ตอนที่ 104 เจ้า.........เป็น.?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ครู่หนึ่งเขาก็ตอบกลับว่า “ข้าไหนเลยจะมีความคิดไกลเกินอาจเอื้อมต่อองค์หญิงใหญ่ได้ ก็แค่คนที่เคยรู้จักกัน เพียงคิดจะดูแลพวกนางสองแม่ลูกบ้างเท่านั้นเอง” 

 

 

 

 

 

“แค่คนที่เคยรู้จักกันหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันจับคางตนเอง จดจ้องมองดูตู๋กูจุนที่คล้ายกับมีพิรุธอยู่บ้าง 

 

 

เขายื่นนิ้วชี้ออกมาเคาะหน้าผากนางเบาๆ “พี่ใหญ่ก็แค่คนโง่เขลาหยาบกระด้าง ไม่รู้จักความสัมพันธ์ฉันชายหญิง ยิ่งไม่มีใจคิดจะปลูกเรือนแต่งภรรยา เจ้าก็อย่าได้วุ่นวายใจเพราะเรื่องพวกนี้อีก หากไม่มีเรื่องใดก็อยู่ห่างจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่นให้มากหน่อย พี่ใหญ่กลัวจริงๆ ว่าเขาจะเกิดความคิดที่ไม่สมควรขึ้นมา” 

 

 

“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นบังคับให้เจ้าค้างคืนอยู่ในตำหนักตี้หัวถึงสามคืน เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม? ” พูดแล้วตู๋กูจุนก็ทำท่าเหมือนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะหลายวันนั้นเขามิได้อยู่ในเมืองหลวงละก็ เขาคงจะต้องควงดาบใหญ่เข้าไปฟันเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นแล้ว 

 

 

“ไม่มีเรื่องใดๆ ” ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “เขาที่เป็นชายเหนือชายจะทำอะไรกับข้า……” 

 

 

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ข้าเคยเห็นสายตาของเขาที่มองดูเจ้า แทบจะอยากจับเจ้ากลืนลงไป” ตู๋กูจุนตอบ “ชายเหนือชายที่ไหนกัน เป็นเรื่องที่คนเขาเล่าลือไปเองต่างหาก” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันงงงัน อีกทั้งไม่ได้อยากจะถกปัญหาสืบสานไปจนถึงที่สุดกับพี่ชายเสียหน่อย นางล้วงเอาขวดยาใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าในตัวเสื้อส่งให้เขา “พี่ใหญ่เจ้าคะ จะอย่างไรท่านก็ถือเป็นยอดบุรุษงามสง่าของเมืองหลวงต้าโจว ยามปกติก็อย่าได้ปล่อยตัวเกินไปนัก ของสิ่งนี้ข้าได้ให้ท่านหมอหลวงซุนปรุงขึ้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ ท่านต้องจดจำไว้ว่าจะต้องทาให้ตรงเวลาทุกวัน” 

 

 

“นี่คืออะไร? ” ตู๋กูจุนเปิดขวดออกดู เพียงได้กินหอมของยาสมุนไพรและดอกไม้ ตัวยานั่นเป็นอะไรดำๆ ข้นๆ 

 

 

“ยาบำรุงผิว” ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งกินแตงหวานทางหนึ่งตอบคำ “ใบหน้าของท่านยามนี้กระด้างดั่งกระดาษทราย ย่อมสมควรจะต้องบำรุงเสียบ้าง” 

 

 

หากใช้ถ้อยคำของโลกปัจจุบัน เจ้าสิ่งนี้ก็คือโคลนพอกหน้า ผิวพรรณของพี่ชายนั้นหากไม่ได้บำรุงด้วยวิธีการต่างๆ เสียบ้าง ผิวหน้านั้นคงจะกู่ไม่กลับแล้ว 

 

 

คนที่สุดแสนจะเจ้าชู้และรักชอบสิ่งสวยงามเช่นนาง ไหนเลยจะทนเห็นยอดบุรุษเช่นพี่ชายต้องกลายเป็นตาแก่ไปได้? 

 

 

“มีแต่เหล่าพระสนมถึงได้ใช้ของแบบนี้ นายท่านเช่นข้าจะใช้ไปทำไม? ” ตู๋กูจุนทางหนึ่งรังเกียจทางหนึ่งก็รับมาเก็บเอาไว้ในอ้อมอก 

 

 

จะไปสนใจไยว่าพระสนมใดใช้หรือไม่ ขอเพียงเป็นสิ่งที่น้องเล็กมอบให้ ต่อให้มันเป็นกระโปรงลายดอก หากว่าสามารถทำให้นางอารมณ์ดีได้ เขาก็พร้อมจะสวมมัน 

 

 

อย่าว่าแต่เป็นยาบำรุงผิวเช่นนี้เลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาที่เก็บเอาไว้อย่างทะนุถนอม ในใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เดิมทีนางยังคิดจะไต่ถามที่มาที่ไปเรื่ององค์หญิงใหญ่ แต่เมื่อเห็นเขาไม่เต็มใจพูด ก็ไม่คิดจะถามอีก 

 

 

ทั้งสองจากกันไม่กี่วัน แต่กลับมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ให้นางไม่ต้องไปกังวลข่าวลือไร้สาระพวกนั้น ต่อให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นขอเพียงมีพี่ใหญ่อยู่ แม้ฟ้าถล่มลงมาก็อย่าได้หวังว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อยนิด 

 

 

กว่าจะพูดคุยกันจบก็ดึกดื่นมากแล้ว 

 

 

เมื่อตู๋กูจุนเดินจากไป หิมะภายนอกก็ยิ่งตกหนักมากขึ้น ต้นไม้น้อยในสวนกลายเป็นสีเงินขาวประดับประดาไปทั่วทั้งบริเวณ 

 

 

………………………….. 

 

 

หิมะตกอยู่ทั้งวันทั้งคืน 

 

 

คืนวันถัดมา ในจวนขององค์หญิงใหญ่ พรมสีแดงที่ถูกปูไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน กลับถูกหิมะสีขาวกลบทับจนมิด 

 

 

พอตกค่ำเสียงผู้คนก็เบาลง มีเสียงขลุ่ยเบาๆ ดังออกมา แต่เสียงนั้นทั่วทั้งจวนขององค์หญิงใหญ่กลับไม่มีผู้ใดได้ยินเลย 

 

 

เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเอียดอาดเปิดประตูห้องของท่านหญิงน้อย 

 

 

ซุ่นเอ๋อร์สวมชุดเบาบาง ฝ่าเท้าที่ขาวนวลของเด็กน้อยไม่ได้สวมรองเท้าเสียด้วยซ้ำ นางลืมตาอยู่ ดวงตาที่ใสกระจ่าง เป็นประกายราวกับองุ่นดำ ยามนี้กลับคล้ายมีเส้นสีดำบางๆ ปรากฎขึ้น 

 

 

นางเดินเหยียบย่ำลงไปบนหิมะที่หนานุ่ม ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำด้วยความเหน็บหนาว ร่างเล็กๆ ขยับไปข้างหน้าราวกับศพที่เคลื่อนที่ได้ ติดตามเสียงขลุ่ยนั้นออกไปทางด้านนอกจวนองค์หญิงใหญ่ 

 

 

แม่นมของท่านหญิงน้อยซุนหมัวหมัวที่ตื่นขึ้นมาถ่ายเบากลางดึกกำลังจะกลับไป ก็มองเห็นท่านหญิงน้อยของตนเองสวมชุดนอน เดินเท้าเปล่าออกไปที่ด้านนอก นางก็รีบตามไปหยุดไว้ 

 

 

แต่พอเดินถึงตัวท่านหญิง สตรีที่ใช้ผ้าดำปิดหน้าผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น พุ่งเข้ามาอุ้มตัวท่านหญิงน้อยเอาไว้ในทันที 

 

 

“เจ้าเป็นใครกัน? ” แม่นมทั้งตกใจทั้งโกรธ เดินก้าวเท้าติดตามไป วูบเดียวก็ฉกผ้าคลุมหน้าผืนนั้นออกมา 

 

 

ทันใดนั้นนางก็ตาโตด้วยความตื่นตะลึง “เจ้า…….เป็น?! “ 

 

 

สตรีชุดดำใบหน้าเปลี่ยนสี ก็รีบยื่นมือดุจคมมีดออกมาหานาง ซุนหมัวมัวก็สลบไปทั้งแบบนั้น 

 

 

……………………………….. 

 

 

จวนตระกูลตู๋กู หิมะตกหนักอย่างยิ่ง ประตูทุกบานต่างถูกบิดแน่น 

 

 

แสงเทียนในห้องของตู๋กูซิงหลันดับไปแล้ว ทันใดนั้น ควันลึกลับสายหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากทางหน้าต่าง นางยังคงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิทเป็นเส้นตรง 

 

 

บานหน้าต่างถูกแย้มเป็นช่องเล็กน้อย เงาดำของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ภายนอก ใช้ดวงตาที่เยือกเย็นมองดูนางผ่านช่องเล็กๆ นั้น มองอยู่เป็นเนิ่นนาน 

 

 

จนกระทั่งแน่ใจว่านางหลับสนิทแล้ว ริมฝีปากของคนผู้นั้นก็ค่อยๆ เผยอออก ปรากฎรอยยิ้มที่ร้ายกาจขึ้น 

 

 

มือข้างหนึ่งอุ้มท่านหญิงน้อยไว้ เมื่อมืออีกข้างยกขี้นก็ปรากฎไอสีดำออกมา ยามที่มือนั้นขยับเล็บที่แหลมยาวนั้นก็กำลังจะเจาะเข้าไปยังตำแหน่งหัวใจของท่านหญิงน้อย 

 

 

ทันทีที่มือนั้นเริ่มขยับ ภายในห้องพลันปรากฎเงาสีแดงขึ้น เงานั้นล้อมตัวนางไว้ทั้งยังเข้าควบคุบตัวนางทำให้นางไม่สามารถขยับตัวลงมือ 

 

 

สตรีชุดดำเห็นวิญญาณตายโหงสวมชุดแดงที่มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวกำลังเกาะอยู่บนร่างของนางก็บังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่มือของนางคลายออก ท่านหญิงน้อยในอ้อมแขนก็หล่นลงไปบนพื้น 

 

 

ทันใดนั้นก็เห็นว่า เงาสีน้ำเงินดำสายหนึ่งพลิกตัวออกมาจากในห้อง ตะปบมือออกอย่างรวดเร็วคว้าตัวท่านหญิงน้อยไปไว้ในอ้อมแขน 

 

 

เมื่อพบว่าเด็กหญิงน้อยในอ้อมอกตัวเย็นประดุจน้ำแข็ง หัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันก็ขมวดแนบแน่นขึ้นมา ดวงตาของนางทอประกาย จับจ้องอยู่บนร่างของสตรีชุดดำผู้นั้น ดวงตาดอกท้อกำลังก่อไอพิฆาตที่เข้มข้นขึ้นมา 

 

 

ยามที่สตรีชุดดำนั้นมองเห็นนางเข้า ก็อดที่จะตระหนกขึ้นไม่ได้ นางส่งเสียงแหลมขึ้นคราหนึ่ง ร่างกายขยับวูบไปด้านหลัง คิดจะฉีกกระฉากวิญญาณตายโหงชุดแดงที่เกาะกุมร่างตนเองไว้ออกไป เพียงแต่ว่ายิ่งนางดิ้นรนวุ่นวาย วิญญาณนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังที่ลึกลับและเยือกเย็นสายหนึ่งแทรกซึมเข้าไปอยู่ในร่างของนาง 

 

 

หลังจากที่ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ที่สุดนางก็ไม่อาจต่อต้านวิญญาณตายโหงชุดแดงนั้นได้ ถูกวิญญาณชุดแดงนั้นควบคุมทั่วทั้งร่าง ได้แต่ชะงักค้างอยู่ที่เดิม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเดินมาจนถึงเบื้องหน้านาง มือข้างหนึ่งอุ้มซุ่นเอ๋อร์ไว้ มืออีกข้างหนึ่งแกะหน้ากากมนุษย์แผ่นนั้นออกมา 

 

 

นางถือหน้ากากมนุษย์เอาไว้หมุนมันเล่นอยู่บนมือ “วิชาปลอมแปลงโฉมที่สูงส่งเช่นนี้ แม้แต่ข้าได้เห็นเข้ายังต้องตกตะลึง” 

 

 

ครู่หนึ่งนางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หางตายังคงจับจ้องหญิงผู้นั้นไม่ได้คลาย ประกายตายิ่งทียิ่งเข้มข้นขึ้นมา “เพื่อจะใส่ร้ายข้า พวกเจ้าถึงกับฆ่าเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ไปมากมาย ความผิดนี้ ไม่อาจให้อภัย” 

 

 

ทันทีที่พูดจบนางก็ไม่เปิดโอกาสให้หญิงผู้นั้นร่ำร้องอันใด สั่งให้วิญญาณทมิฬควบคุมสติความทรงจำของหญิงผู้นั้นไว้ในทันที 

 

 

จากนั้นจึงค่อยหันมามองวิญญาณผีตายโหงที่ควบคุมร่างของหญิงผู้นั้นไว้ “เจ้าสิงร่างนาง กลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายของนาง ข้าอยากจะดูสิว่า พวกนางจะเล่นละครใดออกมา! “ 

 

 

ว่าแล้วนางก็สะกิดปลายนิ้วตนเองจนเป็นแผล และวาดสัญลักษณ์อย่างหนึ่งขึ้นบนกลางหน้าผากของวิญญาณผีตายโหง อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตผนึกวิญญาณผีตายโหงนั้นเข้าไปในร่างของหญิงสาว