ตอนที่ 103 ท่านเซียนช่างไร้น้ำใจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูจุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า ร่างกายที่สูงใหญ่ขวางอยู่ด้านหน้ารถ ดาบเล่มใหญ่สะบัดออกมาเบื้องหน้าชนิดที่ทำให้ม้าลากรถเกิดความตระหนกขึ้นมาทันที 

 

 

มือข้างหนึ่งของเขารั้งสายบังเ**ยนไว้ ดวงตาที่คมกริบคู่นั้นจดจ้องผู้คนที่อยู่ในรถม้า “ข้าแม่ทัพรู้ว่า องค์หญิงยังทรงเกลียดชังข้าแม่ทัพเพราะเรื่องนั้น เรื่องที่ข้าได้กระทำผิด ข้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว องค์หญิงทรงชิงชังรังเกียจกระหม่อมได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นจะต้องพูดไปถึงน้องเล็กของกระหม่อมหรอก” 

 

 

“น้องเล็กเป็นคนเช่นไร กระหม่อมรู้ชัดกว่าผู้ใด นางมีเมตตาไร้เดียงสา ไหนเลยจะกระทำเรื่องควักหัวใจดูดเลือดได้ เรื่องนี้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้กรมอาญาลงมือสืบสวน ขอพระองค์อย่าได้ทรงคาดเดาวุ่นวายว่าเป็นผู้นั้นผู้นี้” 

 

 

พอได้ฟังเช่นนี้องค์หญิงใหญ่ก็ทรงแย้มสรวลออกมา นางประทับอยู่ในรถม้า แย้มผ้าม่านออกมามองดูตู๋กูจุน “เราเพียงกล่าวถึงนางเพียงไม่กี่ประโยค เจ้าก็ทนไม่ได้เสียแล้ว หากว่าน้องสาวสุดที่รักของเจ้าสิ้นชีวิตไปต่อหน้า ท่านแม่ทัพคงจะสู้เอาชีวิตกับเราเลยใช่หรือไม่? “ 

 

 

ดวงตาของตู๋กูจุนปรากฎแววตาเหน็บหนาวขึ้นมาชั่วแวบ “พระองค์ทรงทราบชัดเจนดีว่าน้องเล็กคือดวงใจของกระหม่อม แล้วใยจะต้องทิ่มแทงกระหม่อมเช่นนี้? “ 

 

 

“ดวงใจรึ ฮ่าๆๆ ….” องค์หญิงใหญ่เปล่งเสียหัวเราะออกมา “ความรักความผูกพันในโลกนี้ มีแต่พวกเจ้าคนตระกูลตู๋กูที่มีเลือดเนื้อมีหัวจิตหัวใจ รู้จักความเจ็บปวด ผู้อื่นล้วนเป็นซากศพเดินได้ที่ไร้ความรู้สึกใช่ไหม? “ 

 

 

“ดวงใจของเจ้าผู้อื่นไม่อาจด่าว่าได้แม้สักครึ่งคำ เช่นนั้นดวงใจของเราล่ะ? เขานอนอยู่ในปรโลกอย่างเดียวดาย ทุกปีในเทศกาลชิงหมิง พวกเจ้าตระกูลตู๋กูเคยไปกราบไหว้ที่สุสานหรือไม่ เคยไปจุดธูปสักดอกหรือ? “ 

 

 

ตู๋กูจุนอ้าปากค้าง คำพูดทั้งหลายได้แต่กลืนลงท้องไป 

 

 

องค์หญิงใหญ่ปิดพระเนตรลง ริมฝีปากบิดโค้ง ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้ทรงระงับพระอารมณ์ให้สงบลงได้ “ต่อไปท่านแม่ทัพจงอย่าได้ปรากฎตัวต่อหน้าเราให้มากเป็นดี คราใดที่เราเห็นเจ้าเป็นต้องฉุกคิดถึงความเจ็บปวดนั้นขึ้นมาอีก จนอดไม่ได้ที่จะพลอยชิงชังคนในครอบครัวเจ้าไปด้วย หากพอพูดคุยกก็ยิ่งไม่มีอะไรน่าฟัง” 

 

 

หิมะโปรยปรายอย่างหนัก ทยอยตกลงบนเสื้อเกราะที่เย็นเฉียบของตู๋กูจุน ทั้งบนศีรษะและไหล่บ่าของเขาล้วนมีหิมะบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง ท่านแม่ทัพผู้พิชิตที่มีโทสะรุนแรงเสมอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่ร่วงหล่น ดวงตาของเขาปรากฎอารมณ์ซับซ้อนที่ยากจะเสาะหาได้ 

 

 

ผ่านไปอีกเนิ่นนาน เขาถึงได้กระชับหมัดคำนับองค์หญิงใหญ่ “เรื่องที่ข้าแม่ทัพเคยติดค้างพระองค์ หนี้นี้จะจะต้องใช้คืนแน่นอน” 

 

 

องค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงทอดพระเนตรมองเขาแม้แต่น้อย นางปล่อยม่านลงก็หันไปสั่งสารถี “กลับจวนได้” 

 

 

“ท่านแม่ทัพ โปรดคืนบังเ**ยนม้า……” คนขับรถยื่นมือออกไป กล่าวอย่างกระอึกกระอัก 

 

 

สายตาของตู๋กูจุนทอประกายลึกล้ำ ในที่สุดก็คืนบังเ**ยนม้าให้คนขับไป ยกดาบใหญ่ขึ้นเปิดทาง 

 

 

เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ข้างกายมีเพียงม้าขาวตัวหนึ่ง หิมะยามดึกสร้างความหนาวเย็นแก่ผู้คน สายลมพัดโหมจนเส้นผมของเขาปลิวพันกันอย่างยุ่งเหยิง แต่พวกเขาหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเฝ้ามองรถม้าขององค์หญิงใหญ่ค่อยๆ ลับตาไป 

 

 

ภายในรถม้า ซุ่นเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของจีฉุน เมื่อเงยหน้ามองดูมารดาก็เห็นว่าสองเนตรมีน้ำตาคลอ “ท่านแม่อย่าได้ร้องไห้ ซุ่นเอ๋อร์จะอยู่กับท่านเสมอ” 

 

 

(纯 ฉุน, บริสุทธฺ์ , ปราศจากสิ่งเจือปน) 

 

 

จีฉุนกระพริบตาไล่น้ำตากลับไป ยื่นมือออกไปคว้าตัวซุ่นเอ๋อร์เข้ามากอดไว้ ลูบไล้แผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา “ซุ่นเอ๋อร์ของพวกเราช่างรู้จักเชื่อฟังนัก” 

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยกอดคอของนางไว้ ใช้ใบหน้ารูปไข่ที่อุ่นๆ ของตนเองแนบไปกับแก้มของนาง “ท่านแม่เกลียดชังท่านลุงประหลาดผู้นั้นมากหรือเจ้าคะ? “ 

 

 

จีฉุนเคร่งขรึมลง พลางลูบไล้ศีรษะเด็กน้อย “ก็แค่คนที่ไม่ถูกชะตากันเท่านั้น แม่ไม่มีแรงจะไปโกรธเกลียดเขาหรอก” 

 

 

“แต่เขาบอกว่าติดค้างท่านแม่ คนที่ไม่ถูกชะตากันจะติดค้างกันได้ด้วยหรือเจ้าคะ? “ 

 

 

จีฉุนถูกนางถามเสียจนอ้ำอึ้งไป เนิ่นนานครู่ใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี 

 

 

“ซุ่นเอ๋อร์ดูออกนะเจ้าคะ ท่านแม่ไม่ชอบท่านลุงผู้นั้น อีกหน่อยหากว่าเขายังกล้ามาหาท่านแม่ ซุ่นเอ๋อร์จะเอาไม้กวาดไล่เขาไปไกลๆ ไม่ให้เขามาทำให้ท่านแม่เสียใจได้อีก” 

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยกอดคอนางอย่างปลอบประโลม 

 

 

คราวนี้ หัวใจของจีฉุนเปี่ยมไปด้วยความปวดร้าวและสับสน นางได้แต่กอดบุตรสาวตัวน้อยที่รู้จักเข้าอกเข้าใจผู้คนเอาไว้อย่างแนบแน่น ตอนนี้นางก็เหลือแต่ซุ่นเอ๋อร์แล้วเท่านั้น นางขอสาบาน จะต้องอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เติบโตอย่างดี ไม่ว่าผู้ใดในโลกนี้ก็ไม่อาจมาทำร้ายบุตรสาวของนางได้แม้สักน้อยนิด 

 

 

สำหรับกับคนผู้นั้น ของเพียงเขามิได้เป็นฝ่ายบุกรุกเข้าประตูมาก็พอ ตัวนางไร้กำลังจะวุ่นวายให้มากความแล้ว 

 

 

…………………………………………. 

 

 

จวนตระกูลตู๋กู ห้องของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกตู๋กูจุนไล่ตามมากำชับให้อาบน้ำอุ่น เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดสะอ้าน สองพี่น้องถึงได้เริ่มพูดคุยกัน 

 

 

ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าที่องอาจของพี่ชายเปี่ยมไปด้วยความในใจ มองดูตู๋กูซิงหลันอย่างร้อนรนกระวนกระวาย 

 

 

“พี่ใหญ่ ที่ผ่านมาท่านเป็นคนชัดเจนเปิดเผยผู้หนึ่ง หิมะตกท่วมฟ้ากลับเลือกที่จะคุ้มครองส่งองค์หญิงใหญ่แม่ลูกด้วยตนเอง นี่มันชัดเจนว่าท่านมีใจต่อผู้อื่น” 

 

 

เมื่อคิดย้อนไปถึงภาพพี่ใหญ่ที่ยืนนิ่งเป็นแท่งน้ำแข็งอยู่ท่ามกลางกองหิมะ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่แท้พี่ชายบ้านเราจะชอบแม่ม่ายสาวมีประสบการณ์ 

 

 

องค์หญิงใหญ่ปีนี้ยี่สิบหกชันษา มากกว่าพี่ใหญ่อยู่สามปี สูญเสียสามีไปตั้งแต่อายุยังน้อย เลี้ยงดูบุตรสาวจนเติบโตมาอย่างเพียงลำพัง เดิมทีนางเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นอ่อนโยนผู้หนึ่ง แต่นับตั้งแต่ราชบุตรเขยจากไป อุปนิสัยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา 

 

 

ความตั้งใจทั้งหมดล้วนทุ่มเทไปให้กับบุตรสาว ยามปกติก็ไม่ค่อยจะพบปะกับผู้ใด 

 

 

นี่มันช่างยากจะเชื่อ พี่ใหญ่ไปประทับใจองค์หญิงใหญ่ตอนไหน 

 

 

“องค์หญิงใหญ่สิริโฉมงดงาม เพียงแต่อุปนิสัยออกจะเย็นชาไปอยู่บ้าง ท่านที่ขี่ม้าควงดาบเล่มโต หากคิดจะไล่ตามนางละก็ คงจะค่อนข้างลำบากอยู่บ้าง ” ตู๋กูซิงหลันประเมิณพี่ชายที่หนวดเครายาวเฟื้อยอย่างสนุกสนาน 

 

 

ในโลกมิตินี้ บุรุษเช่นพี่ใหญ่หากยังไม่แต่งงามมีบุตรภรรยา ก็ถือว่าเกินวัยเข้าเกณท์ไปแล้ว นางที่เป็นเสมือนกับมารดาของบุตรชายวัยยี่สิบสามปี ย่อมต้องกังวลห่วงใยในตัวพี่ชาย 

 

 

” ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยเห็นซุ่นเอ๋อร์ที่น่ารักไร้เดียงสามาแล้ว หากว่าท่านสามารถสู่ขอองค์หญิงใหญ่มาได้ ก็เท่ากับว่าตนเองได้บุตรสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมาคนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นเรื่องดี” 

 

 

นางเป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน ความคิดย่อมเปิดกว้าง ย่อมไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะเคยแต่งกับผู้อื่นและมีลูกมาก่อน 

 

 

หากว่าพี่ใหญ่ชอบองค์หญิงใหญ่จริงๆ และสามารถสู่ขอนางได้สำเร็จ เช่นนั้นนางก็พอใจและมีความสุขแล้ว 

 

 

ตู๋กูจุนมองดูน้องเล็กที่กระดี๊กระด๊ากระโดดไปมา ก็อดที่ลูบศีรษะนางและยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าอยู่ในวังนานไปแล้ว ดูทำตัวอย่างกับป้าแก่ๆ คนหนึ่ง”