ในยามปกติหากว่าวิญญาณผีตายโหงเช่นนางคิดจะสิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์นั้น จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของร่างเสียก่อน
แต่ว่าวิธีการของตู๋กูซิงหลันนั้น กลับใช้พลังของหยกสรรพชีวิต เข้าสะกดข่มให้วิญญาณผีตายโหงผนึกอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นี้ แน่นอนว่า ช่วงเวลาที่จะสามารถยึดครองได้นี้ย่อมมีขีดจำกัด อย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
เมื่อวิญญาณตายโหงสิงร่างได้ หยิงสาวชุดดำนี้ยังพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่อีกพักใหญ่ ในที่สุดแววตาของนางถึงได้เปลี่ยนไป หันมาคำนับให้ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง “น้อบรับบัญชา ท่านเซียน”
ว่าแล้ว เงาร่างของนางก็เลือนหายไปในหิมะอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ตู๋กูซิงหลันถึงได้พาท่านหญิงน้อยกลับเข้ามาในห้อง เด็กน้อยตัวเย็นแข็งตลอดร่าง เพราะได้รับความเหน็บหนาวอย่างรุนแรง ฝ่ามือของนางดำคล้ำ คล้ายกับว่าได้รับพิษอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันสบัดเสื้อผ้าเปียกชื้นที่ฉาบด้วยหิมะของเด็กน้อยทิ้งไป ค่อยใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้นาง สุดท้ายค่อยห่อตัวไว้ในผ้าห่ม
เจ้าวิญญาณทมิฬถวนจื่อคุดคู้อยู่ข้างๆ ตัวเด็กน้อย มันมองซ้ายทีขวาทีไม่หยุด “เจ้าตัวยุ่งน้อยนี้ช่างโชคดีที่ได้พบเจ้า ไม่เช่นนั้นละก็ป่านนี้คงถูกควักหัวใจดูดเลือดจนร่างแห้งไปแล้ว หึๆๆ ….พวกนางก็ช่างใจดำอำมหิตนัก แม้แต่เด็กน้อยที่เจ็บป่วยตั้งแต่ยามอยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่ละเว้น “
ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเยือกเย็น ไม่ต้องให้วิญญาณทมิฬบ่งบอกนางเองก็สามารถดูออกว่า ร่างกายของท่านหญิงน้อยมีปัญหาใหญ่อยู่แล้ว
นางปิดหน้าต่างให้สนิท นั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของนางไว้ถ่ายทอดความอบอุ่นออกไป ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เด็กหญิงน้อยถึงได้ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
ในห้องมีเพียงแสงเทียนดวงหนึ่ง สว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ตลอดทั้งร่างของตู๋กูซิงหลันปรากฎแสงสว่างจางๆ ชั้นหนึ่ง นางสยายผมยาวลงมา แม้ว่าปราศจากการประทิมโฉมแต่งเติมใด แต่ใบหน้านั้นกลับงดงามสมบูรณ์แบบอย่างไม่อาจปลอมแปลงได้
เด็กหญิงตัวน้อยมองนาง บังเกิดความประหลาดใจจนตะลึงค้างไปแล้ว
ใบหน้านี้นางรู้จักนี่น่า……นี่ไม่ใช่ท่านย่าน้อยในวังหลวงหรอกหรือ?
เมื่อรู้สึกถึงไออุ่นในฝ่ามือที่ถ่ายทอดมาถึง นางถึงได้ส่งเสียงออกมาเบา ถามตู๋กูซิงหลันว่า ” ท่านย่าน้อย ซุ่นเอ๋อร์ทำไม…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? “
คำเรียกท่านย่าน้อยนี้ ถึงกับทำให้ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเช่นกัน ครู่ใหญ่ถึงได้ฉุดคิดได้ว่าตนเองเป็นไทเฮา ก็ย่อมเป็นมารดาในนามขององค์หญิงใหญ่ ธิดาขององค์หญิงใหญ่ก็ย่อมเป็นหลานสาวภายนอกของตนเอง
“อ๋อ เป็นเสียงขลุ่ย ซุ่นเอ๋อร์ได้ยินเสียงขลุ่ย ถึงได้เดินตามออกมา เดินไปเดินไปก็มาจนถึงที่นี่เลย” ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ถูกห่ออยู่ในผ้าห่ม พอหายมึนงงก็คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ มองดูนางอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง “ท่ายย่าน้อย ท่านเป็นปีศาจกินคนหรือเปล่า…..ท่านจะกินซุ่นเอ๋อร์หรือไม่เจ้าคะ? “
“เอ่อ……ซุ่นเอ๋อร์ไม่มีเนื้อ กินไม่อร่อย ท่านย่าน้อยอย่ากินข้าเลยนะเจ้าคะ….”
ช่วงนี้คำล่ำลือในเมืองหลวงนางเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ซุนหมัวหมัวก็กำชับกำชาอยู่ทุกวี่วันว่านางอย่าได้แอบออกไปไหน บอกอยู่ว่าในเมืองหลวงตอนนี้มีปีศาจกินหัวใจ ดื่มเลือดเด็ก
เหล่าข้ารับใช้ก็บอกว่าเรื่องปีศาจนี้เกี่ยวพันถึงไทเฮาด้วย ยิ่งได้ฟังนางก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้ตัวนางเองอยู่ดีๆ ก็วิ่งมาถึงที่นี่ ทั้งยังดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว เด็กน้อยย่อมรู้สึกหวาดกลัว
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาแล้ว นางคีบแก้มกลมๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ถามว่า “เจ้าว่าข้าเหมือนปีศาจไหมเล่า? “
เด็กหญิงมองดูนางอย่างละเอียด ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่ยอมเว้น ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้ส่ายศีรษะ “ไม่เหมือนเลย ท่านเหมือนพี่สาวเซียนหญิง ท่านไม่ใช่ปีศาจ ท่านช่วยซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ใช่ไหมเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันอดใจไม่ไหวต้องลูบศีรษะนางเบาๆ “เด็กหญิงตัวน้อยเช่นเจ้า ความสามารถในการร้องขอชีวิตนั้นยอดเยี่ยมนัก ความสามารถในการประจบประแจงหรือก็เกือบจะเทียบข้าได้ทีเดียวเชียว”
เด็กหญิงตัวน้อยหน้างำ “ท่านแม่บอกว่า ซุ่นเอ๋อร์จะต้องเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ ห้ามพูดโกหก แน่นอนว่าประจบไม่เป็นหรอก! “
“ท่านย่าน้อยงดงามดุจเซียนหญิง เพียงแต่อารมณ์ไม่ค่อยดี นิสัยก็ไม่ดี! “
ครึ่งประโยคแรกเป็นนางพบเห็นด้วยตนเอง ส่วนอีกครึ่งประโยคหลังคือได้ยินพวกพระสนมในวังพูดมา”
เด็กหญิงตัวน้อยลุกขึ้นนั่ง ไม่เพียงไม่กลัวนาง ทั้งยังจดจ้องใบหน้าของนางอย่างไม่วางตา ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้มองดูท่านย่าน้อยใกล้ๆ ถึงเพียงนี้ ตอนนี้สามารถมองดูใกล้ได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกว่างดงามมาก
“ท่าเช่นนั้นเจ้าต้องรู้จักเชื่อฟังให้ดี ไม่เช่นนั้นหากว่าท่านย่าน้อยเช่นข้าอารมณ์ไม่ดี นิสัยก็แย่แล้วเกิดโมโหขึ้นมา มีหวังทำให้เจ้าต้องตกกระใจแน่! “
ตู๋กูซิงหลันพูดแล้ว ก็อดจะบีบแก้มนางแรงๆ สองที จนเด็กหญิงตัวน้อยโกรธขึ้นมา ผลักผ้าห่มออกจ้องดูนาง
ทันใดนั้นก็ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันทันมีปฎิกิริยาใดๆ เด็กหญิงตัวน้อยก็ยื่นมือออกมาจับใบหน้าของนาง บีบลงไปแรงๆ บนใบหน้ารูปไข่นั้นสองที
“ท่านแม่บอกว่า ใครตีข้า ข้าก็ต้องตีกลับ! ท่านย่าน้อยหยิกข้า ข้าก็จะหยิกกลับบ้าง! “
“อ้ายโย่ว ข้าว่านะ เจ้าตัวเล็กนี้ อีกหน่อยจะต้องไม่ธรรมดาแน่! ” วิญญาณทมิฬกระโดดอยู่ข้างๆ มันอยู่มาตั้งนานแล้ว พึ่งจะเคยเห็นตู๋กูซิงหลันถูกผู้อื่นหยิกแก้มเอาได้”
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปชั่วครู่ก็หัวเราะออกมา ลูบไล้ศีรษะนางเบาๆ ชมว่า “ท่านแม่ของเจ้าสอนได้ดี ข้าจะถามเจ้า หากว่ามีคนทำร้ายเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? “
เด็กหญิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยตอบดังตะปูเหล็กกลับไปว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ร้ายกลับไป! “
…………………………………
เช้าวันถัดมา หิมะหยุดแล้ว ลมก็หยุดลงด้วย
พอท้องฟ้าสว่างไสว จวนขององค์หญิงใหญ่บนถนนทิศเหนือก็มีแขกผู้สูงศักดิ์กลุ่มหนึ่งมาเยือนแต่เช้า
เชื้อพระวงค์สูงส่ง ญาติสนิทและเหล่าขุนนางทั้งหลายที่ยืนอยู่แทบจะเต็มพื้นที่สวนของจวนองค์หญิงใหญ่ ทั้งยังมีชาวบ้านอีกไม่น้อยที่ฟ้ายังไม่ทันสางก็ตื่นมาเข้าแถวคอยดูพิธีในวันแต่งตั้งของท่านหญิงน้อย
นี่ย่อมต้องเข้าใจว่า องค์หญิงใหญ่ทรงเป็นราชธิดาองค์แรกในอดีตฮ่องเต้ พระมารดาแท้ๆ คือพระสนมหยุนกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ นับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ ทันทีที่ประสูติมาก็ได้รับเฉลิมพระยศเป็นฉางผิง พระราชทานศักดินาเป็นพื้นที่เป่ยเหลียงทั้งหมด
ด้วยความสูงส่งเช่นนี้ สุดที่องค์หญิงอื่นๆ จะเปรียบเทียบได้
หากไม่ใช่เพียงเพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนองค์หญิงใหญ่ทรงสูญเสียพระสวามี กลายเป็นเก็บตัวไม่ไต่ถามเรื่องราวภายนอก จวนองค์หญิงใหญ่ไหนเลยจะเงียบเหงาถึงเพียงนี้
แต่ว่ายามนี้ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เสด็จมาเป็นประธานในพิธีเฉลิมยศธิดาขององค์หญิงใหญ่ ก็เท่ากับเป็นการบอกกล่าวแก่ผู้คนภายนอกว่า พระราชวงค์ให้ความสำคัญต่อองค์หญิงใหญ่มาโดยตลอด ไม่อาจให้ผู้ใดมาหมิ่นหยามได้
ดังนั้นตั้งแต่เช้าจึงมีผู้คนมายืนออกันมากมาย ราวกับฝูงนกกระจอก
นับตั้งแต่แคว้นต้าโจวก่อตั้งขึ้นมา ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์นับเป็นท่านหญิงคนแรกที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง พวกเขาย่อมจะต้องอยากจะชื่นชมดูบรรยากาศ บ้านใดที่มีบุตรชายดีงามก็พากับชมดูว่าใช่จะมีโอกาสนับญาติเป็นทองแผ่นเดียวกันกับองค์หญิงใหญ่ได้หรือไม่
ดูเอาเถอะอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เสียนไท่เฟยในวังหลวงก็ยังเสด็จมาด้วย
อีกทั้งยังมี ท่านรองมหาเสนาบดีที่ครั้งก่อนกระอักเลือดนอนป่วยลุกไม่ขึ้นมาตลอด วันนี้ก็มาด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นการให้เกียรติองค์หญิงใหญ่ถึงเพียงไหน
เหล่าผู้คนต่างก็คอยืดคอยาว รอคอยองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงน้อย หลังจากที่รอคอยอยู่เนิ่นนานในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็เสด็จออกมา แต่กลับไม่เห็นเงาของท่านหญิงน้อยเลย
สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ไม่ดีอย่างยิ่ง หลังจากกวาดพระเนตรดูฝูงชนรอบหนึ่ง ก็ไม่ตรัสคำใด เสด็จนำผู้รับใช้ในบ้านมุ่งหน้าไปทางถนนทิศตะวันออกทันที
ผู้คนทั้งหลายต่างมีสีหน้าประหลาดใจ พากันเกิดความกังวลขึ้นมา จวนองค์หญิงเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้ว?
ท่านรองมหาเสนาฯ รั้งตัวข้ารับใช้เก่าแก่ขององค์หญิงเอาไว้ผู้หนึ่ง สอบถามว่า “องค์หญิงรีบร้อนเสด็จไปยังที่ใด? “
“ใต้เท้ารองมหาเสนาฯ ขอรับ ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ท่านหญิงน้อยหายไป! ” บ่าวเฒ่าตอบอย่างร้อนใจ “ซุนหมัวหมัวที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านหญิงพึ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมา บอกว่านางเห็นกับตาว่า เมื่อคืนนี้ไทเฮาเอาตัวท่านหญิงน้อยไป! “