ตอนที่ 102 ท่านลุงประหลาด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฟังไม่ผิดแล้ว เนื่องเพราะไทเฮาทรงประสงค์จะรักษาความงดงามไว้เพื่อล่อลวงฮ่องเต้ ถึงได้กระทำเรื่องน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนั้นขึ้นมา 

 

 

ไม่เช่นนั้น นางที่ก่อนหน้านี้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว แถมยังเป็นที่รังเกียจของฝ่าบาท ทำไมถึงได้สามารถกลับออกมาโดยไม่บุบสลายได้?  

 

 

ต่อให้นางถูกเต๋อเฟยใส่ร้ายจริง การที่นางสามารถพลิกคดีนี้ได้ด้วยตนเองก็ถือว่ามิใช่เรื่องธรรมดา 

 

 

อย่าได้ลืมไปเชียวว่า อดีตฮ่องเต้ทรงถูกความงามของนางล่อลวงจนหายพระทัยไม่ทันสิ้นพระชนม์ไป!  

 

 

นี่มันชัดเจนเลยว่าสตรีผู้นี้คือนางมาร!  

 

 

เล่าลือกันว่า พักก่อนนางมารผู้นี้ยังได้ไปค้างคืนอยู่ในพระตำหนักตี้หัวของฝ่าบาทอยู่หลายวัน หึๆๆ เรื่องที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเช่นนี้ สตรีที่แม้แต่ ‘ลูกชาย’ ของตนเองยังคิดจะยั่วยวนอีก มีหรือจะเป็นคนดีไปได้?  

 

 

แคว้นต้าโจวกลับมีไทเฮาเช่นนี้ ชาติบ้านเมืองไหนเลยจะนับว่าโชคดีได้อีก!  

 

 

ไม่รู้ว่าหากอดีตฮ่องเต้ในปรโลกทรงรับรู้ได้ละก็ จะทรงมีโทสะจนลุกขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่!  

 

 

 

 

 

 

 

 

…………………………… 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมืองหลวง ถนนทิศเหนือ เซียวเซียงโหล 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ชื่อว่าเป็นหอเริงรมณ์ที่ใหญ่ที่สุดในในเมืองหลวง ที่นี่ย่อมเป็นสถานที่ที่รวบรวมหญิงงามเอาไว้มากมาย ลูกค้าก็มาจากทั่วทุกสารทิศ แน่นอนว่าแม้แต่พวกที่เชื่อถือผีสางก็มีอยู่ด้วย 

 

 

วันนี้ตู๋กูซิงหลันก็ปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ นางเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษ นั่งอยู่ในห้องแขกพิเศษของเซียวเซียงโหล ข้างกายมีสาวน้อยที่เผ็ดร้อนหลายคนอยู่เป็นเพื่อน 

 

 

นางถือพัดเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ มือซ้ายพัดโบกมือขวาโอบกอด ไหนเลยจะไม่มีความสุขได้อีก 

 

 

“คุณชายน้อย ชิมองุ่นสิเจ้าคะ อ้าม~” สาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนข้างซ้ายส่งองุ่นที่พึ่งปอกเปลือกออกเดี๋ยวนี้ถึงตรงหน้านาง 

 

 

“อร่อย อร่อยมาก! ” ตู๋กูซิงหลันกลืนลงไปในคำเดียว ทั้งยังไม่ลืมจับมือของคนงามนั้นมาลูบไล้อย่างนุ่มนวลรอบหนึ่ง 

 

 

“คุณชายเจ้าคะ เชิญมาดื่ม อื้ม~” คนงามด้านขวายกจอกบางใสขึ้นจรด ทรวงอกที่อวบอิ่มคู่นั้นบดเบียดแนบชิดกับท่อนแขนของนาง เพิ่มพูนความสนิทสนม 

 

 

“รสดี รสดีมากๆ! ” ตู๋กูซิงหลันปล่อยตัวตามสบาย ยิ้มแย้มดุจดอกไม้บาน 

 

 

อ้า นี่ช่างเป็นแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์เสียจริงๆ! ดูสาวน้อยแต่ละคนในที่นี้สิ มีน้ำจิตน้ำใจยิ่งกว่าบรรดาลูกสะใภ้ในวังหลังมากนัก 

 

 

ครั้งก่อนที่ออกมานอกวัง นางก็สังเกตเห็นหอเซียวเซียงโหลแห่งนี้แล้ว ใจมันระริกๆ อยากจะมาให้ได้ 

 

 

เมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ หออันดับหนึ่งก็คือหออันดับหนึ่ง แม้แต่สาวงามในที่นี้ยังไม่ด้อยไปกว่าพระสนมในวังหลังเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ท่าทีคล้ายกับเหล่าลูกหลานของผู้ดีมีเงินที่หลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง กำลังเมามายประดุจอยู่ในความฝัน 

 

 

สาวน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังบีบนวดทุบหลังให้กับนาง ช่างสุขสบายประหนึ่งเป็นฮ่องเต้ 

 

 

บุรุษประเภทต่างๆ พวกนางล้วนได้พบหน้ามาไม่น้อย แต่ว่าผู้ที่มีเสน่ห์ น่ารัก แบบคุณชายน้อยท่านนี้ นี่กลับเป็นครั้งแรก!  

 

 

ครั้งนี้จะได้เงินมากหรือน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว เรื่องสำคัญคือสามารถได้ใกล้ชิดกับคุณชายน้อยที่รูปงามดุจเทพเซียนท่านนี้ต่างหาก 

 

 

ไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้ ผู้ใดจะได้ผ่านราตรีไปกับคุณชายน้อยกัน 

 

 

จะทำอย่างไรดี ต่างคนก็ต่างคิดอยากจะมอบตัวมอบใจให้คุณชายน้อยเสียเดี๋ยวนี้!  

 

 

วิญญาณตายโหงที่อยู่กับตู๋กูเหลียนก็สวมชุดบุรุษนั่งอยู่ตรงหน้าของตู๋กูซิงหลันด้วย สีหน้าของนางเองก็ตื่นเต้นกับสถานการณ์ตอนนี้อยู่ไม่น้อย 

 

 

ในชาติก่อนนางมีโอกาสได้รับใช้เหล่าท่านอ๋องอยู่หลายท่าน แต่ว่าไม่มีบุรุษคนใดจะทำตัวเจ้าชู้กรุ่มกริ่มได้เท่ากับท่านเซียน!  

 

 

คนเช่นนี้ทำไมถึงได้สามารถฝึกฝนจนสำเร็จวิชาเซียนได้กันนะ?  

 

 

ยามนี้นางนึกเสียใจนัก 

 

 

หากรู้แต่แรกว่าท่านเซียนเจ้าชู้ขนาดนี้ นางน่าจะใช้แผนสาวงามไปตั้งแต่แรก!  

 

 

เพราะจะอย่างไรในชาติก่อนนางก็เป็นสาวงามในหมู่นางกำนัลผู้หนึ่ง หากว่าท่านเซียนเจ้าชู้ได้ถึงขนาดนี้ละก็ เพียงเปิดเผยเรียวขาก็คงสามารถล่อลวงนางให้หลงใหลไปได้เจ็ดแปดรอบแล้วมั้ง?  

 

 

จุ๊ๆๆ ช่างน่าเสียงดายแทนสองขาที่เรียวยาวจริงๆ  

 

 

เบื้องหน้ามองเห็นตู๋กูซิงหลันโอบกอดสาวน้อยทั้งหลายอย่างไม่สำรวมถึงเพียงนี้แล้ว นางก็ได้แต่ห่อปาก กล่าวเสียงเบาว่า “คุณชาย พวกเราออกมาหาของขวัญวันเกิดให้คุณหนูน้อยกัน ท่านอย่าได้ลืมเรื่องสำคัญไป” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันดื่มเหล้าไปใบหน้าก็มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา ใช้พัดในมือโบกเบาๆ ตามสบาย “ไม่รีบๆ ข้าจะต้องหาแรงบันดาลใจก่อน คิดใคร่ครวญให้ดี ว่าสมควรส่งมอบสิ่งใดให้เด็กน้อยนั่น” 

 

 

นางเอาแหวนหยกนิ้วโป้งของจีเฉวียนไปขายแล้ว รอบนี้ก็ได้เงินมาไม่น้อย! แถมนานๆ ทีจะได้หลบออกจากวังมา จะต้องสนุกสนานให้มากหน่อย 

 

 

อีกสองวันข้างหน้าจะเป็นพิธีแต่งตั้งท่านหญิงน้อยแล้ว นางที่มีฐานะเป็น ‘ท่านย่า’ ของท่านหญิงน้อย ย่อมสมควรจะมีของขวัญใหญ่ให้สักชิ้น 

 

 

การให้ของขวัญนั้นย่อมต้องตระเตรียมให้ดี ไม่อาจเรียบง่ายเกินไปได้ แต่ว่าเหล่าของขวัญที่บรรดาลูกสะใภ้ทั้งหลายเคยส่งมานั้น กลับถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขสั่งให้เก็บเข้าท้องพระคลังหลวงไปเสียแล้ว ตัวนางในตอนนี้มีแต่เงินที่ได้จากการขายแหวนหยกนั่นเท่านั้น 

 

 

คงไม่อาจมอบทองก้อนหนึ่งให้ท่านหญิงได้หรอกมั้ง 

 

 

วิญญาณตายโหง “แต่ว่าเรื่องที่สำคัญกว่าก็คือ…..” 

 

 

เฮ่อ! นางไม่สมควรจะรีบร้อนเป็นห่วงผู้อื่นเลย!  

 

 

พอได้ยินว่าในเมืองหลวงกำลังเล่าลือข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวตู๋กูซิงหลัน นางไม่สมควรที่จะรีบร้อนมาบอกข่าวท่านเซียนในทันทีหรอกหรือ?  

 

 

ออกมาหาของขวัญให้ท่านหญิงน้อยก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือจะต้องสืบคดีเรื่องเด็กน้อยที่หายตัวไป เพื่อคืนความบริสุทธ์ให้ท่านเซียน 

 

 

แต่ว่าท่านเซียนกับดีนัก ทั้งที่นางถูกใส่ร้ายให้แบกหม้อก้นดำกลับไร้แรงกดดันแม้แต่น้อย 

 

 

ก็ไม่รู้ว่าฆาตกรชั่วร้ายที่ลงมือคือผู้ใดที่ไหนกันแน่ แม้แต่เด็กน้อยยังไม่ยอมปล่อย จิตใจที่โหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้แม้แต่ตัวนางที่เป็นวิญญาณพยาบาทยังไม่เ**้ยมเท่า 

 

 

มันชัดเจนเลยว่าเรื่องเช่นนี้อาจมิใช่ผลงานของมนุษย์ผู้หนึ่ง 

 

 

พวกขุนนางท้องที่ทั้งหลายแน่นอนว่าสืบสวนไม่ได้ความอันใดแม้แต่น้อย 

 

 

ลองฟังดูสิ ในยามนี้ทั่วทั้งหอเซียวเซียงโหล กำลังถกเถียงเรื่องเด็กน้อยที่หายตัวไปและถูกทำร้าย ส่วนไทเฮาทรงถูกปีศาจเข้าสิงจนกลายเป็นนางมาร แต่ว่าตัวจริงกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ  

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูวิญญาณตายโหงที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น แต่สายตายังคงมีแววจริงจังไม่คลาย 

 

 

“เสี่ยวเหลียง ” (凉,เหลียง = เย็น, ชืด) คุณชายเช่นข้ามาด้วยตนเองแล้ว เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป จงเชื่อมั่นในตัวข้าไว้เป็นพอ ” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง 

 

 

 

 

 

วิญญาณตายโหง “……..” เสี่ยวเหลียง ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ ขอข้าเปลี่ยนได้ไหมงะ?  

 

 

คืนนี้เป็นข้างขึ้นหนึ่งค่ำ แต่กลับไร้ซึ่งแสงจันทร์ แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ดูไปมืดมิด แม้แต่แสงดาวบนฟากฟ้ายังถูกหมู่เมฆบดบังไว้ 

 

 

หิมะตกหนักแล้ว ลมก็โหมแรง พาเอาหิมะทั้งหลายปลิดปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า 

 

 

บนถนนที่ประดับประดาอย่างงดงามเช่นถนนทิศเหนือนี้มีผู้คนสัญจรมากนัก เพียงครู่เดียวก็ลดลงจนแทบจะไม่เห็นใคร 

 

 

ทันใดนั้น บนถนนใหญ่ก็มีรถม้าของราชวงค์คันหนึ่งแล่นเข้าสู่สายตา 

 

 

ภายในรถม้า องค์หญิงใหญ่ประทับนั่งอยู่ภายใน บุตรสาวของนางซุ่นเอ๋อร์แง้มผ้าม่านแอบลอดศีรษะออกดูด้านหลัง 

 

 

“ท่านแม่ ท่านลุงประหลาดที่ถือดาบเล่มใหญ่ผู้นั้น ทำไมถึงยังติดตามพวกเรามาอีกเล่าเจ้าคะ? “ 

 

 

ซุ่นเอ๋อร์กลับเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมอกองค์หญิงใหญ่ กระตุกชายเสื้อของนาง “เขาเป็นคนร้ายหรือเปล่า? ซุ่นเอ๋อร์กลัวเขาอยู่บ้าง” 

 

 

องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้ว ก็กอดซุ่นเอ๋อร์แน่นเข้า สั่งให้สารถีหยุดรถม้าลง 

 

 

เพียงครู่เดียวบุรุษร่างใหญ่ที่ถือดาบไว้ก็ไล่ตามมาทัน รักษาระยะห่างจากรถม้าเอาไว้ช่วงหนึ่ง 

 

 

องค์หญิงใหญ่แง้มผ้าม่านออก ทอดพระเนตรดูบุรุษที่มีหิมะปลิวใส่ทั่วทั้งร่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “ท่านแม่ทัพผู้พิชิต เจ้าติดตามพวกเรามาตลอดทาง ทำให้ธิดาของเราหวาดกลัวแล้ว” 

 

 

ตู๋กูจุนขี่ม้าขาว มองดูนางที่ทำท่าเย็นชาทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความรังเกียจบางส่วน ก็ไม่ได้ถอยม้าออกไป เขากระชับดาบไว้กล่าวว่า “ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนัก ข้าแม่ทัพไม่อาจวางใจในความปลอดภัยของพวกเจ้าแม่ลูก ในเมื่อออกจากวังมาพร้อมๆ กัน ย่อมสมควรจะไปส่งสักรอบหนึ่ง” 

 

 

“ใช่สิ ไม่ค่อยสงบ ท่านแม่ทัพไม่รู้หรือว่าความไม่สงบนี้มีที่มาจากที่ใด? ” สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ราบเรียบ “เจ้ามาคอยติดตามเราเช่นนี้ ไม่สู้ไปสืบหาดูให้ดีว่า ผู้ร้ายที่คร่าชีวิตนั้นเป็นน้องสาวของเจ้าหรือไม่”