DC บทที่ 364: นี่ต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิด

 

“ท่านผู้นำนิกาย เรามีเรื่องฉุกเฉิน เรามีเรื่องฉุกเฉิน”

 

“อะไรรึ” ฟูกวางมองดูผู้อาวุโสนิกายที่เรียกเขาอย่างเร่งรีบพร้อมกับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ายังคงโกรธเกี่ยวกับเรื่องการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน

 

“สำนักหงส์สวรรค์ พวกเธอ.. พวกเธอร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ผู้อาวุโสนิกายเปิดเผยข่าวให้กับฟูกวางผู้ซึ่งดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนี้

 

“อะไรกัน เป็นไปไม่ได้”

 

“มันเป็นความจริง ไป่ลี่ฮัวผู้นำนิกายของพวกเธอได้ประกาศด้วยตัวเธอเองเมื่อกี้นี้ พวกเธอกล่าวว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตอนนี้อยู่ภายใต้การปกป้องของพวกเธอ ในเมื่อพวกเขาได้ร่วมเป็นพันธมิตรกันแล้ว”

 

“เจ้าพวกเลวนั่น เป็นเพราะการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน พวกนั้นจึงกล้าที่จะเข้าข้างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งที่รู้ว่านี่เป็นการล่วงเกินพวกเรา” ฟูกวางด่าลั่น

 

“แล้วเรื่องความบาดหมางของพวกเรากับนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยล่ะ พวกเราจะยังคงทำสงครามกับพวกเขาหรือไม่” ผู้อาวุโสนิกายถามเขาด้วยท่าทางกังวล

 

แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันว่านิกายล้านอสรพิษเป็นขั้วอำนาจระดับสูงแม้กระทั่งกับสำนักระดับสูงด้วยกันเอง แต่เมื่อปราศจากผู้อาวุโสสูงสุดเหรินพวกเขาตอนนี้ก็ได้แต่อยู่ในระดับกลางหรือท้ายๆของอันดับของสำนักระดับสูง

 

ถ้านิกายล้านอสรพิษยังคงต้องการที่จะทำสงครามกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ตอนนี้ได้รับการปกป้องจากสำนักหงส์สวรรค์สำนักระดับสูงต้นๆเช่นเดียวกับพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นผู้ได้รับชัยชนะในสงครามนี้อีกด้วยซ้ำ

 

“เราจะทำ”

 

หลังจากที่ลังเลชั่วขณะฟูกวางก็ประกาศออกมาด้วยดวงตาแดงเถือก

 

“แม้ว่าเราจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายอยู่บ้าง แต่พวกเราจะไม่แพ้ ต่อให้พวกเราต้องเปิดเผยไพ่ตายของพวกเราต่อโลก พวกเราก็จะต้องทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักหงส์สวรรค์”

 

“อะไรนะ ไพ่ตายของพวกเรา แต่นั่นสำหรับใช้กับตระกูลซี…” ผู้อาวุโสนิกายตกตะลึงกับความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของฟูกวางในการที่จะสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“แล้วจะทำไม พวกเราก็เพียงแค่เลื่อนแผนของเราออกไปอีกไม่กี่ปี นั่นมิมีอะไรแตกต่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะต้องหายไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

 

“แต่หากว่าตระกูลซีรู้ถึงไพ่ตายของพวกเรา แน่นอนว่าพวกเขาจักต้องให้ความสนใจใกล้ชิดกับพวกเรา หากว่าเป็นเช่นนั้น แผนของพวกเราอาจจะรั่วไหลได้”

 

“เจ้ามิต้องกังวลในเรื่องนั้น” ฟูกวางกล่าวด้วยเสียงดุดัน “มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในนิกายที่รู้เรื่องแผนนี้ ถ้าเกิดมีความสงสัยในตัวพวกเขา ข้าก็จักสังหารพวกเขาทิ้งโดยไม่ลังเล”

 

“ขอรับ ท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสนิกายคำนับด้วยว่าเขากลัวว่าถ้าเขาพยายามที่จะโน้มน้าวฟูกวางต่อไป นั่นอาจจะดูเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและถูกฟูกวางสังหารเสีย

 

อย่างไรก็ตาม เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นข่าวของนิกายดอกบัวเพลิงร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็แพร่กระจายออก จนทำให้ฟูกวางถึงกับกระทืบเท้าด้วยความโกรธแค้นจนเกือบทำลายทั้งชั้น

 

“เชี่ย มิเพียงแต่สำนักหงส์สวรรค์แต่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงก็พยายามที่จะผสมโรงเล่นงานข้าด้วยรึ” ฟูกวางอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาเสียงดัง “นี่ต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิด สำนักระดับสูงต้องพยายามที่จะกำจัดนิกายล้านอสรพิษและสุดท้ายการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของพวกนั้น”

 

“พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปตอนนี้ ท่านผู้นำนิกาย ต่อให้กระทั่งไพ่ตายของพวกเรา นั่นก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับสำนักระดับสูงสองสำนักในเวลาเดียวกันหากปราศจากผู้อาวุโสสูงสุดเหริน อย่าว่าแต่นั่นยังมีเซียนอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ด้วย”

 

“…”

 

ฟูกวางไร้คำพูด เขาไม่เคยรู้สึกจนมุมเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งในระหว่างสถานการณ์การต่อสู้เสี่ยงชีวิตที่เขาเคยได้ประสบมาก่อนหน้านี้

 

“ให้เวลาข้าในการคิดเรื่องนี้สักหน่อย…” สุดท้ายฟูกวางก็กล่าวขึ้นหลังจากที่ผ่านเวลาไปหลายนาที

 

ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและปล่อยให้ฟูกวางอยู่ตามลำพัง

 

ในเวลานั้นภายในห้องหนึ่งในโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ โหลวหลานจีทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยท่าทางหมดแรงร่างกายปกคลุมไปด้วยเหงื่อ

 

“ฮาาา…ฮาาา… ฮาาา… ซูหยาง… เจ้าเก่งในเรื่องการฝึกคู่อย่างนี้ได้อย่างไร นี่เหมือนกับว่าเจ้ามีประสบการณ์เรื่องนี้มาหลายพันปี” โหลวหลานจีถามเขาขณะที่หอบหายใจอย่างหนัก

 

หลังจากที่ผ่านเวลาร่วมฝึกคู่มาเพียงหนึ่งชั่วโมง ซูหยางก็ได้ทำให้ร่างกายของเธอปลดปล่อยพลังงานและปราณหยินออกมาจนหมดสิ้น มันเป็นหนึ่งประวัติการณ์สำหรับโหลวหลานจี ผู้ซึ่งเป็นคนที่ทำให้คู่ฝึกของเธอหมดแรงก่อนเสมอ

 

“และหากเปรียบเทียบกับครั้งแรกที่พวกเราได้ทำการร่วมฝึกที่การทดสอบศิษย์ใน ปราณหยางของเจ้าได้เพิ่มคุณภาพอย่างมาก จริงแล้วมันมากเสียจนกระทั่งข้ามิอาจบอกได้ถึงคุณภาพของมันว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าพวกเราร่วมฝึกกันต่อไป ข้าคงจะเข้าสู่ระดับที่หกของเขตปฐพีวิญญาณในอาทิตย์หน้า มิน่าสงสัยเลยที่ว่าพลังการฝึกปรือของเหล่าศิษย์ต่างพากันเพิ่มขึ้นพรวดพราด” โหลวหลานจีอุทานออกมาขณะที่เธอมองดูปราณหยางของเขาที่ท่วมท้นล้นออกมาจากร่องสีชมพูของเธอ

 

“ข้าอ่านหนังสือสองสามเล่มเกี่ยวกับการฝึกวิชาคู่เท่านั้นเอง” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า

 

“ฮึ่ม ถ้าเจ้าสามารถมีประสบการณ์เท่านี้จากการแค่อ่านหนังสือ เช่นนั้นศิษย์ทุกคนก็คงเก่งกาจเช่นเดียวกับเจ้า” โหลวหลานจีแค่นเสียงหลังจากที่ได้ยินเขาพูดเห็นชัดว่าไร้สาระ

 

หลังจากนั้นชั่วขณะซูหยางก็พูดกับเธอว่า “จะว่าไปแล้วข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

“หือ อะไรหรือ”

 

“ข้าวางแผนที่จะทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักผสมผสาน” เขากล่าว

 

“ผสมผสานรึ นี่หมายความว่าอย่างไร” โหลวหลานจีเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงในเมื่อเธอไม่เคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน

 

“ก็ตรงตามความหมาย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักแบ่งศิษย์ออกเป็นสองภาคในอนาคต ภาคหนึ่งจะฝึกวิชาคู่ในขณะที่อีกภาคจะฝึกวิชาธรรมดา แต่แน่นอนว่านิกายเองจะยังคงเป็นหนึ่ง”

 

“ข้าพอที่จะถามได้ไหมว่าทำไมเจ้าต้องการที่จะแบ่งศิษย์ออก” ถึงแม้ว่ามันจะเปลี่ยนวิถีทางของนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยไปอย่างสมบูรณ์ โหลวหลานจีก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดของเขาในทันทีและเปิดใจรับ

 

ซูหยางพยักหน้าและทำการอธิบายให้เธอฟังถึงเหตุผลเบื้องหลังความคิดของเขา