ตอนที่ 331 ผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน / ตอนที่ 332 ประหลาดใจ

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 331 ผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน 

 

 

 

 

 

หากนับดูดีๆ แล้ว นี่น่าจะเป็นการเจอกันครั้งที่สี่ระหว่างน่าอวี้กับเฝิงเยี่ยไป๋ ที่อวี้เฉวียนซานจวงหนึ่งครั้ง ที่ ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ หนึ่งครั้ง ยังมีตอนที่นางมาเยี่ยมเฉินยางได้เจอเขาอีกหนึ่งครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สี่ 

 

 

แม้ว่านางจะมาที่จวนท่านอ๋องอยู่เป็นเพื่อนเฉินยางบ่อยๆ เพียงแต่เขานอนป่วยอยู่บนเตียงไม่พบแขกมาตลอด ครั้งที่แล้วก็เพราะความบังเอิญถึงได้เจอครั้งหนึ่ง จำนวนครั้งที่ได้พบก็ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ในใจนางก็ยังคงกระวนกระวาย วันนี้ไม่เหมือนดั่งวันก่อน ครั้งนี้นางมาพบเขาในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง จะพูดสิ่งใดกระทำสิ่งใดล้วนต้องระวังเป็นพิเศษ นางไม่ได้กลัวเขา เป็นนางที่รู้ดีอยู่ในใจ ที่เฝิงเยี่ยไป๋เรียกนางไปเพราะจงใจยั่วโมโหเว่ยเฉินยาง 

 

 

เวลาผ่านมานานเช่นนี้แล้ว ระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้นนางก็มองออกแล้ว เว่ยเฉินยางไม่เก่งเรื่อง ‘ชายหญิง’ นัก เฝิงเยี่ยไป๋มีความรักมากมายไม่อาจแสดงออกมาได้ ทั้งสองคนเหมือนดั่งปลายเข็มกับปลายเข็ม คนหนึ่งซ่อนความรู้สึกอยุ่ในใจไม่พูดไม่แสดงออกมา อีกคนพูดแล้วทำแล้ว คนนี้ก็ไม่ยอมเข้าใจเสียที ทั้งสองคนต่างไม่ยอมกัน เดินจนถึงทางตัน ไม่มีใครยอมหันหัวกลับมา ต่างทรมานอยู่เช่นนั้น เจ็บก็เจ็บด้วยกัน 

 

 

หลังจากที่เฉาเต๋อหลุนพานางมา ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินจากไป เรื่องเช่นนี้ คนอื่นช่วยนางไม่ได้ มีเพียงต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น 

 

 

“ข้าน้อยน้อมทักทายท่านอ๋อง” นางยืนอยู่นอกประตูแม้เขาจะไม่เห็น พิธีมารยาทก็ครบถ้วน 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋แสร้งไอสองที แล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้งเรียกให้นางเข้ามา 

 

 

น่าอวี้ให้อวี๋เอ๋อร์อยู่รอที่ข้างนอก นางเปิดม่านเข้าไปข้างใน นางได้เปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงยาวสีชมพู รัดสายคาดเอวเผยรูปร่างที่อ่อนช้อย ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า ไม่มีที่ใดที่ไม่น่ามองเลย วันก่อนที่ได้พบนาง ในความเรียบนิ่งมีความทะเล้น วันนี้เจอนางกลับมีความเขินอาย ความรู้สึกที่ต่างกันสองอย่าง สำหรับเขาแล้ว พอที่จะประหลาดใจ แต่ยังห่างไกลที่จะทำให้เขาอ่อนไหว 

 

 

“มาแล้ว” เขาเหลือบมอง “ให้เจ้าแต่งมาอยู่จวนท่านอ๋องนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” 

 

 

น่าอวี้ประคองเขาให้นั่ง “เหตุใดท่านอ๋องจึงพูดเช่นนี้ คนอื่นอยากแต่งเข้ามายังแต่งไม่ได้เลย ข้าได้สวรรค์ทรงโปรด ถึงได้มีโชคเช่นนี้” 

 

 

เขาตอบเพียงอืมเบาๆ แล้วชี้ไปที่ชาบนโต๊ะ น่าอวี้รับรู้ นางจับแก้วชาลองอุณหภูมิ เย็นแล้ว นางรินให้เขาใหม่หนึ่งแก้วแล้วส่งไห้ด้วยสองมือ รอเขาดื่มเสร็จ ก็รับแก้วชากลับมาวางไว้ที่เดิม 

 

 

“ท่านอ๋อง…” นางถือพัดโบกลมให้เขาเบาๆ น้ำเสียงมีความจนใจว่า “เมื่อก่อนข้าไม่เคยได้คิดที่จะแต่งกับท่านอ๋อง จึงได้สนิทกับพระชายา เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วก็จะรู้สึกจงใจเสียแล้ว ข้ารู้ว่าท่านรักพระชายามาก วันนี้… พระชายาต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แน่ๆ คืนนี้ท่านไม่ควรจะให้ข้ามาหาเลย” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋มองนางเล็กน้อย ทำเสียงหึว่า “นางรู้สึกไม่ดี? วันนี้ข้าเห็นนางยิ้มดีใจนัก รู้สึกไม่ดีตรงไหนกัน!” 

 

 

เริ่มต้นด้วยหมากนี้ถือว่าเดินถูกแล้ว หากเริ่มต้นมาก็เข้าใกล้ตีสนิทจะทำเอารู้สึกรังเกียจได้ พูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาอย่างน้อยก็แลกความรู้สึกดีได้ วันเวลายังอีกยาวไกล รีบร้อนไม่ได้ 

 

 

น่าอวี้ขยับเข้าไปใกล้ๆ ปลอบเขาอย่างจริงจังว่า “ผู้ชายและผู้หญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงล้วนรู้ดีอยู่ในใจ เพียงแต่ปากไม่พูด นางต้องการคนปลอบ… ตอนที่ข้ามาได้เจอซั่งเหมย ซั่งเหมยกลับไปต้องบอกนางเรื่องที่ระหว่างทางพบข้าแน่ๆ ท่านว่านางไม่เสียใจ เพียงแต่ข้าเดา ตอนนี้พระชายาต้องนอนร้องไห้อยู่บนเตียงแน่ๆ หากท่านเรียกนางมาตอนนี้ จะต้องเห็นสองตาบวมแบ่ง ความรู้สึกของผู้หญิงอ่อนไหวนัก ประโยคเดียว สายตาเดียวก็สามารถคิดเตลิดไปไกลได้ ปกตินางยิ่งคิดมักจะยิ่งน้อยใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ท่านทำเรื่องที่เข้าใจผิดได้ง่ายๆ เช่นนี้!” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

ตอนที่ 332 ประหลาดใจ 

 

 

 

 

 

ที่เฝิงเยี่ยไป๋เรียกน่าอวี้มาหนึ่งคือจงใจยั่วโมโหเว่ยเฉินยาง สองคืออยากจะลองดูว่าแม่นางคนนี้คิดไม่ดีหรือไม่ หากนางมีเป้าหมายแอบแฝง คิดจะใช้โอกาสนี้ปีนสูงขึ้นไป หรือพูดใส่ร้ายเฉินยางเพื่อเอาใจเขา เช่นนั้นเขาก็จะไม่ต้อนรับนางอีก ตอนแรกในบ้านมีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาหลายคนเขารู้สึกวุ่นวายนัก หากแต่ละคนล้วนคิดไม่ดี เช่นนั้นก็จะเก็บไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว จัดการพวกนางเสียให้หมด น่าอวี้ก็ไม่ยกเว้น 

 

 

เพียงแต่แม่นางนี้เขาดูไม่ผิดจริงๆ จิตใจสะอาด ไม่ได้เจ้าเล่ห์นัก กลับทำให้เขาประหลาดใจ ไม่ได้พูดใส่ร้ายเฉินยาง ทั้งยังยืนอยู่ฝั่งเฉินยางให้ทั้งสองคนคืนดีกัน จุดนี้ไม่เลวนัก ได้ใจเขาจริงๆ 

 

 

เขาค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ หากนางสามารถเป็นคนกลางที่กล่อมให้ทั้งสองคนคืนดีกันได้ แม้เขาจะไม่อาจให้นางเป็นผู้หญิงของตัวเอง อยู่ในบ้านนี้ก็จะไม่ให้นางลำบาก 

 

 

“พวกเจ้าเป็นผู้หญิงเช่นกัน หากตามที่เจ้าพูด ข้าควรจะทำอย่างไรกับนาง เจ้าเด็กนี้ดื้อดึงยิ่งนัก พูดเหตุผลให้นางฟังก็ฟังไม่เข้า พอมีอารมณ์ขึ้นมา ก็บีบคอเจ้าให้ตาย ข้าโกรธจนเจ็บไปทั้งหัวใจแล้วก็ยังทำอะไรนางไม่ได้” 

 

 

คำพูดนี้แฝงด้วยความเหนื่อยใจอยู่ลึกๆ กลับไม่ได้มีความรู้สึกที่กล่าวโทษเลย โกรธเสียที่ไหน เป็นการฟ้องที่จนใจชัดๆ รักนาง กลับไม่ได้รับความรักจากนาง ปล่อยมือไม่ได้ โกรธเจียนตายก็ได้แต่ฝืนทนอย่างเดียวดาย 

 

 

น่าอวี้รู้ว่าหมากก้าวนี้ของตัวเองเดินถูกแล้ว หากนางเข้ามาก็ใส่ร้ายเฉินยาง ยามนี้ก็คงจะถูกไล่ออกไปเสียแล้วกระมัง! คนน่ะ ที่สำคัญก็คือสมอง ความฉลาดสำคัญกว่าแผนการเล่ห์เหลี่ยมใดๆ 

 

 

นางไม่อยากให้พวกเขาคืนดีกัน เพียงแต่พูดออกมาแล้ว ไม่มีความคิดก็ไม่ได้เสีย อย่างไรก็กล่อมไปเสียก่อน เฉินยางมีนิสัยเช่นนี้ พวกเขาสองสามวันทะเลาะที เวลายังอีกยาวไกล ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีโอกาสเข้าแทรกได้ 

 

 

“ระหว่างสามีภรรยาที่สำคัญที่สุดคืออย่าได้เข้าใจผิดกัน ท่านน่ะอย่าได้สนข้าเลย ตอนนี้รีบไปหาพระชายาเถิด เกรงว่าตอนนี้ร้องไห้จนไม่น่าดูแล้ว วันนี้ทั้งวันฝืนยิ้มอยู่ตลอด ไม่ง่ายเอาเสียเลย!” พูดจบนางถึงได้ตกใจว่าเขาลงจากเตียงไม่ได้ จึงพูดด้วยสีหน้าละอายใจว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า… โอ๊ย ข้าปากไวไปหน่อย ไม่เช่นนั้นให้ข้าไปเรียกพระชายามาให้ท่านดีหรือไม่” 

 

 

เมื่อครู่นี้คือแกล้งเขาเล่น? ก็ดี ไม่ตื่นตกใจ ไม่เสแสร้ง ควรเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ใจแคบโทษนางเพราะเรื่องเพียงเท่านี้ เขาตบมือให้นางนั่งลง พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ไม่รีบ ดึกเช่นนี้แล้ว คนไร้ความสามารถอย่างนาง ร้องไห้ก็น่าจะร้องจนหลับไปเสียแล้ว หากข้าไปอีกก็เกรงว่าจะปลุกนางตื่นอีก พรุ่งนี้ค่อยเรียกนางกล่อมเป็นพอแล้ว” 

 

 

น่าอวี้ขานรับ นางก้มหน้าลง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก บรรยากาศเงียบสงัดทันที 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋มองนางขึ้นลงเล็กน้อย พูดกึ่งล้อเล่นว่า “นึกไม่ถึงว่าเจี่ยงเหว่ยถึงกับมีลูกสาวที่หน้าตางดงามมีมารยาทเช่นนี้ นี่คงเป็นบุญของเขาแล้ว” 

 

 

ตอนแรกน่าอวี้ก็ไม่ได้มีใจที่จะปิดบังความสัมพันธ์ของตนและเจี่ยงเหว่ย ก่อนหน้านี้เพียงแต่กลัวว่าจะไม่สามารถทำให้เขาจำได้ถึงได้ยกเจี่ยงเหว่ยขึ้นมาพูด ตอนนี้นางก็แต่งเข้ามาแล้ว แทนที่จะถูกเขาสงสัยว่าตัวเองมีเป้าหมายแอบแฝงในวันหลัง ไม่สู้ตอนนี้สารภาพเสีย นางเปลี่ยนสีหน้าเป็นโกรธแค้นพูดว่า “ท่านอ๋องยังไม่ทราบ เจี่ยงเหว่ยไม่ใช่ท่านพ่อของข้า ที่จริงแล้วเป็นอาของข้า บ้านข้านั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ทั้งบ้านเหลือเพียงน้องชายกับข้า เพราะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหวถึงได้มาที่เมืองหลวงฝากชีวิตไว้กับเขา”