บทที่ 1762+1763

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1762 การประลองระหว่างเทพศักดิ์สิทธิ์และตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์

หลงโม่เหยียนหาใช่ผู้ถือสันโดษอย่างแท้จริงไม่ ตอนเขาอยู่ที่อาณาจักรเฟยซิงก็เคยคร่ำหวอดอยู่ในบ่วงอำนาจ ความสัมพันธ์กับหลงเจียหลัวก็ไม่เลวเลย คนผู้นี้ยังคงเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เพียงแต่ปกติแล้วไม่เผยประกายออกมาเท่านั้น

“เจ้ารู้ว่าเปิ่นจุนมาจะหาเจ้างั้นหรือ?” น้ำเสียงตี้ฝูอีแฝงเยียบเย็นเฉยชาไว้

หลงโม่เหยียนคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาตรงๆ เช่นนี้ ชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยตอบ “เป็นโม่เหยียนที่ขลาดเขลา ถึงแม้จะทราบความจริงบางส่วนแล้ว ทว่าไม่กล้าไปตามหาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ โม่เหยียนไร้ใจใฝ่อำนาจ ทว่าถูกบีบคั้นให้กลายเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ จึงมาคลายอารมณ์อยู่ที่นี่…นึกไม่ถึงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมาหาด้วยตัวเอง โม่เหยียนจึงประหม่า”

เขาตอบอย่างน้ำไม่รั่วเลยสักหยด ทำให้คนจับผิดอะไรไม่ได้

แต่ผู้ที่เขาเผชิญหน้าอยู่คือตี้ฝูอี ไม่มีผู้ใดสามารถเนลูกไม้ต่อหน้าเขาได้โดยไม่ถูกเปิดโปง!

ตี้ฝูอีมองเขาครู่หนึ่ง เห็นปากเขาบอกว่าประหม่า แต่การกระทำกลับไม่มีความประหม่าเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจหนุนหลังจึงไร้ความกริ่งเกรง…

คนเช่นนี้ถ้าได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง คิดจะให้เขาละวางเกรงว่าคงยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก…

ตี้ฝูอีไม่แสดงสีหน้า ทว่าได้ประเมินหลงโม่เหยียนอยู่ในใจแล้ว

หยกนภาหมอบอยู่บนข้อมือเขา กำลังจับสังเกตหลงโม่เหยียนอยู่ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ภายหน้าต้องคบค้าสมาคมกับเจ้านายของบ้านตนบ่อยๆ มันต้องตรวจสอบให้ดีเพื่อเจ้านาย

หลงโม่เหยียนผู้นี้รูปโฉมยอดเยี่ยมนัก ให้เก้าสิบคะแนน

ไม่ละโมบโลภอำนาจ มีกลิ่นพรตผู้สันโดษ มองเห็นว่าที่มุมชุดของเขายังมีคราบดินเปื้อนอยู่ ดูท่าจะเป็นนักพรตผู้สันโดษจริงๆ ให้เก้าสิบคะแนนอีกเหมือนกัน

ถึงอย่างไรหยกนภาก็พบเจอผู้น้อยมาน้อย ดังนั้นมันจึงให้คะแนนหลงโม่เหยียนสูงนัก…

‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หลงโม่เหยียนผู้นี้ไม่เลวเลย ข้าว่าพลังวิญญาณของเขาน่าจะขั้นเก้ากระมัง? ตัวคนก็ดูสุภาพอ่อนน้อม ท่านสามารถให้เขาติดตามอยู่ข้างกายถ่ายทอดทักษะให้เขาได้เลย…’

หยกนภาเจื้อยแจ้วอยู่ในสมองตี้ฝูอี

‘หุบปาก!’ ตี้ฝูอีตอบกลับมันเพียงสองคำ จากนั้นมองออกไปไกลๆ แวบหนึ่ง มองเห็นมุมหนึ่งของกระท่อมไผ่โผล่ออกมาจากด้านหลังป่าไผ่ผืนนนั้นรางๆ

เขาเหินกายลงไป เยื้องย่างงามสง่า เอ่ยเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ”

เมื่อหลงโม่เหยียนเห็นทิศทางที่เขาก้าวไป สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย!

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเดินทางมาไกล ให้โม่เหยียนพาท่านเข้าไปรับรองในตัวเมืองดีหรือไม่?” เขาไล่ตามไป ขวางหนทางไปของตี้ฝูอีไว้อย่างคล้ายจะเจตนาและคล้ายว่ามิเจตนา

ตี้ฝูอีไม่หยุดฝีเท้าเลย “ไม่ต้อง ไปบ้านเจ้าเถอะ” เขาต้องการไปดุแหล่งพักของเขาสักหน่อย บางทีอาจได้เห็นนิสัยใจคอของคนผู้นี้จากที่พำนักของเขาก็เป็นได้

หลงโม่เหยียนรีบค้อมกายกล่าวว่า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ที่พำนักในหุบเขาซอมซ่อโสมม เลวทรามเกินจะใช้รับรองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งได้ สวมควรเข้าเมืองเสาะหาที่สะอาดๆ สักแห่ง…”

นัยน์ตาตี้ฝูอีสาดแสงแวบหนึ่ง เท่าที่เขาทราบ หลงโม่เหยียนผู้นี้ก็รักสะอาดอย่างยิ่งเช่นกัน สถานที่พักอาศัยจึงสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นเสมอมา“”

ซอมซ่อนั้นเป็นไปได้ ทว่าโสมมนั้นเป็นไปไม่ได้

นี่เขาถ่อมตัวรึ? หรือว่าที่พำนักของเขามีเรื่องซ่อนเร้นไว้?

“เปิ่นจุนค่อนข้างอ่อนล้า กระท่อมภูเขาของเจ้าห่างจากที่นี่ไม่ไกล เปิ่นจุนจะไปพักเท้าที่นั่นสักประเดี๋ยว” ฝีเท้าเขาดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อยธาราไหลริน ทะยานไปข้างหน้า

ในใจหลงโม่เหยียนร้อนรนยิ่งนัก!

ค่อนข้างสำนึกเสียใจแล้วที่ไม่ได้ใช้อาคมอำพรางกระท่อมเอาไว้อย่างสมบูรณ์

เขตแดนที่เขาติดตั้งไว้ด้านนอกกระท่อมมองอยู่ไกลๆ จะไม่เห็นอะไร เพียงแต่ถ้าเข้าไปใกล้ก็จะพบเขตแดนนั้นเข้า…

กู้ซีจิ่วถูกขังไว้ด้านใน หากว่าตี้ฝูอีพบเข้าล่ะก็….

เช่นนั้นแผนการของเขาก็จะพังพินาศ!

ในสถานการณ์หลงโม่เหยียนพลันเกิดไหวพริบ รีบก้าวขึ้นไปสองก้าว ขวางหน้าตี้ฝูอีไว้ ยิ้มน้อยๆ แล้วอ่ยว่า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงคิดจะทดสอบพลังของโม่เหยียนอยู่เป็นแน่ มาถึงยามนี้โม่เหยียนคงต้องแสดงความขายหน้าแล้ว จะใช้อาคมก่อคฤหาสน์ขึ้นให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้พักเท้า และยังต้องขอคำชี้แนจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

——————————————————————-

บทที่ 1763 การประลองระหว่างเทพศักดิ์สิทธิ์และตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ 2

ไม่รอให้ตี้ฝูอีได้กล่าววาจา เขาก็ถอยหลังไปอีกครั้ง จรดนิ้วร่ายอาคม แสงห้าสีวาบออกมาจากปลายนิ้วเขา…

และเขาก็มีความสามารถอยู่จริงๆ ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ก่อสร้างหอไผ่หลังขึ้นบนเนินเขาด้านข้าง หอไผ่หลังนั้นคล้ายหอทรงแปดเปลี่ยมยิ่งนัก ชายคางอนเชิด แขวนกระดิ่งเงินไว้ตรงปลายยอด ดูสง่างามอีกทั้งมีกลิ่นอายความโบราณ

เมื่อมองจากด้านนอกแล้ว หอไผ่หลังนี้หรูหราอลังการกว่ากระท่อมไผ่หลังนั้นมากนัก

กระท่อมไผ่ของเขาเสมือนที่พักอาศัยของราษฎร แต่หอไผ่หลังนี้เสมือนที่พำนักของท่านอ๋อง

เขาค้อมกาย ใบหน้าหล่อเหลาเคารพนบน้อม “ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าไปพักผ่อนในหอไผ่เถิด”

นัยน์ตาตี้ฝูอีโชนแสงแวบหนึ่ง ทว่าครั้งนี้มิปฏิเสธอีก พยักหน้าน้อยๆ “ได้ นับว่าเจ้ามีใจแล้ว” ยกเท้าก้าวไปทางหอไผ่หลังนั้น

หลงโม่เหยียนพรูลมหายใจอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมา รีบตามหลังไปทันที

ภายในหอไผ่ของเขามีข้าวของครบครัน ม้านั่ง ตั่งไม้ เครื่องเรือนไม้แบบโบราณ…ทุกสิ่งล้วนดูประณีตยิ่งนัก

ตี้ฝูอีเดินวนอยู่ด้านในรอบหนึ่ง หลงโม่เหยียนรีบเชื้อเชิญให้เขานั่งลงหน้าโต๊ะไม้แบบโบราณตัวหนึ่ง ขอคำชี้แนะจากเขาอย่างจริงใจ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทักษะนี้ของโม่เหยียนพอใช้ได้หรือไม่?”

ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ดวงตาทอแววเฉียบคมรางๆ “หลงซื่อจื่อบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดี”

หลังจากหลงโม่เหยียนเผยฝีมือนี้ออกมา ก็ทราบแล้วว่าตนไม่อาจปิดบังกำลังที่แท้จริงต่อหน้าตี้ฝูอีได้อีกต่อไป จึงกล่าวอย่างนอบน้อม “โม่เหยียนมาจากดินแดนเบื้องบน เมื่อก่อนถูกผนึกความทรงและพลังวิญญาณเอาไว้ จัดจำอดีตไม่ได้ หลังจากตื่นรู้ได้ไม่กี่วัน พลังวิญญาณของโม่เหยียนก็บรรลุถึงขั้นสิบแล้วจริงๆ แต่มิได้มีเจตนาจะซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงไว้ หวังว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถือสา…”

ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง คนผู้นี้พูดจาไร้ช่วงโหว่โดยแท้…

เขาพินิจหอไผ่แห่งนี้ดูครู่หนึ่ง “อาคมนี้ของเจ้าไม่เลวเลย เพียงแต่ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์มิใช่ว่าสร้างเรือนได้ก็เพียงพอแล้ว เปิ่นจุนยังคิดจะทดสอบฝีมือด้านอื่นของเจ้าอีกเล็กน้อย”

“ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหัวข้อ”

“ฝีมือด้านการต่อสู้” ตี้ฝูอีพลันยื่นมือออกไป กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพลันก่อร่างขึ้นในมือ ดีดปลายนิ้วคราหนึ่ง กระบี่ยาวจู่โจมใส่หลังคาจนเกิดเสียงดังครืนพุ่งทะยานขึ้นสู่นภา!

หมุนวนอยู่กลางอากาศ กลายเป็นกระบี่เล่มน้อยนับไม่ถ้วน เรียงตัวกันเป็นผังค่ายกลจานแปดทิศ…

ปลายกระบี่ทั้งหมดจ่อเล็งไปที่หลงโม่เหยียน ยังไม่ทันได้โจมตีลงมา ไอสังหารอันเข้มข้นดุดันก็แผ่ไปทั่วหอไผ่ทั้งหลังแล้ว

หยกนภาที่หมอบเงียบๆ อยู่บนข้อมือของตี้ฝูอีรำพันอยู่ในใจ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านกำลังหึงหวงอยู่กระมัง? ผู้อื่นสร่างบ้านอย่างว่องไว ทว่าท่านทำลายบ้านได้ว่องไวกว่า!’

“หลงโม่เหยียน เจ้าจงทำลายค่ายกลกระบี่ของเปิ่นจุนเสีย อย่าได้กล่าวโทษว่าเปิ่นจุนไม่เตือนเจ้าก่อน ค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง จำเป็นต้องทำลายทิ้งเท่านั้นถึงจะหลุดพ้น หากว่าทำลายไม่ได้คงทำได้เพียงมอบชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ที่นี่แล้ว”

ตี้ฝูอีนั่งแกว่งตัวอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง น้ำเสียงสะท้อนกังวาน ก้องไปทั่วเนินเขา

หลงโม่เหยียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ค่ายกลกระบี่นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว! หากว่าเขาไม่ทุ่มฝีมือทั้งหมดออกมา เกรงว่าคงจบสิ้นอยู่ที่นี่!

เขายังคิดไม่ทันจบ กระบี่เล่มน้อยเหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาปานห่าฝน!

หยกนภาย่อมเป็นตัวรอบรู้เช่นกัน มองค่ายกลกระบี่นี้แวบเดียวก็ทราบแล้วว่าดุร้ายยิ่งนัก ถามอย่างหวาดหวั่น ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านใช้ค่ายกลพิชิตมารสวรรค์กระมัง? ต่อให้หลงโม่เหยียนผู้นี้มีพลังวิญญาณขั้นสิบก็เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว ท่านอย่าได้เล่นเขาถึงตายจริงๆ นะ ถ้าสังหารตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ไป แล้ววันหน้าเจ้านายของข้าจะทำอย่างไร?’

ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยชา “หากว่าเขาถูกสังการได้ง่ายๆ เช่นนี้ ก็ไม่คู่ควรเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

ยามนี้ค่ายกลกระบี่นั้นปิดล้อมหลงโม่เหยียนไว้ตรงใจกลาง แม้แต่ชายชุดก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็นเลย

อยู่ภายในค่ายกลกระบี่เช่นนี้ หลงโม่เหยียนไม่อาจฝ่าออกมาพักใหญ่เลย

ตี้ฝูอีกล่างพลางกระโจนลงสู่พื้นไปด้วย ก้าวเดินไปข้างหน้า

‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านจะไปไหนหรือ?’ หยกนภาฉงน

“ไปดูกระท่อมของเขา ดูว่าสรุปแล้วเขาซ่อนอะไรไว้ที่นั่นกันแน่” ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

———————————————————————-