ใครเป็นคนบอกว่าใจดำอำมหิต
เหมือนว่าการเลียบาดแผลจะช่วยให้แผลสมานกันเร็วขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหากอยากให้ฟื้นฟูแข็งแรงดังเดิมทันทีก็ขัดกับความจริงอยู่
หลังจากรักษาบาดแผลแล้ว เฮยสุ่ยก็เอามือออกมาจากชุดคลุมแขนยาวชาววังสมัยฮั่น แล้วรวบชุดคลุมด้านหน้า ก่อนผูกผ้าคาดเอวให้เรียบร้อย แล้วหมุนตัวมา
เธอเริ่มเดินขึ้นไปตามขั้นบันได
หลังจากลั่วชิวเห็นฉากที่เฮยสุ่ยรักษาบาดแผล ก็ถอยเข้าไปในห้องศิลาที่อยู่ด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง…เหมือนปีศาจจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้แฮะ
อย่างตอนที่ปีศาจผีเสื้อน้อยเพิ่งกลายร่าง เธอก็มีจิตใจสงบนิ่งเป็นอย่างมาก บางทีปีศาจพวกนี้คงไม่ค่อยสนใจเรื่องสวมเสื้อผ้าเท่าไหร่ล่ะมั้ง*? *
ใบหน้าเลือดฝาดของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาว แต่ความเหนื่อยล้ายังไม่จากเธอไปไหน
“หากข้าต้องการฆ่าหยางไท่จื่อ ต้องแลกด้วยสิ่งใด?” เฮยสุ่ยถามลั่วชิวอย่างคาดไม่ถึง
ในระหว่างการรักษาแผล คงจะได้คิดใคร่ครวญอย่างเต็มที่แล้วกับปัญหาเรื่องที่ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดี
การ์ดหลากหลายลวดลายปรากฏอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยทีละใบทีละใบ
พวกมันหมุนรอบอย่างช้าๆ
ปีศาจงูเฮยสุ่ยอายุสามร้อยห้าสิบปีกำลังทำความเข้าใจความหมายแฝงในการ์ดพวกนี้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเฮยสุ่ยก็มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
“สิ่งที่เขาร่ำลือกันมาเป็นความจริงหรือนี่…” เฮยสุ่ยมองพิจารณาลั่วชิวอย่างตื่นตะลึงงุนงง อดจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดไม่ได้
ตอนที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจ ดูเหมือนว่าความอดทนของลั่วชิวจะบรรลุถึงระดับสูงสุดได้
นับตั้งแต่เขากลายเป็นเจ้าของสมาคม ลั่วชิวก็พบว่าเพียงพริบตาเดียวงานอดิเรกของตนเองก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกค้าก็จะมองดูท่าทีที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจเลือกโดยไม่ให้เล็ดลอดสายตาเลยสักนิด
พวกเขาจะแสดงตัวตนชัดเจนที่สุดเวลานี้ นี่ทำให้เขาพอใจมาก
เป็นเวลานานทีเดียว เฮยสุ่ยถึงค่อยๆ ถอนหายใจดังเฮ้อออกมา ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “มิน่าล่ะ เจ้าบอกว่าความต้องการของหยางไท่จื่อเพียงแค่ให้ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากบาดเจ็บหนักก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างเขาเหมือนกัน”
ลั่วชิวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เพราะว่าพวกเราเพียงแค่ยืนข้างลูกค้าเท่านั้น”
เฮยสุ่ยยิ้มหยันทันที แล้วพูดขึ้นว่า “ด้านหนึ่งก็ช่วยหยางไท่จื่อทำร้ายข้าบาดเจ็บหนัก อีกด้านหนึ่งก็แสดงท่าทีเป็นมิตรกับข้า…ข้อตกลงจากทั้งสองฝ่ายก็ตั้งใจจะทำตามทั้งหมด ท่าทางจะคิดคำนวณแผนการนี้มาอย่างดีเลยทีเดียวนะ”
ลั่วชิวไม่ได้คิดจะโต้ตอบรอยยิ้มเยาะหยันของเฮยสุ่ยในเวลานี้
ด้านหนึ่งทางสมาคมไม่ปฏิเสธลูกค้าผู้มาเยือนอย่างแน่นอน
ค่อนข้างไร้เกียรติศักดิ์ศรี
แต่อีกด้านหนึ่งนั้นตัวเฮยสุ่ยเองกลับยังไม่รู้
เธอที่ตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากนั้น ก็กำลังมองหาอะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึกส่วนลึกนั้นไว้แล้ว
“พวกเราแค่ยืนอยู่ข้างลูกค้าก็เท่านั้น” ลั่วชิวพูดเป็นครั้งที่สอง
…
“ขอข้าคิดดูสักหน่อย” ฉับพลันเฮยสุ่ยก็พูดขึ้นมา “หากเจ้าไม่รีบร้อน โปรดรอสักครู่”
ลั่วชิวนิ่งอึ้ง การ์ดที่มีลวดลายกลับคืนสู่มือของเขาก่อนหายวับไป แล้วเฮยสุ่ยก็เดินลงบันไดไปต่อหน้าต่อตาเขา
ลั่วชิวมองดูเฮยสุ่ยเดินไปข้างๆ พวกปีศาจน้อย หากตัดลักษณะเฉพาะของพวกปีศาจออกไปแล้ว ปีศาจน้อยพวกนี้ก็ดูราวกับเด็กน้อยที่อายุมากสุดน่าจะไม่เกินหกเจ็ดขวบ อายุน้อยที่สุดก็แค่สามสี่ขวบ ต่างวิ่งล้อมวงเข้ามาทีละตัวทีละตัว
พวกปีศาจน้อยกรูกันเข้ามาข้างๆ เฮยสุ่ย ในตาฉายแววหวังพึ่งพิงอย่างสุดหัวใจ
เฮยสุ่ยนั่งลง อุ้มปีศาจน้อยตัวหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดเข้ามาไว้ในอ้อมอก ลั่วชิวถึงได้มองเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของปีศาจงูเฮยสุ่ยตัวนี้
ราวกับแม่ไม่มีผิด
เฮยสุ่ยลูบปีศาจน้อยในอ้อมอกเบาๆ พร้อมพูดบางอย่างด้วยเสียงแผ่ว ปีศาจน้อยใบหน้านุ่มนิ่มก็มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้า
อารามเต๋าถูกเฮยสุ่ยยึดครองมาสิบปี สิบปีมานี้นางก็อยู่ดูแลปีศาจน้อยที่เกิดมาไม่นานพวกนี้ที่นี่ สิบปีราวกับหนึ่งวัน ปีศาจน้อยพวกนี้มาจากต่างสายพันธุ์ ย่อมไม่ใช่ลูกของเฮยสุ่ยแน่นอน
พ่อแม่ของบรรดาปีศาจน้อยล่ะ?
ลั่วชิวไม่คิดตามหา เพราะถ้าพ่อแม่แท้ๆ ของปีศาจน้อยพวกนี้อยู่ เฮยสุ่ยคงไม่ได้เป็นผู้ใหญ่คนเดียวในที่นี้
“พี่เฮยสุ่ย พวกเราจะไปจากที่นี่แล้วเหรอ?”
ปีศาจกระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาแดงๆ มีน้ำตาเอ่อส่องประกายระยิบระยับ หางกระต่ายสั้นๆ กำลังส่ายไปมา
เฮยสุ่ยแตะไปที่ใบหน้าของหลิงหลิงเบาๆ แล้วถามขึ้นทันทีว่า “เจ้าไม่อยากไปจากที่นี่หรอกหรือ?”
หลิงหลิงก้มหน้าตอบ “ไม่ใช่สักหน่อย…เพียงแต่หลิงหลิงรู้จักเพื่อนใหม่บนหุบเขานี้ตั้งเยอะ พวกมันทุกตัวยังไม่ได้กลายร่าง ทุกตัวก็ชอบหลิงหลิงมาก หลิงหลิงไม่ค่อยอยากจากพวกมันไปเลย”
เฮยสุ่ยพูดอย่างขมขื่น “ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเรา”
ปีศาจน้อยอีกตัวหนึ่งข้างๆ เฮยสุ่ยพูดขึ้นทันที “พี่เฮยสุ่ย พวกเราจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม? จะได้กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่ของเราแล้วใช่ไหม”
ปีศาจน้อยอ้วนตุ๊ต๊ะมีจมูกหมูสีชมพูงอกออกมา…น่าจะเป็นพวกหมูป่าบนภูเขาที่กลายเป็นปีศาจล่ะมั้ง?
เฮยสุ่ยก็แตะๆ ไปที่หัวของปีศาจหมูน้อยตัวนี้ พูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเรายังไม่กลับบ้านหรอก…จะไปที่อื่นกันก่อน”
ปีศาจหมูน้อยโผเข้าหาเฮยสุ่ย “ข้าก็ไม่ได้พบพ่อกับแม่มาตั้งนานแล้ว พี่เฮยสุ่ย ข้าคิดถึงพวกเขา ท่านพาข้ากลับไปพบพวกเขาได้หรือเปล่า?”
“ข้าก็อยากเหมือนกัน พี่เฮยสุ่ย!”
“พี่เฮยสุ่ย ตอนวาดรูปเมื่อวาน เดิมข้าตั้งใจจะวาดรูปคุณปู่ แต่ข้าวาดไม่ได้…ข้า ข้าใกล้ลืมหน้าคุณปู่แล้วใช่ไหม…”
ปีศาจน้อยห้อมล้อมรอบตัวนางทีละตัวทีละตัว มองดูสายตาที่เต็มไปด้วยการเว้าวอน เฮยสุ่ยคลี่ยิ้มทันทีแล้วตอบว่า “อืม…รอให้พวกเจ้าโตกว่านี้หน่อย ก็จะได้พบพวกเขาแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แต่ว่า…แต่ว่าผ่านมาสิบปีแล้ว พวกเราก็ยังไม่โตอีกเหรอ เมื่อไหร่พวกเราถึงจะโตพอล่ะ?”
เฮยสุ่ยพูดเสียงแผ่วเบา “ถ้าร่ำเรียนฝึกวิชา รับพลังลมปราณหยวนชี่ทุกวัน ก็จะโตไวๆ แล้ว ใครว่าพวกเจ้าจะไม่โตกัน? หลิงหลิงเองก็ตัวสูงขึ้น ผมก็ยาวมากกว่าปีที่แล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้าก็ด้วย จูหลัวจื่อ ปีนี้เจ้าเองก็หนักขึ้นกิโลหนึ่งไม่ใช่หรือ แล้วก็อาฝู ตอนที่นอนหลับน้ำลายก็ไม่ไหลแล้ว…”
นางพูดถึงการเติบโตของพวกปีศาจน้อยทีละตัวทีละตัว ราวกับเป็นลูกหลานของตนเอง สุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “…สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเจริญเติบโต เอาล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ทำการฝึกของวันนี้เลยล่ะสิ?”
พูดถึงตรงเรื่องนี้แล้ว ทันใดนั้นเฮยสุ่ยก็ทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมถามว่า “หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากกลับไปพบพ่อแม่ปู่ย่าของพวกเจ้าแล้ว?”
“อ๊า!”
พวกปีศาจน้อยต่างรีบปีนกลิ้งลงไปจากตัวเฮยสุ่ย แล้ววิ่งหลบไปในทันที
พูดถึงการวิ่งหลบ อันที่จริงก็แค่วิ่งออกห่างไปหน่อยเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็นั่งเรียงแถวเป็นระเบียบบนพื้น พอนั่งลงแล้ว ปีศาจน้อยพวกนี้ต่างมีกิริยาอาการต่างๆ นานา บ้างก็นอนฟุบไป หรือไม่ก็นอนหงายผึ่ง ค่อยๆ ทยอยหลับตาลง
เฮยสุ่ยมองดูบรรดาปีศาจน้อยเริ่มดูดซับพลังลมปราณ นางก็หายใจเข้าลึกๆ หันไปทางปีศาจน้อยพวกนี้แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
ลมหายใจนี้กลับเป็นสีทองใส ค่อยๆ ฟุ้งกระจายออก แล้วเริ่มห่อหุ้มตัวปีศาจน้อยพวกนี้ไว้
ราวกับว่าหมอกสีทองใสเกิดขึ้นตามจังหวะการหายใจของปีศาจน้อยพวกนี้ ทยอยลอยเข้าไปในร่างของพวกปีศาจน้อยเป็นสายๆ
“คุณมอบพลังลมปราณตนเองให้กับเด็กๆ”
ไม่รู้ว่าลั่วชิวลงจากบันไดมาอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามองใบหน้าซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อยของเฮยสุ่ย “สิบปีนี้”
เฮยสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขายังเด็กมาก ลำพังตนเองจะฝึกพลังลมปราณจนเติบโต อย่างน้อยก็ห้าสิบปีถึงจะปกป้องดูแลตนเองได้ อยู่ที่นี่ ข้าก็ได้แต่ฝึกฝนพวกเขา ใช้เวลาสามสิบปีก็น่าจะพอ”
ลั่วชิวนิ่งเงียบสักพักแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงเลือกหุบเขาของนักพรตที่ปีศาจอย่างพวกคุณเป็นปฏิปักษ์ ทั้งที่ยังมีป่าเก่าแก่ในหุบเขาลึกมากมายที่ยังไม่มีผู้คนบุกไปถึง”
เฮยสุ่ยตอบ “อย่าคิดว่าโลกของเผ่าปีศาจจะดีขนาดนั้น พวกเราจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ ปีศาจตัวอื่นก็ต้องการมีชีวิตอยู่เช่นกัน ป่าเก่าแก่ในหุบเขาลึกที่จะให้ปีศาจอาศัยอยู่ได้นั้น มีที่ไหนที่ไม่มีปีศาจเจ้าถิ่นใช้ชีวิตอาศัยอยู่บ้าง หากพวกเราผ่านเข้าไป ก็เท่ากับว่าไปยึดครองดินแดนของพวกเขา หุบเขาที่มอบพลังลมปราณให้ได้มากมายขนาดนั้นก็มีไม่มาก สิ่งที่เด็กๆ พวกนี้ต้องการ หรือว่าเด็กอื่นๆ จะไม่ต้องการ? หรือว่าจะให้ข้าพาเด็กๆ พวกนี้ไปเข่นฆ่ากับปีศาจตัวอื่นๆ? ถึงแม้ว่าข้าจะชนะ ก็แค่ทำให้เด็กๆ อีกจำนวนหนึ่งต้องสูญเสียบ้านไป”
ปีศาจที่ประสบการณ์ช่ำชองไปกระตุ้นความอยากรู้เรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจของเจ้าของร้านลั่วทันที “จากที่ผมรู้ เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนไม่น้อยเลือกอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ หรือว่าการอาศัยอยู่ในเมืองจะไม่มีปัญหาเรื่องพลังลมปราณ?”
เฮยสุ่ยยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ไม่มีปัญหา? ไม่มีปัญหาแล้วพวกเราจะมายึดครองหุบเขาเพื่ออะไรกัน? ปีศาจชนิดที่อาศัยปะปนอยู่ในเมือง ถ้าบรรลุนิติภาวะแล้วก็โชคดีไป แต่ถ้าเพิ่งเกิดมาใหม่ๆ ละก็ โดยพื้นฐานแล้วก็ยากที่จะฝึกฝนพลังลมปราณให้เต็มที่ได้ พวกเขาก็ได้แต่ดูดรับพลังจากร่างพ่อแม่เท่านั้น แต่การดูดรับแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการกลืนกินพลังชีวิตของพ่อแม่ อันที่จริงก็มีปีศาจบางพวกที่มุ่งสู่ชีวิตที่รุ่งเรืองในโลกมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่อย่างไม่มีทางเลือก พวกเราก็ต้องขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่หากการขยายเผ่าพันธุ์เกินขีดจำกัดที่ป่าเขาจะรับไหวล่ะก็ ก็จะมีปีศาจบางส่วนจำต้องจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่เช่นนั้นรอให้ถึงคราวของพวกเรา ก็เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายพวกเดียวกัน”
เฮยสุ่ยชี้ไปที่ปีศาจน้อยตัวหนึ่งในกลุ่มนั้น “นั่นคือเจ้าจูหลัวจื่อ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็เป็นหมูป่าบนเขาที่กลายเป็นปีศาจ สิบปีก่อน ดินแดนที่ข้าอาศัยอยู่ จำนวนพวกปีศาจมากล้นเกินขีดจำกัดที่ป่าหุบเขาจะมีพลังลมปราณเหลือไว้ให้เพียงพอ พ่อแม่ของจูหลัวจื่อก็ตายด้วยน้ำมือพญาเสือโคร่งตัวหนึ่ง”
เฮยสุ่ยยื่นมือชี้ไปอีกครั้งแล้วพูดขึ้นว่า “นางชื่อหลิงหลิง…นี่ชื่ออาฝู…นี่ชื่อไม่ไม่…พ่อแม่ของพวกเขาต่างก็ถูกกำจัดไปในสงครามเข่นฆ่ากันเองในครั้งนั้น ข้าพาพวกเขาหลบหนีมายังเขตชายป่าหุบเขาถึงได้สงบสุขขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่ว่าดันไปเจอพวกมนุษย์ตัดไม้ทำลายป่าเข้า ตอนนั้นข้าพาพวกเขาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง มุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ ที่แล้วที่เล่า ต่างก็ถูกพวกปีศาจในเขตอื่นขับไล่…เจ้าคิดว่าใครเป็นคนสร้างปัญหากัน? หากดินแดนผืนนี้ป่าเขายังคงเดิม แม่น้ำใสไหลริน ทำไมจะไม่มีบ้านสักแห่งให้พวกข้าอยู่เล่า?”
พูดมาถึงตรงนี้ เฮยสุ่ยก็รู้สึกฮึกเหิมทันที นางชี้ไปที่ลั่วชิวแล้วพูดขึ้น “เจ้าบอกข้าสิ โลกใบนี้มีพวกปีศาจที่ร่อนเร่จากบ้านด้วยความยากลำบากเช่นพวกเราอยู่เท่าไหร่กัน? และจะมีอีกเท่าไหร่กันที่ต้องดิ้นรนประคองชีวิตในเมืองให้รอดไปวันๆ ใช้ชีวิตนี้แลกกับชีวิตแสนสั้นๆ ของลูก? ในเมื่อพวกเรามีสติปัญญา แล้วจะยอมเดินบนเส้นทางการสูญเสียไปเพื่ออะไรกันอีก? ร้อยปีก่อน พันปีก่อน โลกใบนี้น้ำใสป่าไม้เขียวชอุ่ม ตอนนี้ต้องถูกพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าทำลายไปเท่าไหร่แล้ว? เจ้าบอกข้ามาสิ!”
ในน้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเศร้ารันทด “จูหลัวจื่อถามข้า หลิงหลิงถามข้า อาฝูถามข้า พวกเขาต่างก็กำลังถามข้า วันแล้ววันเล่า เจ้าบอกข้าสิ ข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะบอกให้พวกเขารู้ไปตรงๆ ได้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาจากไปตั้งนานแล้ว อนาคตของพวกเขาคือการใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันโหดร้ายทารุณใบนี้? ข้าไม่มีทางเลือก!”
เฮยสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าลั่วชิวตรงๆ พูดเสียงเข้มขึ้นมา “เจ้าบอกว่าขายทุกอย่าง! แล้วเจ้าก็จะยืนอยู่ข้างเดียวกับลูกค้า! ดีจริงๆ เลย! ตอนนี้ข้าขอใช้ทุกอย่างทั้งหมดของข้าแลกกับการให้พวกเจ้าอยู่ข้างพวกเรา! พวกเจ้าคืนอนาคตของเผ่าพันธุ์ปีศาจข้าได้หรือไม่? พวกเจ้าทำให้พวกเรา มีชีวิต! อยู่! ต่อไป! ได้หรือไม่”