณะเดียวกันนางก็เงยหน้าขึ้นมา ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย เพิ่งจะหายใจแรงเล็กน้อยแล้วก็ลืมตาขึ้นมา สบตาเข้ากับเจ้าของร้านลั่วที่อยู่ตรงบันไดพอดี

 

เจ้าของร้านลั่วที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน กลับพยักหน้าพูดว่า “พวกคุณต่อกันเลยครับ ไม่ต้องสนใจผม…”