บทที่ 1764+1765

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1764 พบหน้า

หลงโม่เหยียนผู้นี้เป็นจอมเจ้าเล่ห์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้ฝูอีแล้วลูกไม้เหล่านี้ของเขากลับไม่ควรค่าให้มองเลยด้วยซ้ำ! ชั่วชีวิตนี้ตี้ฝูอีพบเจอผู้คนมาไม่รู้เท่าใดแล้ว ประสบเรื่องราวมาสักเท่าใด ส่วนใหญ่เขามองคนแวบเดียวคลุกคลีด้วยเล็กน้อยก็เข้าใจคนผู้นั้นได้แปดเก้าส่วนแล้ว น้อยยิ่งนักที่จะมองพลาด

การเล่นลูกไม้ต่อหน้าเขานับเป็นการควงง้าวต่อหน้ากวนอูอย่างมิต้องสงสัยเลย ถูกเขามองทะลุปรุโปร่งได้ในแวบเดียว

ดุเหมือนเขาจะเดินทอดน่องเอ้อระเหย ทว่าความจริงแล้วว่องไวยิ่งนัก เข้าใกล้บริเวณกระท่อมได้แทบจะในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็พบเขตแดนนั้นเข้า…

หลงโม่เหยียนใช้พลังยุทธ์ทั้งหมดออกมา ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลบหลีกระลอกการโจมตีของค่ายกลกระบี่นั้นได้ อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี อยากเห็นว่าในดวงตาเขามีแววชื่นชมบ้างหรือไม่ ผลคือตัวคนไม่อยู่ที่เดิมแล้ว…

จึงกวาดตามองอีกครั้งตามสัญชาตญาณ ในสมองพลันเกิดเสียงดังตูม!

ตี้ฝูอียืนอยู่หน้าเขตแดน กำลังใช้มือสัมผัสเขตแดนนั้นอยู่…

หัวใจเขาพลันระส่ำระส่าย เสียสมาธิไปชั่วขณะ ถูกกระบี่น้อยเล่มหนึ่งฟันเข้าที่ไหล่

กระบี่น้อยเล่มนั้นไม่ได้ทำให้เขาเสียเลือดมากนัก แต่กลับเจ็บปวดอย่างน่าประหลาดยิ่งนัก เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกตัวต่อต่อยเสียอีก! เจ็บจนเขาสั่นสะท้าน เสียไปสมาธิไปอีกเล้กน้อย จึงถูกฟันเข้าที่ขาอีกครั้ง

“หากถูกฟันจนครบห้าครั้ง เจ้าจะบวมฉุจนมีขนาดเท่าคนสองคน พลังยุทธ์ทั้งร่างจะสลายไปครึ่งหนึ่ง” น้ำเสียงตี้ฝูอีแว่วลอยมา ไม่ร้อนรนไม่เชื่องช้า “อย่าหาว่าเปิ่นจุนไม่เตือนเจ้าแล้วกัน”

หลงโม่เหยียนตกตะลึง!

เขามองเห็นแสงสีรุ้งผุดออกมาจากปลายนิ้วตี้ฝูอี ชัดเจนยิ่งนักว่าอีกฝ่ายเตรียมจะทำลายเขตแดนของเขาแล้ว

หัวใจเขาทั้งกระสับกระส่ายทั้งร้อนรน ทางหนึ่งก็โฉบซ้ายป่ายขวาอยู่ในค่ายกลกระบี่ ทางหนึ่งก็ร้องตะโกนไปด้วย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขตแดนนั้นไม่อาจทำลายได้!”

“เพราะเหตุใด?” ตี้ฝูอีถาม

หลงโม่เหยียนเหินทะยานปัดป้องการโจมตีอยู่ในค่ายกลกระบี่ตอบไปว่า “เล่าแล้วยาวนัก รอโม่เหยียนทำลายค่ายกลกระบี่นี้ได้แล้วจะบอกกล่าวแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หวังว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ทำลายเขตแดนนั้นเสียก่อน!” หลงโม่เหยียนตัดสินใจจะยื้อเวลาไว้

ตี้ฝูอียิ้มแล้ว!

คิดจะใช้วิธีนี้มาถ่วงเวลารึ?

“หลงโม่เหยียน สิ่งที่เปิ่นจุนต้องการจะทดสอบคืออุปนิสัยของเจ้า! หากเจ้าไม่มีมารในใจ ไยต้องทำให้ที่พำนักลึกลับถึงเพียงนี้ด้วยเล่า? หรือว่าเจ้าจะกระทำเรื่องที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองอันใดไว้ที่นี่แล้วเกรงว่าจะถูกคนทราบความเข้า? เมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นจุนยิ่งต้องตรวจสอบดูให้กระจ่าง!”

หลงโม่เหยียนหน้าเปลี่ยนสีทันที ถึงแม้เขาจะมั่นใจในเขตแดนนี้ของตนยิ่งนัก แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ผู้ใดจะทราบได้เล่าว่าเขาจำทำลายได้ง่ายๆ เช่นพลิกฝ่ามือหรือไม่?!

หลงโม่เหยียนร้อนใจ ไม่สนใจการไล่ล่าของค่ายกระบี่แล้ว ฝืนพุ่งฝ่าออกมา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ช้าก่อ…”

เอ่ยประโยคยังไม่ทันจบดี ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งของตี้ฝูอีก็กระทบลงบนเขตแดนแล้ว!

เขตแดนนั้นสั่นสะเทือนทันที ดีดสะท้อนรัศมีแสงห้าสีออกมา ดีดกลับไปหาตี้ฝูอี…

ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ คาดไม่ถึงว่าเขตแดนนี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ สะท้อนการโจมตีได้จริงๆ เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ลำแสงสีรุ้งดั่งสายรุ้ง เข้าปะทะกับลำแสงห้าสีสายหนึ่ง บดขยี้ลำแสงห้าสีสายนั้นตรงๆ!

“เทพศักดิ์สิทธิ์ นี่คือเขตแดนเงารุ้งของดินแดนเบื้องบน หากบุ่มบ่ามทำลายจะทำให้คนบาดเจ็บได้ง่ายๆ…เทพศักดิ์สิทธิ์ยั้งมือเถิด…”

หลงโม่เหยียนพุ่งเข้ามาโดยที่มีค่ายกระบี่โอบล้อมอยู่รอบกาย

เขาฝืนพุ่งเข้ามาเช่นนี้ย่อมไม่มีผลดีต่อการทำลายค่ายกลของเขา บนร่างมีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกรอยหนึ่งแล้ว

“ที่แท้เจ้าก็หวังดีต่อเปิ่นจุนหรือนี่?” ตี้ฝูอีเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม แล้วหยุดมือ

“น…แน่นอน โม่เหยียนเหรงว่าเขตแดนนี้จะพลั้งทำร้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้า” หลงโม่เหยียนที่อยู่ระหว่างต่อสู้ฝืนกล่าวชี้แจง

“เช่นนั้นเปิ่นจุนจะถามเจ้าอีกประโยคแล้วกัน ในเขตแดนนี้ซ่อนอะไรไว้?”

“ไม่…ไม่มีอะไร เป้นเพียงข้าวของส่วนตัวบางส่วนของโม่เหยียน ไม่ควรค่าให้ผู้อื่นได้พบเห็น…”

ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาหยีโค้งเล็กน้อย “งั้นหรือ?”

———————————————————————-

บทที่ 1765 พบหน้า 2

ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าสรุปแล้วหลงโม่เหยียนซ่อนอะไรไว้ แต่ในใจของอีกฝ่ายมีภูตผีอยู่จริงๆ!

ยามปกติหลงโม่เหยียนเป็นคนรอบคอบ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ต่อให้เขาฝึกฝนวิชามารอันใดหรือซ่อนเร้นวัตถุมารอะไรไว้ ก็ไม่น่าจะเก็บซ่อนไว้ในที่พักของตน

ในเมื่อคำนวณไว้แล้วว่าเขาจะมา ก็ยิ่งไม่น่าจะซ่อนเล่ห์กลมหันต์ไว้ในที่พำนักตนสิ

นอกเสียจากว่าสิ่งที่เขาซ่อนเร้นไว้จะถูกเขาหลอกล่อมายังที่พำนัก จากนั้นก็เกิดปัญหายุ่งยากกะทันหัน จะย้ายออกไปก็ไม่ทันกาลแล้ว

หวั่นเกรงว่าเทพศักดิ์สิทธิ์จะเห็นถึงเพียงนี้…

เป็นสิ่งใดกันนะ?

ตี้ฝูอีชำนาญการวิเคราะห์จิตใจผู้อื่น แต่ก็เดาไม่ออกชั่วคราวว่าหลงโม่เหยียนซ่อนอะไรไว้ที่นี่กันแน่

ในเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายมีลูกไม้ ตี้ฝูอีย่อมไม่ปล่อยผ่าน เขาคร้านเกินกว่าจะทดลองไปทีอย่างๆ จึงจรดนิ้วร่ายวิชาทำลายเขตแดนที่ทรงพลังที่สุดออกมา ลำแสงเจ็ดสีดุจแสงอรุโณทัยกำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเขตแดนนั้น!

เกิดเสียง ‘ปัง!’ ดังกึกก้องขึ้น เขตแดนนั้นพังทลายลงเอง!

เงาสีเขียวดั่งกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากด้านใน! โผเข้าใส่ร่างของตี้ฝูอี

สายตาของตี้ฝูอีนับว่าเฉียบไวยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายรวดเร็วเกินไปจริงๆ เขาจึงเห็นไม่ชัดไปชั่วขณะว่าสรุปแล้วอีกฝ่ายคืออันใดกันแน่

เมื่อเห็นว่ากำลังจะโถมเข้าใส่ร่างเขา เขาจึงคิดจะซัดฝ่ามือออกไปตามสัญชาตญาณ จู่ๆ คล้ายว่าสัมผัสถึงอะไรได้ ฝ่ามือนี้จึงหยุดชะงักไปอีกครั้ง

ส่วนอีกฝ่ายในวินาทีที่กำลังจะชนใส่เขา ก็ซัดฝ่ามือออกมาเช่นกัน…

ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์ขาวที่เจิดจ้าแยงตาก็ชักกลับไปในทันใดเช่นกัน

พลังที่เธอชักกลับไปรุนแรงมาก ย่อมไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้ ศีรษะทิ่มเข้าสู่อ้อมอกของอีกฝ่าย!

ความเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องกันนี้รวดเร็วเกินไป เร็วจนทั้งสองฝ่ายต่างก็มองเห็นไม่ชัดจริงๆ ว่าคือสิ่งใด

แต่วินาทีที่เข้าใกล้อีกฝ่าย ทั้งสองล้วนรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณ ต่างยั้งมือไปในเวลาเดียวกัน

เมื่อเรือนกายอรชรอ่อนนุ่มเข้าสู่อ้อมแขน กลิ่นหอมของดรุณีที่คุ้นเคยก็โชยเข้าสู่จมูก ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อไปทันที! หัวใจพลันเต้นรัวดั่งฟ้าคำรามในทันใด!

เด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนย่อมเป็นกู้ซีจิ่วที่ทำลายเขตแดนแล้วหนีออกมา เธอก็ตะลึงงันไปชั่วขณะเช่นกัน สองแขนทาบอยู่บนแผงอกเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น

สายตาสองคู่ประสานกัน!

ทั้งสองต่างทึ่มทื่อไปครู่หนึ่งพร้อมกัน!

แววตาตี้ฝูอีเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แทบสงสัยแล้วว่าตนกำลังอยู่ในฝันร้ายอันใด

ซีจิ่ว ในอ้อมแขนเขาคือกู้ซีจิ่ว!

คนที่เขาเฝ้าคะนึงหา ทว่าก็เป็นคนที่มั่นใจว่าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว

นางดูทุลักทุเลอยู่บ้าง เหงื่อเปียกชุ่มอาภรณ์ เส้นผมก็แนบลู่ติดแก้มอยู่สามสี่เส้น มองออกเลยว่านางเพิ่งจะทุ่มเทอย่างสุดชีวิตยิ่งมา…

ตี้ฝูอีที่สุขุมเยือกเย็นขนาดที่ว่าภูเขาไท่ซานถล่มอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กะพริบตาเลยเสมอมาพลันโง่งมไปทันที!

ไม่ว่าเขาจะคาดคิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึงเลยว่ากู้ซีจิ่วจะอยู่ที่นี่ จะโผล่ออกมาในสภาพเช่นนี้!

ร่างกายของเขาแข็งทื่อ สองแขนก็แข็งทื่อแนบติดร่าง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

กู้ซีจิ่วกลับดีหน่อย ถึงอย่างไรเธอก็ทราบอยู่แล้วว่าตี้ฝูอีจะมาหาหลงโม่เหยียน…

เธอแต่เธอก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเพิ่งจะทำลายเขตแดนออกมาก็ได้พบเขาเลย และยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าการโผครั้งนี้จะโผเข้าใส่อ้อมอกของเขา

กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคย กลิ่นอายที่คุ้นเคย ทุกอย่างที่คุ้นเคยทำให้เธอใจสั่น!

ความคิดถึงอย่างอันบ้าคลั่งที่พลุงพล่านอยู่ในทรวงมาหลายวัน ยามนี้ในที่สุดก็พบหนทางระบายออกแล้ว ความคับข้องหมองใจที่ไม่อาจกล่าวได้กระจ่างก็เอ่อท้นจากทรวงอกมาถึงลำคอในทันใด เอ่อท้นขึ้นสู่ดวงตา…

จมูกเธอพลันแสบเคือง ตาแดงแล้ว

ยังไม่ทันได้คิดว่าจะทำอย่างไรดี มือของเธอก็กุมสาบเสื้อของเขาเอาไว้โดยอัตโนมัติแล้ว “ตี้ฝูอี…” เธอเรียกชื่อเขา นึกอยากพูดอะไร แต่ลำคอเสมือนมีไข่เป็ดฟองหนึ่งอุดอยู่ เธอพูดไม่ออกเลยสักคำ!

ยามที่เธอพุ่งออกมายังเปี่ยมด้วยไอสังหารอยู่เลย…

———————————————————