ภายในวิหารวิญญาณ เส้นทางจากพื้นดินลงไปยังแดนนรกชั้นที่สิบแปดเป็นบันไดหินทอดยาวที่ทั้งแคบและเย็นยะเยือก
อู๋จุนถือแส้ไว้ในมือและเดินอยู่ด้านหน้าปกป้องซูจิ่นซี เพื่อคอยเปิดทางและระมัดระวังไม่ให้ผู้ใดเข้ามาขัดขวางได้
แสงสลัวตามเส้นทางคับแคบ ทำให้หน้ากากเขี้ยวสัตว์ที่แสนเย็นชาดูน่ากลัวมากขึ้น แม้จะมองไม่เห็นว่าแก้มขาวสะอาดภายใต้หน้ากากเขี้ยวสัตว์เป็นเช่นไร ทว่าดวงตาที่ส่องประกายสดใสกลับแฝงไปด้วยความเย็นชาที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าละเลย
ร่างเล็กของซูจิ่นซีเดินตามด้านหลังอู๋จุนอย่างแน่วแน่ แม้ร่างของนางจะดูเพรียวบาง แต่กลับมุ่งมั่นจนผู้คนไม่อาจมองข้าม
นางกำหมัดเล็กน้อย ใบหน้างดงามสงบนิ่งแฝงไว้ด้วยไอสังหารและความเย็นชา
เหล่าองครักษ์ของวิหารวิญญาณหาได้หวาดกลัวในพลังอำนาจของอู๋จุน ทว่าพวกเขารู้จักซูจิ่นซีในฐานะพระชายา นางนับเป็นเจ้านายของพวกเขาครึ่งหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเข้ามาขัดขวาง
ทำได้เพียงยืนเบียดเสียดถือกระบี่ยาวส่องประกายเย็นยะเยือกอยู่ตรงด้านล่างบันได ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยร่นไปทีละก้าว
เมื่อเดินมาถึงชั้นที่สิบหก เสียงร้องโหยหวนอันน่าสะพรึงกลัวราวกับวิญญาณในแดนนรกก็ดังขึ้น
แม้เสียงนั้นจะโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจทานทนได้ ทว่าซูจิ่นซีสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน นั่นคือเสียงของเฉินไท่เฟย
จุดประสงค์ที่ซูจิ่นซีมายังชั้นสิบแปดของวิหารวิญญาณในครั้งนี้ ก็เพื่อตามหาเฉินไท่เฟย
“พวกเจ้าหลีกทางเสีย ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ข้าเพียงมาตามหาเฉินไท่เฟยเท่านั้น หากพวกเจ้ายังกล้ายืนขวาง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมอบยาพิษเป็นของกำนัลแก่พวกเจ้า”
แม้พวกเขาจะอยู่ที่วิหารวิญญาณมานาน ทั้งยังไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพระชายา ทว่าพวกเขาเคยได้ยินจากองค์รักษ์ข้างกายเยี่ยโยวเหยาว่า พระชายามีชื่อเสียงด้านการใช้พิษ อีกทั้งวิธีการใช้พิษของนางยังมหัศจรรย์ดุจดั่งเทพเจ้า
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน
หัวหน้าองครักษ์ได้ยินชัดเจนว่าเยี่ยโยวเหยามีพระบัญชาให้สังหารเฉินไท่เฟย ทั้งเขายังเข้าใจว่าระหว่างซูจิ่นซีกับเฉินไท่เฟยมีเรื่องบาดหมางกัน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกมือออกคำสั่ง “ถอยไป! ”
ในชั่วพริบตาพลันเกิดเสียงดัง ‘ขวับ ขวับ’ เหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่ยืนขวางทางซูจิ่นซีกับอู๋จุน ต่างหลีกทางยืนเรียงแถวเปิดช่องทางเดินตรงกลางให้ซูจิ่นซีกับอู๋จุน พลางทำความเคารพเมื่อซูจิ่นซีกับอู๋จุนเดินผ่านไป
“พระชายา ไท่เฟยอยู่ด้านล่าง เชิญพ่ะย่ะค่ะ! ”
แววตาซูจิ่นซีส่องประกาย นางไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง และค่อยๆ เดินลงบันไดที่ทอดยาวจากวิหารวิญญาณ ก้าวไปตามเสียงร้องครวญครางที่ดังอย่างต่อเนื่อง
อู๋จุนมององครักษ์ประจำวิหารวิญญาณที่เปลี่ยนท่าทีในชั่วพริบตา เขาเลิกคิ้วและเดินไปยังข้างกายหัวหน้าองครักษ์ และใช้มือตบไปที่หัวไหล่ของเขาแผ่วเบา
“พ่อหนุ่ม นับว่าเจ้ายังฉลาด ช่วยให้ข้าไม่ต้องออกแรงมากนัก ข้าไม่ได้ออกกำลังมาสักพักแล้ว ไม่เช่นนั้นจะได้ให้พวกเจ้ามาเป็นคู่ซ้อม”
องครักษ์นายนั้นเคยเดินทางไปยังแคว้นหนานหลีพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา จึงรู้จักอู๋จุนดี
“หึ ข้าน้อยเคยเห็นฝีมือของท่านมาบ้าง หากเจ้าหุบเขาต้องการออกกำลังจริงๆ พี่น้องเราก็ไม่รังเกียจและยินดีเป็นคู่ซ้อมให้ท่าน เช่นนั้น พวกเราเปลี่ยนสถานที่ไปด้านนอกดีหรือไม่? ตรงนี้คับแคบ ทั้งยังเป็นถิ่นของพี่น้องเรา หากท่านพ่ายแพ้แล้วจะหาว่าพี่น้องเราเอาเปรียบท่านเรื่องพื้นที่ รังแกเจ้าหุบเขาเทพโอสถอย่างท่าน”
ว่ากันตามตรง หากอู๋จุนต้องต่อสู้กับเหล่าองครักษ์ประจำวิหารวิญญาณเข้าจริงๆ เขาอาจเอาชนะพวกเขาไม่ได้
อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ อู๋จุนเพิ่งต่อสู้กับพวกเขาเพื่อช่วยเหลือมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวง ทำให้เสียพลังภายในไปไม่น้อย เขายิ่งไม่มีข้อได้เปรียบอันใด
เห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้ที่พ่ายแพ้แน่นอน อู๋จุนไม่มีทางดึงดันอย่างโง่เขลา
เขาฉีกยิ้มภายใต้หน้ากากเย็นชา พลางหัวเราะแหะๆ “ข้าไม่หลงกลพวกเจ้าหรอก! ออกอุบายให้ข้าไปต่อสู้ด้านนอก ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าคิดจะทำอันใดกับแม่นางพิษน้อย! วันนี้ข้าเป็นองครักษ์ข้างกายนาง ไม่อาจอยู่ห่างจากนางได้ ข้าไม่มีเวลาไปเล่นกับพวกเจ้าหรอก! ”
อู๋จุนพูดพลางเอียงตัวไปทางหัวหน้าองครักษ์นายนั้น ก่อนจะกระแทกร่างของเขาอย่างแรงและเดินผ่านไป รีบไล่ตามซูจิ่นซีที่เดินไปไกลถึงชั้นสิบแปดของวิหารวิญญาณแล้ว
ภายในห้องศิลาที่สะอาดสะอ้าน ทว่ามีเพียงแสงเทียนสลัว เฉินไท่เฟยใช้มือดันหน้าต่างเหล็ก พยายามเขย่งปลายเท้าและยื่นศีรษะตะโกนออกไปด้านนอก
“เยี่ยโยวเหยา เจ้ามันใจคอโหดเหี้ยม เจ้า… เจ้าต้องไม่ได้ตายดี… แม้แต่ข้าเจ้าก็ไม่ละเว้น สังหารมารดา เจ้าคนอกตัญญู เจ้าต้องถูกสวรรค์ลงโทษ… ”
“ใครก็ได้ ข้าต้องการพบซูจิ่นซี พวกเจ้าพาซูจิ่นซีมาพบข้าเดี๋ยวนี้… ซูจิ่นซี… ซูจิ่นซี… ”
เสียงนั้นแหบแห้งราวกับเสียงที่ถูกอัดแน่นอยู่ในลำคอ เปล่งออกมาได้อย่างยากลำบากและไม่ราบเรียบ เป็นเสียงที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจ
หากฟังเป็นเวลานาน กอปรกับบรรยากาศมืดสลัวโดยรอบ ทำให้ดูเหมือนเสียงร้องของวิญญาณในแดนนรกที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อหาทางออกจากกรงขัง
ห้องศิลานั้น แม้จะอยู่ใกล้ห้องคุมขังนักโทษอุกฉกรรจ์ อย่างไรก็ตาม เฉินไท่เฟยมีสถานะพิเศษกว่าผู้อื่น ประตูจึงไม่ได้ลงกลอน ทว่าด้านนอกประตูมีองครักษ์สองนายคอยเฝ้าอยู่
เฉินไท่เฟยไม่เป็นวรยุทธ์ นางไม่มีทางหลบหนีได้อย่างแน่นอน
ซูจิ่นซีสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แสดงว่าองครักษ์ทั้งสิบเจ็ดชั้นก่อนหน้านี้ได้อนุญาตแล้ว องครักษ์สองนายที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจึงไม่เข้ามาขวางทาง รอจนซูจิ่นซีเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงทำความเคารพและเปิดประตูให้นางเข้าไป
เสียงประตูดัง ‘เอี๊ยด’ ปลุกจิตวิญญาณอันบ้าคลั่งของเฉินไท่เฟยให้ตื่นขึ้น
นางรีบพุ่งไปทางประตู “ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการพบซูจิ่นซี ข้าต้องการพบซูจิ่นซี… ”
องครักษ์สองนายกลัวว่าเฉินไท่เฟยจะคลุ้มคลั่งและทำร้ายซูจิ่นซี จึงยื่นมือออกมาขวางนางไว้
เฉินไท่เฟยวิ่งออกมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหกล้มจนศีรษะเกือบกระแทกปลายเท้าของซูจิ่นซี
เมื่อเห็นรองเท้าปักลายงดงามและเสื้อผ้าที่คุ้นเคย เฉินไท่เฟยจึงสงบลง นางเงยหน้าขึ้นมองผ่านชายเสื้อที่ปักเป็นรูปห่านสีเหลือง สุดท้ายสายตาของนางก็สบกับดวงตางดงามเข้าพอดี
ภายในใจของนางพลันตื่นตระหนก อาการคลุ้มคลั่งเริ่มกลับมาอีกครั้ง นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและวิ่งเข้าหาซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี ก่อนหน้านี้เจ้าให้อันใดข้า? เจ้าให้ข้ากินอันใดลงไป? มอบยาถอนพิษมาให้ข้า มอบยาถอนพิษมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ”
องครักษ์ทั้งสองนายรีบเข้ามาแยกเฉินไท่เฟยออกไป เพื่อให้ซูจิ่นซีอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย
ซูจิ่นซีมองเฉินไท่เฟยที่กำลังคลุ้มคลั่ง แววตาสดใสค่อยๆ ปรากฏความเย็นชาและมุ่งมั่น
เฉินไท่เฟยในยามนี้ ไม่หลงเหลือสภาพของสตรีที่งดงามเป็นอันดับหนึ่ง และความสูงศักดิ์ในฐานะไท่เฟยแห่งแคว้นจงหนิงแม้แต่น้อย
เส้นผมของนางยุ่งเหยิง มวยผมไร้ทรง ผิวหนังที่เผยออกมาให้เห็น ทั้งใบหน้า ลำคอ และแขนล้วนเน่าเปื่อย ไม่อาจแยกแยะได้ว่าส่วนใดบนใบหน้าที่เป็นจมูกหรือปาก มองเห็นเพียงดวงตาดำขลับเท่านั้น ทั้งยังมีเลือดไหลรินออกจากบาดแผลเน่าเปื่อยนั้นอีกด้วย
หากนางไม่ได้เรียกตนเองว่าไท่เฟย และหากไม่ใช่เพราะน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้น คงไม่มีทางแยกแยะได้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นถึงเฉินไท่เฟย ผู้ที่เคยสูงศักดิ์เคียงคู่ไทเฮาในราชวงศ์ปัจจุบัน