บทที่ 1766+1767

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1766 พบหน้า 3

ยามที่เธอพุ่งออกมายังเปี่ยมด้วยไอสังหารอยู่เลย มีใจหมายจะฉีกทึ้งหลงโม่เหยียนทั้งเป็นเยี่ยงนักรบหญิงคนหนึ่ง

แต่ยามนี้เมื่อมุดเข้าสู่อ้อมอกของตี้ฝูอี เธอทั้งปีติยินดีทั้งคับข้องใจ รู้สึกว่าในทรวงคล้ายมีความรู้สึกบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา

อยากจะผลักเขาออกอย่างดุดัน แต่ก็อยากกอดเขาไว้แน่นๆ…

ความรู้สึกอันรุนแรงสารพัดซัดถาโถมอยู่ในทรวงอกเธอ ทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรดีถึงจะถูก

เพียงขยุ้มสาบเสื้อของเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ยึดเอาไว้แน่น ออกแรงจนนิ้วขาวซีดแล้ว

เธอเงยหน้ามองเขา สายตาทั้งสองคนประสานกัน เธอกะพริบตาเล็กน้อย รู้สึกจิตตกอยู่บ้าง..

สองแขนของตี้ฝูอีแข็งทื่อแนบลำตัวอยู่ตลอด เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้กอดเธอไว้…

เธอเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มคราหนึ่ง รู้สึกว่าตนคล้ายจะไม่สงวนท่าที จึงถอยหลังไปเล็กน้อย คิดจะผละจากเขา แต่ก็หักใจไม่ลงอยู่บ้าง

หลังจากละล้าละลังไปชั่วขณะ ในที่สุดสติของตี้ฝูอีก็กลับมาแล้ว…

เพียงแต่เขายังคงไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ปฏิกิริยาแรกคือนี่เป็นร่างโคลนนิ่งของซีจิ่วที่หลงโม่เหยียนซ่อนไว้ที่นี่หรือเปล่า?

ด้วยเหตุนี้หลงโม่เหยียนจึงทำสารพัดวิธีเพื่อไม่ให้เขาได้เห็น…

ถึงแม้จะเป็นร่างโคลนนิ่งที่เหมือนกู้ซีจิ่ว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่นาง ตี้ฝูอียังคงไม่คิดจะโอบกอดอีกฝ่าย

เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับมา สิ่งแรกที่ต้องการทำคือผลักนางออกไป

อ้อมกอดของเขามีเพียงนางเท่านั้นที่ครอบครองได้ คนอื่นแค่คิดก็อย่าได้หมาย!

แต่คนในอ้อมกอดเขาตัวเป็นๆ กรุ่นกลิ่นหอม ร้องไห้เป็นโกรธเป็นทำลายเขตแดนเป็น ยามนี้ดึงสาบเสื้อเขาเอาไว้ ดวงหน้าเฉิดฉันคล้ายว่าทั้งปีติยินดีทั้งคับข้องหมองใจ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องเขาเขม็ง น้ำตาคลอเบ้า…

นี่คือนางชัดๆ!

เป็นนางอย่างแน่นอน!

แต่เขาเพิ่งฝังสังขารของนางไปก่อนหน้านี้แล้วชัดๆ อีกทั้งยามนี้นางน่าจะยังคืนชีพไม่ได้…

ตี้ฝูอีสับสนขึ้นมาชั่วขณะ แน่นอนว่าความสับสนของเขาเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาจดจำได้ทันทีว่าใช่นางจริงๆ!

ถึงแม้นางจะปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลยิ่ง แต่เขาก็มั่นใจมาก นี่คือนาง! ผู้ใดก็สวมรอยไม่ได้…

ซีจิ่วของเขา…

“ซีจิ่ว!” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า ขณะที่ร่างนางกำลังจะถอยห่างจากอ้อมอกของเขา ในที่สุดเขาก็กอดนาง สองแขนโอบรัดเอวนางไว้ คล้ายกำลังสัมผัสว่านางมีตัวตนจริงๆ “ซีจิ่ว? ซีจิ่ว…”

อ้อมแขนของเขารัดเธอไว้แน่น โอบรัดจนเธอเจ็บบั้นเอวอยู่บ้าง ร่างกายของเขาถึงขั้นที่สั่นสะท้านเล็กน้อย หัวใจที่อยู่ในทรวงอกเต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง!

กู้ซีจิ่วเอียงศีรษะซบอกเขา ฟังเสียงหัวใจที่ถี่รัวของเขา สงบใจได้ทันที

เธอชอบฟังเสียงหัวใจเขาเต้นกระหน่ำ! เขาโอบรัดเธอยิ่งรัดแน่นเท่าไหร่ยิ่งเจ็บปวดเท่าไหร่เธอก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น!

ถ้อยคำนับไม่ถ้วนซัดตลบอยู่ในใจเธอ แต่หลังจากถ้อยคำนับหมื่นนับพันซัดสาดไปมาอยู่ในสมอง เธอก็กระชากสาบเสื้อของเขาอย่างดุดัน ตะโกนออกมาเพียงประโยคหนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้า…เจ้า…เจ้าคนสารเลว!”

บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดกล้าด่าตี้ฝูอีว่าสารเลวมาก่อน แต่หลังจากได้ยินนางร้องด่า ตี้ฝูอีกลับรู้สึกว่าไพเราะเสนาะหูยิ่งกว่าเสียงดนตรีอันเลิศล้ำใดๆ บนโลกนี้

เขาคลี่ยิ้ม “ใช่ ข้ามันสารเลว…”

มุมปากเขาหยักยิ้ม ทว่าน้ำตากลับเอ่อคลอ น้ำเสียงสั่นพร่านิดๆ เผยให้เห็นอารมณ์รุนแรงของเขา “ซีจิ่ว! ไม่นึกเลยว่า…”

ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก ไม่นึกเลยว่าจะได้กอดเจ้าอีก ได้สัมผัสถึงตัวเจ้าอย่างแท้จริง…

พวกเขาสองคนโอบกอดกัน ผู้ใดก็หักใจปล่อยมือไม่ลง

กู้ซีจิ่วดีร้ายอย่างไรก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก สมองเธอยังคงปลอดโปร่งอยู่บ้าง ปลายหางตาเหลือบเห็นหลงโม่เหยียนแล้ว…

เนื่องจากตี้ฝูอีไม่ได้ควบคุมค่ายกลกระบี่ต่อ ในที่สุดหลงโม่เหยียนจึงหลุดพ้นแล้ว ยามนี้เขายืนมองเธอกับตี้ฝูอีด้วยสีหน้าซีดเผือด ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ…

หลงโม่เหยียนยังคงเป็นบุคคลที่ปราดเปรื่องยิ่งนักโดยแท้…

—————————————————

บทที่ 1767 พบหน้า 4

หลงโม่เหยียนยังคงเป็นบุคคลที่ปราดเปรื่องยิ่งนักโดยแท้ เขาตะลึงเล็กน้อยที่กู้ซีจิ่วทำลายเขตแดนของเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ และรู้ว่าตัวเองไร้ซึ่งความหวังแล้ว! ยามนี้ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อได้

ดังนั้นหลังจากหลุดพ้นจากค่ายกลกระบี่ เขาก็ไม่สนใจบาดแผลบนร่างกายที่เจ็บปวดประหนึ่งถูกแมงป่องกัดต่อย ถอยหลังไปสองก้าวก็หันกายพลันคิดจะเหินทะยานจากไป…

กู้ซีจิ่วไม่ต้องการปล่อยเขาไปดื้อๆ เช่นนี้!

“หลงโม่เหยียน อย่าเพิ่งไป!”

เธอปล่อยสาบเสื้อของตี้ฝูอี ชักกระบี่ออกมา “เล่นเล่ห์กับข้าอย่างไร้เหตุผลแล้วคิดจะหนีไปงั้นรึ? ไม่มีวัน!”

นางกำลังจะกระโจนเข้าไปโจมตี ตี้ฝูอียื่นมือมาหยุดยั้งนาง “ซีจิ่ว เจ้าพักเถิด ข้าจัดการเอง!”

หลังจากดึงนางมาไว้เบื้องหลังโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ กระบี่ล้ำค่าพลันปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ นั่นคือกระบี่ที่เปล่งประกายเจิดจรัสเล่มหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏขึ้นก็มีลมพายุฟ้าคะนอง

กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยื้อแย่งกับเขา ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างเชื่อฟัง “เขาเล่นเล่ห์กับข้า กักขังข้า ฝูอี แก้แค้นแทนข้าด้วย!”

“อืม วางใจเถิด เจ้าไปรอข้าอย่างเชื่อฟังเถิด” ตี้ฝูอีลูบไล้เส้นผมนาง กระบี่ล้ำค่าในฝ่ามือเจิดจ้าแยงตายิ่งขึ้น

กู้ซีจิ่วหันกายหาศิลาก้อนหนึ่งแล้วลงนั่ง ลักษณะเหมือนรับชมการต่อสู้

เธอแทบจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในการทำลายเขตแดนนั้น ยามนี้จึงเหนื่อยล้าอยู่บ้างจริงๆ หยาดเหงื่อยังคงไหลย้อยอยู่บนหน้าผากเลย!

ในเมื่อมีตี้ฝูอีอยู่ทั้งคน เธอก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว…

สีหน้าหลงโม่เหยียนแปรเปลี่ยน ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้ฝูอี เมื่อสักครู่ก็ยังบาดเจ็บอีก…

เขาถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว “เทพศักดิ์สิทธิ์ ข้ากักขังนางมิได้มีเจตนาร้าย เพียงทำตามวิถีสวรรค์ เดิมทีนางไม่ควรฟื้นคืนชีพมาในเวลานี้ แต่นางฝืนลิขิตสวรรค์…โม่เหยียนเกรงว่านางบุกออกไปมั่วซั่วจะทำให้สวรรค์ขุ่นเคือง ดังนั้นจึงคิดให้นางรั้งอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว และคิดจะให้นางพักผ่อนกายา ต่อไปเมื่อท่านดับขันธ์นางจะได้รับช่วงตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์…”

ตี้ฝูอีชะงักงันเล็กน้อย จากถ้อยคำไม่กี่ประโยคของโม่เหยียน เขาคาดการณ์ได้ว่ากู้ซีจิ่วรู้ความจริงแล้ว…

เขาอดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ดวงหน้าน้อยๆ ของนางยังคงซีดขาว ทว่าสายตาคู่นั้นกลับเป็นประกายและเฉียบคมอย่างหาที่เปรียบมิได้

เธอหยามหยันคำอธิบายของหลงโม่เหยียน กล่าวอย่างเรียบเฉย “หลงโม่เหยียน เจ้าแค่กลัวว่าข้าจะออกมาเจอเขาก่อนกำหนด ทำให้ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้ากลายเป็นผู้เก่งกาจที่ขาดแหล่งสำแดงกำลังเท่านั้น อีกทั้งเจ้ายังวางยาพิษข้าอีก! เคราะห์ดีที่ข้ารีดพิษออกจากร่างกายได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงดำเนินไปตามแผนการของเจ้าจริงๆ ไม่แน่พลังวิญญาณทั้งหมดอาจสูญสิ้นไปเลยก็ได้…”

หลงโม่เหยียนเอ่ย “…ยาพิษนั้นของข้า…ไม่มีทางเป็นอันตรายต่อเจ้าจริงๆ ไม่ถึงแก่ชีวิต ข้าแค่อยากให้เจ้ารออยู่ด้านในอย่างเชื่อฟัง…”

คำแก้ต่างของเขายังไม่จบ เสียงลมพายุพลันดังขึ้น ลำแสงแวววับดุจสายฟ้าเปล่งประกายรอบด้าน ค่ายกลกระบี่ประหนึ่งภูเขากระบี่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา ปกคลุมเขาอยู่เบื้องล่างบดบังท้องนภา

อีกทั้งยังมีสุ้มเสียงเรียบเฉยทว่าเยือกเย็นของตี้ฝูอีตามมาพร้อมกับค่ายกลกระบี่ “หลงโม่เหยียน ลอบทำร้ายว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่มีโทษประหารชีวิต! เป็นบุรุษพูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย หากเจ้าหลุดพ้นค่ายกลกระบี่นี้ออกไปได้ เปิ่นจุนก็จะปล่อยเจ้าไป”

ค่ายกลกระบี่ที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้นครั้งนี้แตกต่างจากค่ายกลเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด

ค่ายกลเมื่อสักครู่นั่นมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบ ไม่มีทางถึงแก่ชีวิตของเขา อย่างมากก็ทำให้เขาทนทุกข์ทรมานสักหน่อย

ทว่าค่ายกลในตอนนี้กลับแฝงด้วยจิตสังหารอย่างแท้จริง! ลำแสงกระบี่แต่ละสายเปรียบเสมือนอสนีบาตที่แยกยอดเขาออกจากกันได้ พุ่งลงไปตรงหน้าของหลงโม่เหยียน

หากบอกว่าหลงโม่เหยียนหลุดพ้นค่ายกลเมื่อสักครู่ไปได้ด้วยความเพียรพยายาม เช่นนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ด้วยความเพียรพยายามแล้ว…

หลงโม่เหยียนตกตะลึงพรึงเพริด!

————————————————————-