บทที่ 1760+1761

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1760 ข้าจะต้องพบหน้าท่านให้ได้!

เมื่อครู่ยามที่เขาเห็นนางทำลายเขตแดนออกมา รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง!

กู้ซีจิ่วกอดอกมองเขา “ข้าฟื้นคืนชีพก่อนกำหนด ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องรบกวนตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าจะไปหาเขาเอง…”

แววตาหลงโม่เหยียนโชนแสงแวบหนึ่ง ถอนหายใจกล่าวว่า “ซีจิ่ว ในเมื่อเจ้าไม่สมควรจะฟื้นคืนชีพเร็วถึงเพียงนี้ ก็ยิ่งไม่สมควรจะไปหาเขาอีก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…แบบนี้แล้วกัน เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะไปหาเขาร่ำเรียนศาตร์อาคมเทพศักดิ์สิทธิ์ พอเรียนเป็นแล้วจะกลับมาสอนเจ้าอีกที ความจริงแล้วเจ้าคืนชีพได้เร็วเช่นนี้ข้าดีใจยิ่งนัก พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นหน่อย…”

กู้ซีจิ่วฟาดกิ่งไผ่ในมือใส่เขตแดนด้านข้างเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบทว่าเยียบเย็น “นี่เจ้าคิดจะขังข้าไว้ที่นี่หรือ? ขังไปอีกสามสิบแปดปีใช่ไหม?”

หลงโม่เหยียนส่ายหน้า “ไม่หรอก ซีจิ่ว เจ้าเพิ่งทำลายเขตแดนออกมาได้ ร่างกายต้องอ่อนล้าเป็นแน่ ที่นี่พลังวิญญาณพรั่งพร้อม เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับฝึกฝน เจ้ากักตนฝึกฝนฟื้นฟูอยู่ที่นี่เถอะ อีกสามเดือนข้าจะมาพาเจ้าออกไป…เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอยากไปไหนก็จะได้ไป ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าทุกที่”

กู้ซีจิ่วสูดหายตื้นๆ เฮือกหนึ่ง หลงโม่เหยียนก็คิดจะกักขังเธอไว้ตราบจนตี้ฝูอีจากโลกนี้ไปสินะ…

เธอก้าวเข้าหาหลงโม่เหยียนก้าวหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถขังข้าได้หรือ?”

ที่พูดจาไร้สาระกับเขามากมายขนาดนี้ ก็เพราะกู้ซีจิ่วต้องการพักผ่อนเติมเต็มกำลัง และทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวเกือบทั้งหมดแล้วด้วย ชาพิษที่อยู่ในร่างก็ฉวยโอกาสขับออกมาแล้ว พละกำลังก็ฟื้นฟูได้ครึ่งหนึ่งแล้วด้วย

กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะคุยเล่นกับเขาอีกต่อไปแล้ว!

ตอนนี้เวลาของเธอมีค่าดั่งทอง ไม่อยากจะเสียวเลาไปเลยสักวินาทีเดียว!

เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เธอก็รวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วซัดไปทางหลงโม่เหยียน!

ลำแสงสีรุ้งดั่งอสรพิษแล่นวาบ โจมตีใส่หลงโม่เหยียนอย่างสะท้านสะเทือน เพียงกระบวนท่าเดียวก็เหี้ยมโหดยิ่งนักแล้ว!

หลงโม่เหยียนถอยหลังไปทันที “ซีจิ่ว เจ้าไม่อาจโคจรพลังวิญญาณได้! ข้าผสมบางสิ่งลงไปในน้ำชาที่เจ้าดื่ม ถ้าโคจรพลังวิญญาณจะกัดเซาะชีพจรของเจ้า ถ้ายับยั้งไม่ทันกาลจะทำให้เจ้ากลายเป็นสวะไร้พลัง…”

เขากล่าวไปพลาง สะบัดแขนไปทางลำไผ่ที่อยู่ด้านข้างไปพลาง จุดนั้นปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นในทันใด เงาร่างเขาหายลับออกนอกประตูไป เหลือเพียงเสียงที่ยังล่องลอยอยู่ในอากาศ “ซีจิ่ว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ขอเพียงภายในสามเดือนนี้เจ้าไม่โคจรพลังวิญญาณสำแดงวรยุทธ์ โอสถนี้ก็จะส่งผลดีต่อตัวเจ้า เขตแดนนี้ของข้าเจ้าทำลายไม่ได้หรอก เจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายเป็นเวลาสามเดือนเถิด”

ภายในพื้นที่กว้างใหญ่เหลือกู้ซีจิ่วอยู่เพียงผู้เดียว หลงโม่เหยียนหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเผชิญหน้ากับเธอ จึงหลบฉากไปเสีย…

และกระบวนท่านั้นของหลงโม่เหยียนก็ไม่สามัญเลย ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้วจริงๆ ถึงจะสามารถสำแดงออกมาได้

กู้ซีจิ่วถอนหายใจโดยความโล่งอกอย่างไร้สุ้มเสียง ตัวเธอในตอนนี้ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ไม่มั่นใจเลยว่าเอาชนะได้ ถ้าประมือกันจริงๆ ขึ้นมาเธอไม่มีความได้เปรียบสักเท่าไหร่เลย…

ตอนนี้เขาหลบออกไปแล้ว เธอก็สงบใจลงมือทำลายเขตแดนนี้ของเขาได้พอดี!

เขตแดนนี้ทำลายได้ยากนัก เธอเตรียมใจกับความคิดนี้ไว้แล้ว

แต่เธอคือยอดฝีมือด้านการทำลายเขตแดน อยู่ในสภาพกายจิตยังสามารถทำลายเขตแดนที่สวรรค์คุมขังเธอไว้ได้เลย ตอนนี้เธอมีกายเนื้อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนเช่นใดสำหรับเธอแล้วล้วนไม่คณามือเลย!

เธอจะฝ่าออกไปให้ได้!

เธอเริ่มเดินวนสำรวจ คิดหาวิธีทำลายเขตแดน…

ตี้ฝูอี สวรรค์บอกว่าท่านและข้าไร้วาสนาต่อกัน ข้าไม่เชื่อ! ข้าจะต้องพบหน้าท่านให้ได้!

….

หลงโม่เหยียนยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง มองบ้านที่ตนเคยพำนักอยู่ไกลๆ ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง

เขาไม่อยากปะทะกับกู้ซีจิ่วอย่างซึ่งหน้าจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนไม่มีผลดีเลย

เขาจัดการอย่างเยือกเย็นเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

————————————————————

บทที่ 1761 พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา!

เขาจัดการอย่างเยือกเย็นเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ในที่พำนักของเขามีน้ำมีอาหารมีสวนผัก ต่อให้ขังนางไว้ด้านในสักไม่กี่เดือนก็ไม่ทำให้นางอดอยาก

อีกไม่กี่เดือนให้หลัง เมื่อตี้ฝูอีล่วงลับไปแล้ว ค่อยปล่อยตัวนางออกมาต่อให้นางร้องไห้ฟูมฟายอาละวาดสักเพียงใดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ล้า เขายังมีเวลาให้ค่อยๆ ตะล่อมเกลี้ยมกล่อมนาง…

อย่างไรเสียเขากับนางก็เป็นคู่บุพเพที่สวรรค์ลิขิต

ซีจิ่ว พวกเราสิถึงเป็นคู่กัน เมื่อก่อยข้าเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่คิดจะพลาดเป็นครั้งที่สองอีก!

เขาไม่กังวลเลยว่ากู้ซีจิ่วจะทำลายเขตแดนได้หรือไม่

ที่ดินแดนเบื้องบนเขาเป็นยอดฝีมือด้านการติดตั้งเขตแดน หลังจากตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว ทักษะเดิมก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้งอย่างช้าๆ

เขตแดนนี้ที่เขาติดตั้งไว้ที่ดินแดนเบื้องบนไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้เลย ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบน ก็ยังยากจะหาผู้ที่ต่อกรได้

ปีนั้นเขาเคยกักขังแม่ทัพคนหนึ่งของดินแดนเบื้องบนไว้ในเขตแดนนี้นานถึงหนึ่งปี…

แม่ทัพผู้นั้นไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน สิ่งเดียวที่หวั่นเกรงคือเขตแดนของเขา นับแต่นั้นมาก็ไม่กล้ายั่วยุเขาอีก

จะทำลายเขตแดนชนิดนี้ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีทักษะเฉพาะเท่านั้น ยังต้องมีพลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย และในชาที่เขาวางยากู้ซีจิ่วก็ผนึกการโคจรพลังวิญญาณของนางเอาไว้พอดี ต่อให้นางรู้วิธีทำลายเขตแดน ถ้าไม่มีพลังวิญญาณเกื้อหนุนมากพอเช่นนั้นก็อับจนหนทางแล้ว…

เขาจับตามองอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เมื่ออยู่ด้านนอกจะมองไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน แต่เขตแดนนั้นยังนิ่งสงบอยู่ตลอด คาดว่ากู้ซีจิ่วจะต้องไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือไปชั่วระยะหนึ่งเป็นแน่

เขาวางใจแล้ว ใคร่ครวญอยู่ในใจว่าจะเป็นฝ่ายไปหาเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูก่อนดีไหม…

ทันใดนั้นคล้ายว่าจะสัมผัสถึงอะไรได้ หันหลังไปในทันใด ร่างกายพลันแข็งทื่อเล็กน้อย!

บนคาคบไม้ของพฤกษาใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา มีบุรุษชุดขาวผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่

อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะโบกพลิ้ว เรือนผมดำขลับดั่งม่านน้ำตกปลิวไสว หน้ากากเงินอันหนึ่งบดบังดวงหน้าของเขาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เปล่งประกายลึกล้ำยิ่งกว่าดวงดารา  บัดนี้กำลังมองพินิจเขาอย่างเฉยชาอยู่

เทพศักดิ์สิทธิ์…หวงถู!

ไม่นึกเลยว่าพูดถึงโจโฉโจโฉก็มา!

ลมหายใจหลงโม่เหยียนขาดห้วงเล็กน้อย เขาทราบว่าวรยุทธ์หวงถูลึกล้ำ ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าจะลึกล้ำถึงขั้นนี้ ด้วยวนยุทธ์ของหลงโม่เหยียน ไม่น่าเชื่อว่าจะรับรู้ไม่ได้เลยว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่!

ดวงตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย ค้อมตัวทำความเคารพ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”

อีกฝ่ายสวมชุดพิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ เขาย่อมไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้จักได้

ตี้ฝูอีมองดูเขาโดยไม่พูดอะไร เขาเก็บอารมณ์ไว้เสมอมา ทำให้ผู้อื่นคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก

หลงโม่เหยียนถูกเขามองจนหนังศีรษะชาหนึบแล้ว ค้อมกายอยู่ตรงนั้นไม่กล้ายืดกายขึ้นชั่วขณะ

ผ่านไปสักพัก ในที่สุดตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ย “ในเมื่อรู้จักเปิ่นจุนแล้ว เหตุใดจึงไม่คุกเข่ากราบกรานคารวะอีกเล่า?”

ผู้คนจากดินแดนเบื้องบนเมื่อพบเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องคุกเข่ากราบคารวะเช่นกัน แม้แต่จักรรดิสวรรค์ก็ไม่ยกเว้น นอกเสียจากเขาจะออกปากเองว่าผู้ใดที่ให้งดเว้นการกราบคารวะได้

หลงโม่เหยียนแข็งทื่อไปเล็กน้อย นับตั้งแต่เขาทราบว่าตนคือตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็รู้สึกว่าศักดิ์ฐานะไม่ต่างไปจากตี้ฝูอีเท่าไหร่ เมื่อพบหน้าเขาอีกครั้งย่อมคิดจะคุกเข่ากราบคารวะแล้ว…

เขากระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ทำใจกล้าเงยหน้ามองตี้ฝูอี ท่าทีไม่อ่อนน้อมไม่แข็งกร้าว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ โม่เหยียนเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์น่าจะงดเว้นการกราบคารวะได้กระมัง?”

ม่านตาตี้ฝูอีหดตัวเล็กน้อย ดุเหมือนหลงโม่เหยียนจะทราบแล้วว่าตัวเขาคือตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์…

ในเมื่อเขาทราบแล้วว่าตนเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็น่าจะทราบแล้วว่าเส้นตายของตี้ฝูอีใกล้เข้ามาแล้ว ถ้างั้นเขาก็สมควรจะเป็นฝ่ายไปหาตี้ฝูอีก่อนเพื่อสืบทอดภาระหน้าที่นี้ มิใช่ปลีกวิเวกมาพำนักอยู่ที่นี่อย่างสำราญบานใจ…

นี่คิดจะเลียนอย่างเจียงไท่กงรึ?

หรือมีสาเหตุอื่นอยู่?

ตี้ฝูอียังคงทราบถึงเบาะแสร่องรอยของเขาอยู่บ้าง รู้ว่าเขาปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ทุกวันจะเรียนรู้งานเกษตรเพาะบุปผาปลูกต้นไผ่ ดำเนินชีวิตเยี่ยงนักพรตผู้ถือสันโดษ

—————————————————————