ตอนที่ 737 นางหลอกลวงเขา
พอเห็นซูหลีคิดถึงเรื่องวันนั้นอย่างไม่รู้ตัว นางยืนอยู่กลางท้องพระโรงด้วยท่าทางโดดเด่นผิดแผกจากคนทั่วไป
ฉินมู่ปิงพลันรู้สึกเหมือนไม่อาจควบคุมใจตนเองได้
“ซื่อจื่อ?” ซูหลีเห็นเขาเอาแต่จ้องตน ในแววตาหงส์คู่นั้นเหมือนแฝงด้วยอารมณ์มากมายปะปนอยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรเช่นกัน
นางหรี่ตาลง ยามดวงตางดงามของอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตน พาลให้ใจสั่นระรัวจนไม่อาจควบคุมได้จริงๆ
“ใต้เท้าซูกำลังพักผ่อนหรือนี่?” พอฉินมู่ปิงโดนซูหลีพูดเช่นนี้ใส่ก็ได้สติกลับมา ความโหดร้ายพาดผ่านในดวงตาเขา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีเอาแต่สนใจขนมที่เหลือในจาน จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางหัวเราะพลางเอ่ย “ไยซื่อจื่อต้องถามให้มากความ จะใช้คนต้องไม่หวาดระแวง หากหวาดระแวงแล้วก็หาคนอื่นเถอะ ในเมื่อซื่อจื่อกับข้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ควรจะเชื่อข้าถึงจะถูกต้อง!”
คำพูดซูหลีรัดกุมครบถ้วน เหมือนนางลงเรือลำเดียวกับเขา แต่ฉินมู่ปิงรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เคยทำอะไรทั้งสิ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าซูลองบอกหน่อยเถอะว่า คราวก่อนที่ข้าให้ท่านคอยไปสืบเรื่องที่ฝ่าบาททรงคิดอย่างไรกับจวนจิ้งหนานอ๋อง แต่ผ่านไปตั้งหลายวัน ใต้เท้าซูกลับไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นี่คือวิธีการจัดการปัญหาของใต้เท้าซูหรือ?”
ใบหน้าฉินมู่ปิงเย็นชา
ที่เขาร้อนรนมาพบซูหลีเช่นนี้ ก็เพราะคำพูดที่ฉินเย่หานตรัสในราชอุทยานวันนั้น เรื่องจะทรงให้บิดาเขากลับเมืองหลวง
เรื่องนี้ไม่มีสัญญาณใดๆ มาก่อน ซูหลีเองก็ไม่เคยส่งคนมาบอกเช่นกัน
ตอนนั้นฉินมู่ปิงอยากรู้ว่าโอรสสวรรค์ทรงทำเช่นนี้เพื่ออะไร ก็ลำบากมากแล้ว
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างหนักแล้วถึงได้มาหาซูหลี
ซูหลีได้ยินเช่นนั้นมือที่ถือจอกชาก็ชะงักค้างไป จู่ๆ นางก็นึกถึงกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ที่ตรัสกับฉินม่อโจวในห้องทรงอักษรในวันนั้น
อีกทั้งหลังจากที่ฉินม่อโจวช่วยนางหลังจากตกน้ำ นางก็เห็นฉินมู่ปิงยืนข้างๆ ฉินเย่หาน
เหมือนสีหน้าเขาไม่ใคร่สู้ดีนัก
จนนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ได้ยินว่าฉินมู่ปิงขอตัวกลับไปแล้ว
ดูแล้ว…
เมื่อวานฮ่องเต้คงจะทรงวุ่นวายกับฉินมู่ปิงกระมัง? ดังนั้นเขาถึงหัวเสียร้อนรน จนต้องรีบมาหานาง?
อารมณ์หลากหลายปะปนถาโถมมาหานาง แต่ใบหน้านางกลับราบเรียบ หยิบขนมของตนขึ้นมากินอย่างนิ่งเฉย หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า
“ที่ซื่อจื่อพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้ส่งคนไปรายงานท่านจริงๆ!”
ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าฉินมู่ปิงก็ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม
“แต่ซื่อจื่อ…” ซูหลีปรบมือแล้วเหลือบสายตาขึ้นอย่างกะทันหัน จ้องตาฉินมู่ปิงและเอ่ยเสียเบา
“เงื่อนไขแรกที่ในการส่งข่าวของข้า ก็คือข้าจำเป็นต้องรู้เจตนาของฮ่องเต้ก่อนสิ ซื่อจื่อนี่ท่านคิดอย่างไร ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบในราชสำนัก ข้าจะหยั่งรู้น้ำพระทัยพระองค์ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่ได้ให้คนรายงาน ก็เพราะข้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไร เพราะไม่ได้ข่าวอะไรถึงไม่มีอะไรให้ไปรายงาน!”
ฉินมู่ปิงคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะเอ่ยออกมาเช่นนี้
แต่พอย้อนคิดดูอย่างละเอียด ที่อีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผล
โดยเฉพาะเสด็จลุงของเขา ฉินมู่ปิงแทบจะไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายมากนักเลย นับประสาอะไรกับซูหลี
ซูหลีเพิ่งจะได้เข้าเฝ้าพระองค์เพียงเวลาสั้นๆเท่านั้นเอง
แต่ว่า…
ไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงมักรู้สึกว่า อีกฝ่ายหลอกลวงเขา!
ตอนที่ 738 เชื่อนาง!
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” นิ่งไปครู่ใหญ่ ฉินมู่ปิงถึงเอ่ยออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” ซูหลีผงกศีรษะอย่างไม่ลังเล ดวงตาดอกท้อที่งดงามคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์
ฉินมู่ปิงมองตานาง เขาไม่อาจหยั่งรู้เจตนาที่แท้จริงของนางในทันทีว่าจริงหรือไม่อย่างไร
ฉินมู่ปิงเพิ่งจะได้ค้นพบเอาในเวลานี้ ดวงตาของซูหลีสามารถสื่อสารคำพูดได้ และเพราะมีดวงตาเช่นนี้ หากเจ้าตัวอยากให้คนที่ได้ฟังเชื่อคำพูดของตัวเองแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็มีเพียงแค่จ้องตาอีกฝ่ายก็พอแล้ว
ดวงตาคนไม่อาจโกหก แต่ไม่รู้ว่าซูหลีเป็นเช่นนั้นหรือไม่
คำพูดคำจาของซูหลีไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ ซูหลีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ถึงต่อมาจะพอรู้เรื่องบ้างนิดหน่อยจากคำพูดของฉินมู่ปิง แต่ก็เป็นเพียงคำพูดเหลวไหลก็เท่านั้นเอง
อีกทั้งคืนวานนางอยู่ในวังหลวงทั้งคืน เพิ่งกลับมาเอาเมื่อเช้า นางไม่มีเวลาหรอก
ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องไม่มีเวลานี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ที่จริงคือนางไม่ได้อยากเป็นหูเป็นตาของฉินมู่อิงเสียหน่อย
“รู้แล้ว!” ฉินมู่ปิงผงกศีรษะ เขารู้สึกว่าเป็นมิตรกับอีกฝ่ายดีกว่าเป็นศัตรูกันเป็นไหนๆ
ในเมื่อซูหลีพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ยินดีจะเชื่ออีกฝ่ายสักครั้ง
“ในเมื่อเจ้ากับข้าตกลงจะร่วมมือกัน หวังว่าในภายหน้าใต้เท้าซูจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เขาพูดคำว่าข้าแล้วนั่นแปลว่ายกอีกฝ่ายไว้เทียบเทียมกัน ถือได้ว่าเป็นวิธีอีกอย่างในการชักจูงซูหลีให้เป็นพวก
ซูหลียิ้มบางๆ ดวงตาดำสนิทจ้องเขา ขณะผงกศีรษะ
ฉินมู่ปิงเป็นคนฉลาดหลักแหลม หากเขาต้องทุ่มเทพยายามชักจูงใครคนหนึ่งมาเป็นพวกจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำสำเร็จจริงๆก็ได้
แต่กับซูหลี ที่นางไม่หลงกลในทรัพย์สมบัติที่เขาเสนอให้ เพราะนางมีชีวิตมาสองชาติภพ จึงย่อมสามารถยับยั้งชั่งใจ
“เมื่อวาน เสด็จลุงทรงรับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้าในพระราชอุทยาน และทรงตรัสบางอย่างกับข้า…” เห็นซูหลีนิ่งไป เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดเมื่อวานให้อีกฝ่ายฟังอย่างหมดเปลือก
“เพราะช่วงนี้ข้าก่อเรื่อง จึงทรงเตือนข้า แต่ต่อมากลับตรัสว่าจะให้ท่านพ่อข้ากลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองหลวง”
ตอนพูดแววหม่นพาดผ่านในดวงตาฉินมู่ปิง เขางอนิ้วชี้ของตนเคาะโต๊ะเบาๆ ตามความเคยชิน
ซูหลีเห็นอากัปกิริยาของเขาชัดเจนเต็มสองตาแต่ก็ไม่ขัดอะไรเขา
“บางทีอาจจะเป็นแค่ความคิดชั่ววูบของเสด็จลุง แต่ว่า…” ฉินมู่ปิงเปลี่ยนเรื่อง แต่สีหน้าก็เย็นชาตึงเครียดขึ้น “ท่านพ่อข้าอยู่ชายแดนมานาน คุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่นั่นแล้ว ให้เขากลับมาตอนนี้ทำให้ข้ามีเรื่องต้องกังวลเพิ่มขึ้น…”
“วันนี้ใต้เท้าซูเป็นคนโปรดของพระองค์ เรื่องนี้ต้องขอให้ท่านช่วยข้าถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเสด็จลุง แต่ในราชสำนักวุ่นวายซับซ้อน หากมีคนเจตนาไม่ดีแล้วพูดอะไรให้เสด็จลุงฟังละก็…”
“คงไม่ใช่เรื่องที่ดีกับข้าแน่!”
ซูหลีนิ่งฟังเขาพูดมาตลอด พอฟังถึงตรงนี้นางก็เหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้
ที่จริงพวกเขาเป็นคนที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับฉินเย่หานที่สุด ฉินเย่หานกับฉินเฮ่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกัน
เพียงแต่ฉินเฮ่ามีกำลังทหารในครอบครอง ชวนให้คนคิดอะไรไปต่างๆ นานาได้
ดูไปแล้วฉินเฮ่าและฉินมู่ปิงเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
แต่ถึงจะรู้ดีแก่ใจ แต่ทำให้ถึงไม่ยอมมอบอำนาจทหารออกมาล่ะ?