เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 251 (1) ดับชีวิต

 

อํานาจของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นที่รู้กันดีในยุคสมัยนั้น ไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น แต่ยังควบแน่นอาณาเขตได้อีกด้วย มีอํานาจท่วมท้นในต่างดินแดน

พันกว่าปีที่แล้ว แม้จะเป็นนิกายใหญ่ห้าอันดับแรก ก็ไม่เต็มใจหาเรื่องดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษชีหยวนผู้โด่งดังแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ซึ่งทําให้ไม่อาจเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

 

ซึ่งในทางกลับกันแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนที่เป็นวิถีมาร ทําให้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะนั้นคืบหน้าเร็วมากทั้งยังไม่มีคอขวด ไม่เช่นนั้นบรรพบุรุษชีหยวนก็คงไม่มาถึงระดับนี้ได้

 

แต่อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นนับเป็นที่สุดอย่างแน่นอนในระดับที่ต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี ด้วยพลังของอาณาเขตควบคู่กับทักษะแปลกๆของนิกายเฮยหยวนก็เพียงพอจะอยู่เหนือตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า…

 

แต่ตอนนี้ บรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าในสายตาของชายผมหงอกและตํานานยุทธจากต่างดินแดน กลับถูกเฉือนตัดอาณาเขตเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยคมมีด ไอพลังก็ยังลดลงอีกด้วย

“เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

รูม่านตาของชายผมหงอกหดตัวลงกะทันหัน และตํานานยุทธคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นก็สะเทือนใจยิ่งกว่า ต่อหน้าคมมีดที่ตัดผ่าอาณาเขตแห่งความมืด พวกเขาแทบจะล้มลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจอยู่นั้น

ด้านในเมืองฉางอัน ไอพลังหลายจุดก็พุ่งออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของชายผมหงอกและคนอื่นๆ รัศมีพลังสี่ดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และหยุดอยู่ที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตรเหนือเมืองฉางอัน

 

“นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนงั้นหรือ?”

 

ชายผมหงอกเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตาไปเห็นร่างสี่ร่างยืนอยู่ที่ระดับความสูงพันเมตรเหนือพื้นดิน และหนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษชีหยวน

ในขณะนี้บรรพบุรุษชีหยวนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง พลังผันผวนแปรปรวน แม้จะยังคงยืนอยู่บนอากาศ แต่ไอพลังเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ฝั่งตรงข้ามที่เผชิญหน้าอยู่กับบรรพบุรุษชีหยวนเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีปราณชีวิตยืนยาว แม้ว่าชายผมหงอกจะไม่เคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือตํานานยุทธเมืองฉางอัน บุคคลผู้แข็งแกร่งที่ทําลายอาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน

“สามารถปราบปรามบรรพบุรุษชีหยวนได้ เกรงว่าเขาคงจะควบแน่นอาณาเขตได้แล้วเหมือนกัน..”

 

ชายผมหงอกยืนอยู่กับที่ มองขึ้นไปเห็นร่างของซูฉิน ท่าทางของเขาเหม่อลอย

ทุกวันนี้ยุทธภพในต่างแดนนั้นไม่ต้องกล่าวผู้ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่บรรพบุรุษที่หลับใหลในนิกายใหญ่ ส่วนตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกเยอะนั้นมีไม่มากนัก

“ไม่เลว”

“สามารถทานทนต่อคมมีดของข้าได้และยังไม่ตกตายไป?”

ซูฉินถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจไว้ในมือ มองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความสนใจ จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงและมังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะสามารถป้องกันคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ แต่พวกมันก็ต้องพึ่งพาร่างกายอันทรงพลังของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังกรปีศาจนั้นลําตัวยาวหลายร้อยเมตร และคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นยาวเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เชือดเฉือนคู่ต่อสู้ไป แม้ว่าจะทําให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทําร้ายไปถึงแก่นชีวิต

แต่บรรพบุรุษชีหยวนนั้นต่างออกไป

บรรพบุรุษชีหยวนนั้นเป็นเผ่ามนุษย์ เลือดเนื้อและพลังชีวิตของเขาก็ลดลงมากแล้ว อาศัยทักษะลับเฉพาะตัวจึงรอดมาได้จนป่านนี้ เขาสามารถสกัดกั้นใบมีดของคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ ทําให้ซุฉินต้องมองเขาด้วยความชื่นชม

 

“แข็งแกร่งนัก…”

ท่าทีของบรรพบุรุษชีหยวนดูสั่นไหว มีดของซูฉินที่ตวัดออกไป เมื่อครู่ได้ทุบทําลายอาณาเขตของเขาตรงๆ และเมื่อเจตจํานงจากมีดกระจัดกระจายออก อํานาจของอาณาเขตก็ย้อนกลับกระแทกเข้าหาตัวเขาเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะร่างปีศาจลวงของบรรพบุรุษชีหยวนที่ทําให้สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง เกรงว่ามีดในมือซูฉินคงสังหารเขาจนสิ้นใจไปแล้ว

 

บรรพบุรุษชีหยวนได้ต่อสู้กับซูฉินด้วยความรวดเร็ว และในตอนนี้เมื่อพวกเขาขึ้นมายืนอยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตร ทําให้ผู้คนในเมืองฉางอันตกใจเป็นธรรมดา

 

“นั่นคืออะไร?”

 

“ พ่อครับ มีคนลอยอยู่บนฟ้า!”

“จะไปมีใครลอยอยู่บนฟ้า? นี่เจ้าไปฝึกวิชามาแล้วโง่ลงรึเปล่า?”

 

ผู้คนมากมายในเมืองฉางอันแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า คนส่วนใหญ่นั้นเป็นคนธรรมดา ปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตรได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถเห็นได้รางๆ ว่ามีจุดสีดําสี่จุดตั้งอยู่ตรงนั้น มีเสียงลมพัดหวีดหวิวไปมา แต่ทั้งสี่จุดยังคงยืนนิ่ง

 

“พี่สามลงมือ?”

ภายในวังหลวง จักรพรรดิถังรีบไปที่กําแพงเมือง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นจุดสีดําสี่จุดรางๆ

 

“ใครกันที่กําลังต่อสู้กับพี่สาม?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน ส่วนอีกสองคนเป็นบรรพชนของพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้า มะ….”

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นใบหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ

เมื่อซูฉินสังหารผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะและรองหัวหน้านิกายเฮยหยวนบนเกาะหยิงโจว นักพรตเฒ่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่านิกายใหญ่เหล่านั้นจะยังไม่ยอมแพ้

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นักพรตเฒ่าได้อยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการบ่มเพาะภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านิกายเฮยหยวนและนิกายใหญ่อื่นๆจะต้องส่งคนออกมาอีก

 

แต่สิ่งที่นักพรตเฒ่าไม่คาดฝันคือ ทั้งพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ได้ปลุกบรรพชนของเขาขึ้นมาด้วย

 

โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่ถึงกับปลุกบรรพบุรุษชีหยวนผู้ชั่วร้ายที่เคยอาละวาดไปทั่วจนไม่มีใครในต่างแดนหยุดได้เมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมา

นักพรตเฒ่าดูซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว

หากเป็นเพียงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือพรรคหมื่นดาบ เขาก็ยังพอมีความมั่นใจในตัวซูฉินอยู่ ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตได้ การจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอาณาเขตก็คงไม่ได้ลําบากเท่าไหร่กระมัง?

แต่การปรากฏตัวของบรรพบุรุษชีหยวนทําให้นักพรตเฒ่าขนหัวลุก ซูฉินนั้นควบแน่นอาณาเขตได้จริง แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตามศักดิ์ศรีแล้วบรรพบุรุษชีหยวนเกิดก่อนซูฉินเป็นพันปี หากซูฉินต้องเผชิญหน้ากับคนผู้ นี้ก็คงจะยากสักหน่อย ไหนจะยังมีบรรพชนอีกสองคนอยู่เคียงข้างด้วย……

นักพรตเฒ่าเริ่มคิดแล้วว่าเขาจะนําจักรพรรดิถังและสมาชิกตระกูลซูหนีออกจากเมืองฉางอันเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้อย่างไรดี

สําหรับผู้คนนับล้านภายในเมืองฉางอัน นักพรตเฒ่าก็ทําได้เพียงกล่าวคําขอโทษ ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นจํากัดอยู่แค่สามารถช่วยจักรพรรดิถังและครอบครัวตระกูลซูได้เท่านั้น เขาจะมีปัญญาอะไรไปช่วยคนนับล้าน?

 

“คนพวกนี้แข็งแกร่งหรือไม่?”

เมื่อเห็นใบหน้าของนักพรตเฒ่าดูบิดเบี้ยวน่าเกลียด จักรพรรดิถังจึงถามด้วยเสียงต่ํา

 

“แข็งแกร่งหรือไม่?” นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ ไม่ต้องกล่าวถึงบรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายไร้เทียมทานในยุทธภพ แค่บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเพียงคนเดียวก็อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้ว

หากไม่มีซูฉินคอยปกปักคุ้มครอง ต่อให้อาณาจักรถังจะเล่นแง่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดตัวตนทรงอํานาจระดับนี้ได้

หร่วนชิงและเหยียนไห่เองก็หน้าซีดเซียว พวกเขาก็รู้เรื่องราวของบรรพชนจากนิกายใหญ่ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวมากมายเท่ากับนักพรตเฒ่า แต่ก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของบรรพชนเหล่านี้ดี

ทําไมนิกายใหญ่ในต่างแดนจึงสามารถเข้าครอบครองทรัพยากรบ่มเพาะมากมายในดินแดนโพ้นทะเลได้ตามอําเภอใจ? ก็อาศัยการมีอยู่ของบรรพชนเหล่านี้ภายในนิกายมิใช่หรือ?

“ฝ่าบาท รีบรวบรวมคนสําคัญทั้งหมดมาที่นี่ เราต้องรีบหนีออกจากเมืองฉางอันโดยเร็วที่สุด” นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาทันทีด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?” สีหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไป

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาก่อนหน้าเขาฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ประโยคเมื่อครู่นี้ทําให้จักรพรรดิถังตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

ฟูมมม….

บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินกว่าพันเมตร บรรพบุรุษชีหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหว เขายกมือขวาที่ผอมบางขึ้นมา มันเต็มไปด้วยพลังงานสีดําที่น่าสะพรึงกลัวไหลหลากออกมา พุ่งเข้าหาซูฉิน

ทันใดนั้นอากาศโดยรอบก็กระจายตัวออก เห็นเพียงนิ้วของบรรพบุรุษชีหยวนที่ค่อยๆกดลงช้าๆ

“มันจบแล้ว”

“มันจบสิ้นแล้ว”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ มือและเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ถึงสองคนต่อสู้กัน แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปีอาจจะมีสักครั้ง สําหรับขุมพลังระดับนี้ด้วยการต่อสู้น้ํานั่นเต็มรูปแบบ เพียงแค่การปะทะกันของอาณาเขตก็อาจเปลี่ยนพื้นที่หลายสิบล้ําให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้เลย

 

หากเป็นช่วงก่อนที่บรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กัน นักพรตเฒ่าค่อนข้างมั่นใจว่าจะพาจักรพรรดิถังและตระกูลซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ แต่ในตอนที่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นักพรตเฒ่าจะพาผู้คนออกไปด้วย แค่การรักษาตนเองให้รอดไปได้ก็เป็นปัญหายิ่งแล้ว

 

และในครั้งนี้

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

“ถ้าเจ้ามีกําลังวังชาเต็มเปี่ยม มีความแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ในยุครุ่งเรือง ข้าก็พอจะสนใจอยู่ ทว่าตอนนี้…”