บทที่ 165 ลอบกัด

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 165

ลอบกัด

แม้ว่าเย่เย่รู้ดีว่าเมื่อเขาได้ถูกเลือกเป็นประมุขของอารามวิถีสวรรค์แล้วนั้น เขาจะไม่สามารถ

หลีกเลี่ยงหน้าที่ได้ เว้นเสียแต่ว่าตัวเขาจะตายจากไปเท่านั้น แต่เขาก็ไม่อยากข้องแวะกับ

เหยียนลี่หยางและอารามอยู่ดี

ชายวัยกลางคนชายตามองแหวนที่ถูกวางลงบนโต๊ะ แทนที่จะหยิบคืนไป เขากลับถามเย่เย่ด้วยความใจเย็น “เจ้าปฏิเสธมันไม่ได้หรอกนะ สวรรค์ได้ตรีตราบนตัวเจ้าแล้ว”

“ท่านรู้อยู่ตั้งแต่แรกว่าข้าคือวิญญาณกลับชาติมาเกิดงั้นสินะ? ที่ท่านฝากแหวนไว้ก็เพื่อให้วิญญาณของข้าเชื่อมต่อเข้ากับอารามสินะ! ท่านเป็นใครกันแน่ แล้วอารามนี้มันคืออะไรกัน!?”

ทันทีที่เหยียนลี่หยางพูดจบ เย่เย่ก็ซักไซ้เขาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ข้าคือวิญญาณกลับชาติมาเกิดตนที่ 394 และหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของอารามคือเพื่อล้มล้างการปกครองของทัณฑ์สวรรค์ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังสงคราม” ครั้งนี้เหยียนลี่หยางไม่ปิดบังเย่เย่อีกต่อไปและตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา

หลังจากได้ยินดังนั้น เย่เย่ก็มีสีหน้าที่ตึงเครียด หากไม่ใช่เพราะอารามวิถีสวรรค์ถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยพลังปราณที่กล้าแกร่งจากเหล่าวิญญาณกลับชาติมาเกิดนับร้อยๆรุ่น เย่เย่ที่ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายก็อยากทำลายอารามนั่นลงเสียเดี๋ยวนี้

เหยียนลี่หยางไม่ได้สนใจสีหน้าของเย่เย่ และพูดเสริมขึ้นอีก “เป้าหมายของทัณฑ์สวรรค์คือก่อสงครามเพื่อให้พวกมันสามารถคงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครอง เมื่อใดที่นิกายลำนำแห่งขุนเขาที่เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์แห่งสันติภาพถูกทำลาย ความโกลาหลวุ่นวายจะบังเกิด ในฐานะประมุขคนใหม่ท่านต้องหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้ให้ได้!”

เมื่อพูดจบชายกลางคนก็คุกเข่าต่อหน้าเย่เย่ เขาฉีกยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นราวกับรอคอยวันนี้มานาน

อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ใช่คนที่จะถูกชักจูงด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค เมื่อเห็นเหยียนลี่หยางคุกเข่าลง เขาก็หันหลังกลับและพูดกับอีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใย “ลุกขึ้น ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกยังไงซะข้าก็จะไม่ร่วมมือกับใครทั้งนั้น อย่าว่าแต่สู้กับทัณฑ์สวรรค์เลย แค่ระดับ 7 ขุนพลข้าก็สู้ไม่ได้ ฉะนั้นท่านไปหาคนอื่นเถอะ!”

ขุนพลทั้ง 7 แห่งราชวงศ์ฉางหลางล้วนแล้วแต่มีวรยุทธ์ระดับจิตพิสุทธิ์ขั้นสูง ด้วยระดับวรยุทธ์ที่ไม่สามารถเทียบเคียงพวกเขาได้ของเย่เย่ ทำให้เขาปฏิเสธเหยียนลี่หยางไปอย่างไม่ลังเล

“ท่านประมุขอย่าได้กังวลไป! จริงอยู่ที่พวกเขาเป็นถึงระดับจิตพิสุทธิ์ แต่ข้ามั่นใจว่าด้วยความสามารถของวิญญาณกลับชาติมาเกิดผนวกกับสมบัติธาตุและพลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในชั้น 9 ของอารามจะทำให้ท่านก้าวข้ามขีดจำกัดได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่มีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้ไปมากกว่า ท่านอีกแล้ว!” เหยียนลี่หยางพูดพลางนึกถึงจางจ้าวหวู่ 1 ใน 7 ขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อลองเทียบพลังระหว่างตัวเขากับจางจ้าวหวู่ดูแล้วก็ไม่ห่างชั้นกันมากนัก ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าในอีกไม่นานเย่เย่จะสามารถเอาชนะขุนพลทั้ง 7 ได้อย่างแน่นอน

“ไม่ได้ผลหรอก ต่อให้ฆ่า 7 ขุนพลได้ ถึงเวลานั้นทัณฑ์สวรรค์ก็คงลงมือด้วยตัวเอง มีแต่เสียกับเสีย ข้าขอตัวล่ะ!” เมื่อชั่งตวงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากอารามอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เย่เย่ก็เหลือบตามองแหวนที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความเสียดาย แม้ปากจะปฏิเสธแต่ไม่นานนักเขาก็คว้าแหวนเอาไว้และเดินออกจากห้องรับรองโดยที่ไม่ได้กล่าวคำร่ำลาใดๆ

ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาพลางพึมพำกับตัวเองขึ้น “ดูเหมือนว่าข้าจะร้อนรนไปหน่อยสินะ…เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็รับข้อเสนอล่ะนะ”

อีกด้านหนึ่ง เย่เย่ก็เดินออกจากภัตตาคารแสงจันทร์และกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลหยาง ใบหน้าของเขายังคงกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาเริ่มกุมหน้าอกด้วยความเครียด ก่อนจะปรับสมดุลด้วยการหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ

แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เมื่อเย่เย่นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากอาราม มือของเขาก็หยิบแหวนวงเดิมกลับมาโดยอัตโนมัติ ในเมื่อเขาไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ประมุขได้แล้ว เขาก็เลือกจะใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มสูบไปเลย

ระหว่างเย่เย่ติดอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นเอง ฝูงยุงแปลกประหลาดก็กัดเข้าที่ต้นคอของเขา

เพี๊ยะ!

เย่เย่ใช้ฝ่ามือตบยุง และแบมือออกด้วยความสงสัย

“อะไรกัน!? ปกติแล้วแมลงพวกนี้จะไม่เข้าใกล้ผู้ที่มีพลังปราณนี่? แต่ยุงพวกนี้กลับ…”

พูดไม่ทันจบประโยค สีหน้าของเขาก็ซีดเซียวลงอย่างฉับพลัน ร่างของเขาล้มลงทั้งยืน

ร่างของชายชราที่แอบอยู่ในเงามืดก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเย่เย่ เขาย่างกรายเข้ามาหาเย่เย่และย่อตัวจ้องมองชายหนุ่มด้วยความอาฆาตแค้น “หลินซิวเหยียนพูดไม่ผิดเลยจริงๆ ไม่มีใครต้านทานอำนาจอันร้ายกาจของพิษยุงโลหิตนี่ได้จริงๆ เย่เย่เจ้าเป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคแต่กลับต้องมาตายด้วยยุงเพียงไม่กี่ตัวเนี่ยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่าสมเพช!”

เย่เย่ชำเลืองมองชายแก่รูปร่างสูงโปร่งที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยสายตาที่พร่ามัว

“แก! แกเป็นใคร!? หลินซิวเหยียนส่งแกมาสินะ!?” เย่เย่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ราวกับคนใกล้หมดลม แต่ปณิธานอันกล้าแข็งยังคงทำให้เขามีชีวิตอยู่

“เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์! ต่อให้เป็นถึงระดับจิตพิสุทธิ์ก็ไม่สามารถทนพิษนี้ได้เกิน 15 นาที แต่วางใจเถอะข้าจะไม่ให้เจ้าตายง่ายๆหรอก ยังไงซะศิษย์ของข้า โจวไท่ก็ถูกเจ้าฆ่าตายอย่างทรมานนี่นะ ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานนั้นเอง”

ชายชราผู้นี้คือลั่วหยู ผู้เป็นอาจารย์ของโจวไท่ ทันทีที่เขาได้รับพิษยุงโลหิตนี้เขาก็รีบตรงดิ่งมายังเซียงเฉิงเพื่อแก้แค้น แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเย่เย่จะตายอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความแค้นที่สั่งสมมานานของเขาคลายออกได้โดยง่าย ลั่วหยูจึงหยิบกริซออกมาจากแขนเสื้อเพื่อรีดความเจ็บปวดของเหยื่อออกมาให้ได้มากที่สุด

ทันใดนั้นเอง เย่เย่ฉวยโอกาสที่ศัตรูประมาท โคจรลมปราณมังกรอสรพิษไปที่หมัดข้างซ้าย และซัดเข้าที่ใบหน้าของศัตรูอย่างจัง

เปรี้ยงงงงงงงงงงง

เคร้งงงงงง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก จมูกข้า!!!!”

กริซของชายชราร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดังกังวาน ร่างของลั่วหยูถูกซัดจนกระเด็นไปไกล เขายกมือขึ้นกุมจมูกที่บิดเบี้ยวอย่างผิดรูปจากการโจมตี และร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

เย่เย่ยันตัวยืนขึ้น ไม่ทันไรร่างกายที่ซีดเผือดจากพิษยุงก็หายกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากทันทีที่ร่างกายได้รับสารพิษเข้าไป ประคำจ้าวอสรพิษของเขาก็ค่อยๆขับพิษออกมาและสีเขียวมรกตของมันก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวเข้มในไม่ช้า

“จริงอยู่ที่ข้าฆ่าศิษย์ของเจ้า และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าแค้นเคืองข้า แต่ก่อนที่เจ้าจะฆ่าข้า เจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกข้าฆ่าเช่นเดียวกัน!”

เมื่อเย่เย่ลุกขึ้น เขาก็ก้มเก็บกริซของชายชรา และเดินตรงไปหาเขาด้วยจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมา…