ตอนที่ 315 แย่แล้ว / ตอนที่ 316 อยากทะเลาะก็ไปทะเลาะที่อื่น

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 315 แย่แล้ว 

 

 

 

 

 

“เจ้า!” อวี้อาเหราถูกข่มขู่ด้วยวาจานี้ของนางก็ถึงกับพูดไม่ออก 

 

 

ในเมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับหนิงจื่อเย่ นางก็ไม่กล้าที่จะลงมือส่งเดช แน่นอนว่าต้องไม่กล้าที่จะจัดการคนของเขาด้วย แต่หากปล่อยตัวแม่นางเซียวที่ทำร้ายเจาเอ๋อร์ไปเฉยๆ นางก็รู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้นั้นก็ยากเกินกว่าที่นางจะรับมือได้ 

 

 

“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่หากครั้งหน้าจับได้อีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่” เมื่อคิดอยู่นาน อวี้อาเหราก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด  

 

 

เมื่อแม่นางเซียวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น “ครั้งหน้าเจ้าก็คงไม่อาจจับตัวข้าได้ง่ายๆ อีก นี่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคิดอะไรอยู่ ตัวเจ้านั้นมีวรยุทธ์อ่อนด้อยถึงเพียงนี้ หากไม่มีเหล่าข้ารับใช้ก็แทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังปล่อยให้เจ้า…” 

 

 

ประโยคที่เหลือ นางกลับไม่ได้พูดออกมา 

 

 

อวี้อาเหราไม่สนใจนาง กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่ารอบบริเวณไม่มีใครอยู่แล้วจึงกล้าที่จะปลดเชือกออกจากตัวนาง เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความเป็นอิสระ สายตาเย็นชาก็มองมาที่นางอย่างมาดร้าย จากนั้นอีกฝ่ายก็หนีไป 

 

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไปแล้ว อวี้อาเหราก็รีบตะโกนขึ้นมาในทันที “แย่แล้ว! แย่แล้ว!” 

 

 

“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นขอรับ” พวกของตาเว่ยต่างพากันตื่นตกใจ รีบเข้ามาหาในทันที เมื่อเห็นอวี้อาเหรายืนอยู่ที่ริมน้ำเพียงคนเดียว ไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่นางเซียว พวกเขาก็ขมวดคิ้ว “คุณหนู แม่นางเซียวหายไปไหนแล้วขอรับ” 

 

 

“เมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่านางใช้กลเม็ดอะไร ข้าคิดว่าเป็นฝุ่นพิษจึงรีบร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าเพียงชั่วพริบตานางก็หายตัวไปเสียแล้ว!” อวี้อาเหราแสดงท่าทีโกรธขึ้ง ท่าทางราวกับว่ากำลังถูกผู้อื่นหลอกอยู่ จึงพูดขึ้นอย่างเจ็บแค้น “ครั้งหน้าหากข้าจับได้ก็อย่าได้คิดที่จะหนีไปง่ายๆ อีก!” 

 

 

“จะให้ข้าน้อยตามไปหรือไม่ขอรับ” ต้าเว่ยเสนออย่างระมัดระวัง 

 

 

อวี้อาเหราโบกมือ “ไม่ต้อง ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว คาดว่านางคงหนีไปไกลแล้วล่ะ วันนี้ทุกคนเหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนให้สบายเถิด ตลาดมืดแห่งนี้ไม่ปลอดภัยยิ่งนัก หากพวกเจ้าไปแล้วไม่มีใครดูแลข้าจะทำอย่างไร” 

 

 

“คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องขอรับ” ต้าเว่ยทำได้เพียงพยักหน้าลง 

 

 

ยามนี้เอง ฉู่ป๋ายก็เดินก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ สายตาเรียบเย็นจ้องมองมาที่ร่างของนาง “นางไปแล้ว?” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราตอบรับ เมื่อถูกดวงตาคู่นั้นของเขาจ้องมองก็ราวกับถูกเขาเปิดโปงสถานะเสียแล้วอย่างไรอย่างนั้น อาการร้อนตัวของผู้กระทำความผิดอย่างแปลกประหลาดก็ได้แพร่ขยายไปทั่วจิตใจไม่หยุดหย่อน นางไม่อาจพิเคราะห์ถึงอารมณ์ของเขาในยามนี้ได้เลย ดวงตาคู่นั้นที่ชัดเจนถึงเพียงนั้น ราวกับเขาได้มองออกถึงความในใจของนางอย่างทะลุปรุโปร่งเสียหมดแล้ว แต่ก็ยังคงไม่แน่ใจ ราวกับกำลังรอดูท่าทีของนางก่อนถึงค่อยยืนยันให้แน่ชัด 

 

 

ใจของนางพลันเต้นระส่ำขึ้นมา 

 

 

“หานสือไปซื้อสุราและอาหารกลับมาแล้ว ไปกินข้าวกันเถิด” หลังจากที่ฉู่ป๋ายพูดขึ้นมาง่ายๆ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป การกระทำของเขาช่างเหมือนสายลม ที่เดี๋ยวเดียวก็พัดผ่านมาโดยไม่รู้ตัว แล้วทันใดนั้นก็จากไปโดยยังไม่ทันได้รู้ตัว ไม่ว่าจะใครหรืออะไรก็ไม่อาจทัดทานได้เลย 

 

 

อวี้อาเหรามองพวกต้าเว่ย แล้วจึงค่อยก้าวเท้าออกไปทานอาหาร 

 

 

หลังจากที่นางปล่อยตัวแม่นางเซียวแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา 

 

 

เมื่อมาถึงลานด้านหน้าแล้ว นางก็ได้กลิ่นหอมลอยโชยเข้ามา มีทั้งเหล้าและอาหารพร้อมสรรพ 

 

 

เช่นนั้นถึงได้เห็นว่าด้านนอกมีโต๊ะตัวหนึ่งวางตั้งอยู่ และชายชรานั่งอยู่ที่ม้านั่งแล้วจ้องมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะนิ่ง น้ำลายแทบจะไหลย้อยหยดลงมาในอาหาร มุมปากของนางโค้งขึ้น แล้วก้าวยาวๆ เข้ามา ยื่นมือเข้าไปขวางทางเขา 

 

 

“ท่านจะรีบไปทำไมกัน น้ำลายจะไหลลงมาอยู่แล้ว รีบเช็ดเสียสิ” 

 

 

ชายชราได้ยินดังนั้นก็รีบยกมือขึ้นเช็ดมุมปาก แต่กลับไม่พบน้ำลายแม้แต่หยดเดียว ทันใดนั้นก็รีบจ้องมองนางอย่างโกรธเคือง “ยายหนูนี่ เจ้าหลอกข้าอีกแล้วรึ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 316 อยากทะเลาะก็ไปทะเลาะที่อื่น 

 

 

 

 

 

“อืม เป็นข้าที่หลอกท่าน แต่ใครจะคิดเล่าว่าท่านจะมีสติปัญญาที่ต่ำต้อยจนชวนซาบซึ้งใจถึงเพียงนี้” อวี้อาเหราก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังยักคิ้วหลิ่วตาอย่างโอหัง รู้สึกสนุกสนานทุกครั้งที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับชายชราเช่นนี้ 

 

 

“เจ้าน่ะสติปัญญาต่ำ!” ชายชราตะคอกกลับเสียงดัง 

 

 

“สติปัญญาต่ำหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” หานสือถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก 

 

 

อวี้อาเหราหัวเราะอย่างขบขัน “ก็หมายความว่าไม่มีสมองน่ะสิ เข้าใจหรือไม่” 

 

 

ทว่าหลังจากนั้น นางก็เกิดสงสัยขึ้นมาในชั่วขณะ แน่นอนว่าหานสือย่อมไม่เข้าใจคำนี้ แต่เหตุใดชายผู้นี้ถึงเข้าใจได้ในทันที เป็นเพราะนางคิดมากไปหรือชายชราคนนี้มีอะไรผิดปกติ? 

 

 

“คิดอะไรอยู่หรือนางหนู เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะแย่งน่องไก่ของข้าหรอกใช่หรือไม่” ชายชรายกมือขึ้นโบกตรงหน้านาง เมื่อเห็นนางหลุบตาลงต่ำ มองน่องไก่หอมๆ วางอยู่ตรงหน้าหนึ่งจาน เขาจึงโอบรอบจานไก่เอาไว้ทันที แล้วจึงจ้องมองนางอย่างระแวดระวัง 

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกจนใจ ตาแก่ที่ทำตัวเหมือนเด็กคนนี้จะเป็นนักพรตชราผู้มีสติสัมปชัญญะได้อย่างไร เมื่อครู่นี้นางคงคิดมากเกินไป เช่นนั้นจึงรีบแย่งน่องไก่มาจากมือของเขา แล้วจึงพยักหน้ายอมรับ “ใช่แล้ว ข้าก็กำลังคิดว่าจะแย่งน่องไก่ของเจ้าอยู่พอดี ไม่ใช่สิ น่องไก่พวกนี้ไม่ใช่ของท่านเสียหน่อย เหตุใดข้าจะกินไม่ได้เล่า” 

 

 

“ข้าไม่สน ข้าไม่สน มันอยู่ในมือของข้าก็ต้องเป็นของข้าสิ!” ชายชราโวยวายขึ้นราวกับเด็กน้อย ไม่ยอมปล่อยมือเพราะกลัวว่าอวี้อาเหราจะเข้ามาแย่งไป 

 

 

เมี่ยวอวี้รู้สึกขบขันยิ่งนัก “คุณหนู ท่านอย่าได้รังแกท่านผู้เฒ่าอีกเลยเจ้าค่ะ เอาน่องไก่ให้เขาทานเถิด ตรงนี้ยังมีของอร่อยอีกมาก ไม่ด้อยไปกว่าน่องไก่หรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

“ก็ได้ ข้าก็คร้านจะสนใจเขาเหมือนกัน” อวี้อาเหราว่าอย่างอารมณ์ดี ไม่นึกต่อล้อต่อเถียงตามชายชราอีกต่อไป นั่งลงข้างโต๊ะ ก่อนที่ทุกคนจะทานอาหารง่ายๆ ที่นี่ไม่เหมือนจวนอ๋องในเมืองเฟิ่งเฉิง เป็นเพียงเรือนไม้หลังเล็กๆ เจาเอ๋อร์กำลังพักผ่อนอยู่ด้านใน แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปรบกวน ดังนั้นจึงต้องทานอาหารกันที่โต๊ะด้านนอก 

 

 

แม้จะบอกว่าเรียบง่ายไม่หรูหรา แต่เมื่อได้ทานแล้วกลับรู้สึกสบายใจกว่าทานข้าวกับพวกปากว่าตาขยิบพวกนั้นเสียอีก 

 

 

นายบ่าวทั้งหมดล้อมวงทานอาหารด้วยกัน บางครั้งอวี้อาเหราก็แย่งน่องไก่ในมือของชายชรามากินบ้าง จนทำให้เขาจำต้องหลบนางแล้วค่อยๆ ทานของตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะยังมีของน่ากินอีกมากมาย จึงไม่ยอมจากไปไหน 

 

 

บรรยากาศคึกคักแบบนี้ที่นานๆ จะได้พบสักครา แต่มีเพียงฉู่ป๋ายที่ยังนั่งทานเงียบๆ คนเดียว ทุกคำที่ทานล้วนดูสง่างาม ร่างของเขาแผ่รังสีแห่งความสูงศักดิ์ที่ต่างจากผู้อื่นออกมา อวี้อาเหราเห็นเช่นนั้นก็ย่นจมูก “แค่กินข้าว ก็ไม่เห็นจะต้องวางท่านักเลย” 

 

 

“วางท่าอย่างไรกัน” ฉู่ป๋ายหรี่ตา 

 

 

อวี้อาเหราเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะถามกลับอย่างจริงจังเช่นนี้ เมื่อคิดแล้วจึงค่อยพูดขึ้นว่า “อย่าละเมียดละไมก็พอ” 

 

 

ฉู่ป๋ายพยักหน้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็ทานต่อไปด้วยท่าทีละเมียดละไมเช่นเดิม คีบหัวแครอทสีแดงหั่นเป็นเส้นใส่ถ้วยของนาง “อย่าเอาแต่ทานเนื้อ ไม่ดีต่อร่างกาย” 

 

 

“ข้าไม่อยากกิน” อวี้อาเหราเขี่ยแครอทออก แต่กลับถูกเขาบังคับให้หยุดการกระทำไว้ “ไม่อยากกินก็ต้องกิน” 

 

 

สิ่งที่นางไม่ชอบกินมากที่สุดก็คือหัวแครอท แต่เขาก็ยังบังคับนางให้กินเข้าไปอีก นางไม่กินไม่ได้หรืออย่างไร 

 

 

ทั้งสองคนทานอาหาร ทว่ามือเท้าไม่อยู่สุข ผลักจานอาหารบนโต๊ะกันไปมา จนทำให้คนที่เหลือต้องวางตะเกียบและถ้วยลงแล้วหันมามองคนทั้งสอง 

 

 

ชายชราวางตะเกียบลง แล้วตบเข้ากับโต๊ะแรงๆ “เจ้าเห็นโต๊ะอาหารเป็นสนามรบหรืออย่างไร หากอยากจะทะเลาะกันก็ไปทะเลาะที่อื่น อย่าขัดขวางพวกเราตอนกินข้าว”