ภาคที่ 5 ตอนที่ 10 ประโยคเดียว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

“มีข่าวอะไรไหม?” 

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้นที่เดินออกมาจากศาลาพักม้าแล้วเอ่ยถาม 

 

 

“ไม่มีข่าวอะไร” จูจั้นตอบ 

 

 

“ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น 

 

 

“คำนี้ไม่ถูกต้อง” จูจั้นแย้ง คำพูดเอ่ยออกมาก็รีบเงยหน้ามองนางแล้วยิ้ม “แต่บางครั้งก็ถูก ที่เจ้าพูดก็ถูก” 

 

 

คุณหนูจวินมองเขา 

 

 

“เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมา ปากไม่ตรงกันใจทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นมา “แค่เพราะข้าคือฉู่จิ่วหลิง? ท่านก็ดูถูกคนเช่นนี้หรือ?” 

 

 

เอาอีกแล้ว.. 

 

 

จูจั้นกุมหน้าผาก 

 

 

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เขาเอ่ย 

 

 

“ไม่ใช่หรือ?” คุณหนูจวินคิ้วตั้งเอ่ย “หากข้ายังเป็นจวินจิ่วหลิง ท่านจะพูดเช่นนี้ไหม?” 

 

 

แน่นอนไม่มีทาง คงมีแต่ชื่นมื่นไม่ปล่อยโอกาสเสียดสีนางไป มือของจูจั้นที่กุมหน้าผากอยู่เลื่อนมาปิดตา สักประโยคก็ไม่กล้าเอ่ยอีก 

 

 

คุณหนูจวินสะบัดแส้ม้าเร่งม้าควบเร็วรี่ไปข้างหน้า ไม่นานนักก็ได้ยินจูจั้นตามมาด้านหลัง ปลายหางตาเห็นท่าทางเขาก้มศีรษะหดหู่ พลันรู้สึกเบิกบานใจอย่างประหลาด 

 

 

“ท่านรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ดี ไม่ดีอย่างไร?” นางหันกลับมาเอ่ยถาม 

 

 

ขอแค่ก่อนหน้าไม่มีเรื่องได้หาเรื่องระบายโทสะ ต่อมาก็ไม่มีเรื่องแล้ว จูจั้นมองนางอย่างค่อนข้างจนปัญญาอยู่บ้าง แต่แน่นอนเขาย่อมไม่หาเรื่องอีก 

 

 

“ข้าคิดว่าด้านนั้นสงบสุขเกินไป” เขาเอ่ยจริงจัง “ต้องรู้ว่าคนที่คุมด้านนั้นอยู่ตอนนี้คือชิงเหอปั๋ว” 

 

 

ชิงเหอปั๋วคนผู้นี้นางไม่รู้จักจริงๆ หลายปีนั้นที่พระบิดายังอยู่ชิงเหอปั๋วคล้ายถูกราชสำนักลืมเลือน เพียงรู้ว่าคนผู้นี้ชื่อเสียงไม่ดี 

 

 

“นั่นน่ะเป็นคนถ่อยคนหนึ่ง” จูจั้นเอ่ย “ไม่อาจปฏิเสธว่าเขากล้าหาญเชี่ยวชาญการรบ แต่ก็เพราะกล้าหาญเชี่ยวชาญการรบ ต่อมาจึงยิ่งถือดีขึ้นทุกที นอกจากนี้ละโมบทรัพย์ดันทุกรัง ผู้ตรวจการเหล่านั้นบอกว่าบิดาข้ากระหายความชอบ ที่จริงผู้ที่กระหายความชอบอย่างแท้จริงคือชิงเหอปั๋ว” 

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า 

 

 

“ข้าได้ยินมาบ้าง” นางเอ่ย “ได้ยินพระบิดาเคยเอ่ยถึง ดังนั้นจึงคัดค้านการใช้งานเขามาตลอด” 

 

 

จูจั้นขานอืม 

 

 

“เขาคิดเสมอว่าบิดาของข้าปล้นความชอบของเขาไป” เขาเอ่ย “ครั้งนี้ในที่สุดมีโอกาสรับช่วงแดนเหนือ เจ้าคิดว่าเขาจะยินดีปล่อยมือหรือ?” 

 

 

นี่เป็นปัญหาหนึ่งอย่างแท้จริง คุณหนูจวินก็เงียบงันครู่หนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้เห็นชัดยิ่งว่าไม่ชอบเฉิงกั๋วกง 

 

 

นายชอบอะไรขี้ข้าต้องชอบยิ่งกว่า 

 

 

“ท่านสงสัยว่าข่าวที่แดนเหนือถูกขวางไว้หรือ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

เดินทางมาตลอดทาง คุณหนูจวินรู้ว่าจูจั้นจะได้ข่าวของทุกหนทุกแห่งจากศาลาพักม้า นี่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากการขายแผนที่เมืองหลวงเมื่อตอนนั้น 

 

 

จูจั้นพยักหน้า 

 

 

“อย่างน้อยก็เชื่อไม่ได้เท่าก่อนหน้านี้แล้ว” เขาเอ่ยบอก “โอรสสวรรค์หนึ่งรัชสมัยขุนนางหนึ่งรัชสมัย วางไว้ที่ไหนก็ถูก” 

 

 

เฉิงกั๋วกงออกจากแดนเหนือไม่ได้กำหนดวันกลับ ชิงเหอปั๋วเข้าประจำการที่แดนเหนือต้องฉวยโอกาสกำจัดคนของเฉิงกั่วกงแน่ 

 

 

คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง 

 

 

“พวกเรารีบกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด” นางเอ่ย พลางเร่งม้าอีกครั้ง 

 

 

แทบจะไม่ได้พักผ่อนดีๆ หกเจ็ดวันต่อกันแล้ว จูจั้นมองนางที่ยากจะซ่อนสีหน้าซีดเซียว แม้นางจะรีบกลับเมืองหลวงเช่นกัน แต่ที่ร้อนรนยิ่งกว่าก็คือเขาที่ออกจากเมืองหลวงมา เกรงแต่จะถ่วงเวลาเรื่องของเฉิงกั๋วกง 

 

 

นอกจากสาดโทสะอย่างไม่มีเหตุผล นางล้วนดีที่สุด ในใจจูจั้นคิด อดไม่ได้บีบนิ้วมือยิ้ม 

 

 

“ท่านคิดอะไรอีกแล้วน่ะ? ยิ้มประหลาดเช่นนั้น” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

เอาอีกแล้ว! จูจั้นตัวสั่น 

 

 

“ไม่มีอะไร” เขารีบเอ่ย 

 

 

“ไม่มีอะไร? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นท่านยิ้มเช่นนี้?” คุณหนูจวินเลิกคิ้วเอ่ย 

 

 

จูจั้นอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ใช่แล้วเขาเสียใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมโง่เช่นนั้นนะ 

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา แค่นเสียงเหออะอีกครั้ง กระตุ้นม้าควบเร็วรี่ไปข้างหน้า 

 

 

ไม่อาจทำเช่นนี้ได้แล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่จบไม่สิ้น จูจั้นกัดฟันทีหนึ่งไล่ตามไป 

 

 

“เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” เขาทะยานม้าขวางคุณหนูจวิน สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” 

 

 

“ข้าเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ถูกต้องอย่างไร?” 

 

 

“เจ้าไม่อาจเพราะตอนนี้ข้าดีกับเจ้า เจ้าก็คิดว่าไม่ยุติธรรมกับตัวเจ้าก่อนหน้านี้ นี่เจ้าไยไม่ใช่กำลังตนเองหึงตนเองอยู่” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย 

 

 

คำพูดออกจากปากปุบ ทั้งสองคนล้วนตะลึงแล้ว 

 

 

หึง? 

 

 

หึงรึ? 

 

 

ที่แท้อาการประหลาดหลายวันนี้ก็เพราะหึงรึ? 

 

 

สถานการณ์อะไรคนผู้หนึ่งถึงหึงได้? 

 

 

ย่อมเป็น… 

 

 

จูจั้นรู้สึกว่าร่างกายถูกน้ำมันร้อนกระทะหนึ่งสาด คนทั้งร่างแดงแปร๊ด 

 

 

“ที่แท้หึงหรือ?” 

 

 

“จริงหรือ? เจ้า…” เขาเอ่ยถามติดๆ ขัดๆ 

 

 

หน้าของคุณหนูจวินก็แดงด้วยแล้ว ดวงตาเบิกกลมน่ารัก 

 

 

“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ท่านพูดไร้สาระคิดเหลวไหลอะไร? ไม่มีต้นสายปลายเหตุจริงๆ ” 

 

 

พูดจบพลันสะบัดแส้ม้าทีหนึ่งเร่งม้าอ้อมไป 

 

 

“ท่านไม่มีต้นสายปลายเหตุอยู่เสมอ” นางโยนต่อมาอีกประโยค 

 

 

จูจั้นคนทั้งร่างร้อนฉ่าแล้ว ม้าควบเร็วรี่ผ่านไปพาสายลมพัดให้เขาเย็นสบายอยู่บ้าง 

 

 

“ไม่ใช่” เขาเอ่ย 

 

 

ไม่ใช่ไร้ต้นสายปลายเหตุ แล้วก็ไม่ใช่คิดเหลวไหล ไม่ใช่  

 

 

เขาหันหัวม้ามองคนที่อยู่ด้านหน้า ควบเร็วรี่ไล่ตามไป 

 

 

กีบเท้าม้าวุ่นวายก่อกวนทุ่งกว้างปลายฤดูใบไม้ร่วงให้เปลี่ยนเป็นอึกทึก 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

ส่วนที่อันกั๋วเมืองเล็กๆ ในฉีโจวเวลานี้บรรยากาศตึงเครียดอยู่บ้าง เพราะองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งกำลังตัดผ่านถนนใหญ่ 

 

 

ชาวบ้านบนถนนกลั้นหายใจเงียบเสียงสีหน้าหวาดกลัว มองคนกลุ่มนี้วิ่งไปทางจวนที่ว่าการ 

 

 

“ใครทำผิดหรือ?” 

 

 

“ไม่ได้ยินนะ” 

 

 

“พักนี้ไม่มีเรื่องอะไรนี่?” 

 

 

“มี เหมือนจะมีทหารคนหนึ่งกินแพะของสหายร่วมภูมิลำเนาสองตัวไป” 

 

 

“นี่นับเป็นเรื่องอะไร?” 

 

 

คนบนถนนถกเถียงเสียงเบา 

 

 

“ข้าไม่คิดว่านี่มีสิ่งใดผิด” 

 

 

ในห้องขังของจวนอันกั๋ว จางจือเฉิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

“แพะนี่วิ่งมาที่นี่ของพวกเราแล้ว นั่นย่อมเป็นของพวกเรา” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ยืนอยู่นอกประตูห้องขังโกรธจนถลึงตา 

 

 

“เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีก?” เขาเอ็ดเสียงเบา “เจ้ายังมีเหตุผลด้วย?” 

 

 

“ข้าย่อมมีเหตุผล ใต้เท้าท่านว่านี่เรียกเรื่องไหม? ไม่ใช่แค่กินแพะตายสองตัวหรือ?” จางจือเฉิงก็ถลึงตาบ้าง “กินของสหายร่วมบ้านเกิดของพวกเราข้ายอมรับโทษ กินของชาวจิน ข้ารู้สึกว่าควรให้รางวัลข้า” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่สบถทีหนึ่ง 

 

 

“เจ้ารอความตายเถอะ” เขาเอ่ยด่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู้หรือไม่ ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวต้องการคำอธิบายให้ชาวจิน หากส่งเจ้าออกไป เจ้าไม่รับโทษเป็นไปไม่ได้” 

 

 

เขาเดินกลับไปมา 

 

 

“เจ้าก็พูดความจริงไปเถอะ เป็นเรื่องของชาวบ้านสองคนนั้น” 

 

 

จางจือเฉิงกระโดดลุกขึ้น 

 

 

“เกี่ยวอะไรกับชาวบ้านสองคนนั้น” เขาเอ่ย “แพะถูกสุนัขกัดตาย เนื้อเป็นข้ากิน ต้องการคำอธิบายก็ส่งข้ากับสุนัขไปอธิบายด้วยกัน” 

 

 

พูดพลางก็สบถอีกทีหนึ่ง 

 

 

“ถึงเวลาให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าจางเถี่ยโถวไม่ตายเพราะสังหารชาวจิน แต่ตายเพราะกินแพะของชาวจิน ก็นับว่าทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่โกรธจนหน้าเขียว ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง กำลังจะพูดอะไรนายทหารนอกประตูก็เข้ามา 

 

 

“ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าควั่งกลับมาแล้วต้องการพบท่านขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

ใต้เท้าควั่งก็คือขุนนางที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งมาจัดการเรื่องนี้ หลังจับจางจือเฉิงที่กินแพะอยู่คาหนังคาได้เขาก็กลับไปรายงาน เวลานี้รับคำสั่งกลับมาแล้ว 

 

 

“เจ้าทำตัวดีๆ กับข้าหน่อย” ผู้บังคับบัญชาทหารหลี่ถลึงตามองจางจือเฉิงอย่างเหี้ยมเกรียมทีหนึ่ง ก้าวเร็วไวออกไปแล้ว 

 

 

ใต้เท้าควั่งนั่งอยู่ในโถงที่ว่าการแล้ว ในนั้นยังมีพวกองครักษ์เสื้อแพรนั่งอยู่ด้วย 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่เห็นคนเหล่านี้ในใจพลันกระตุกวูบหนึ่ง 

 

 

ถึงกับ… 

 

 

“ใต้เท้า” เขารีบเข้าไปคำนับ สีหน้าต่ำต้อยนอบน้อม “ใต้เท้าทุกท่าน” 

 

 

พวกองครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจเขา 

 

 

“ใต้เท้าหลี่ เพราะรับบัญชาให้สืบค้นสักหน่อย ดังนั้นใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวจึงให้พวกเขามาถามสักคำ” ใต้เท้าควั่งเอ่ย ชี้องครักษ์เสื้อแพรข้างกาย 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่กล้าขวางที่ไหน กำลังจะพาเข้าไปด้วยตนเองกลับถูกใต้เท้าควั่งขวางไว้ 

 

 

“พวกเขาถามคำถามไม่ชอบให้คนนอกอยู่ในเหตุการณ์” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ได้แต่มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเข้าไป 

 

 

“ใต้เท้าควั่ง” เขารีบร้อนดึงใต้เท้าควั่งไว้ ยัดเงินถุงหนึ่งไว้ในแขนเสื้อของเขา 

 

 

ใต้เท้าควั่งตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

“นี่เจ้ากำลังทำอะไร!” เขารีบดันกลับไป 

 

 

“จางจือเฉิงเจ้าหนูนี่ก็แค่คนสมองทื่อคนหนึ่ง ไม่มีหัวคิด” ผู้บัญชาการทหารหลี่เอ่ยอย่างจริงใจ “เติบโตมาท่ามกลางการเข่นฆ่า ทั้งครอบครัวผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนตายในมือชาวจิน เขาไม่มีทางทำตัวดีกับชาวจิน ครั้งนี้กินแพะไป ขอใต้เท้าอภัยด้วย” 

 

 

ใต้เท้าควั่งมองเขาแล้วส่ายศีรษะถอนหายใจ 

 

 

“แค้นของบ้านเมืองทุกคนล้วนมี แต่ก็ต้องว่าตามกฎสิ” เขาเอ่ย “จะทำตามใจได้อย่างไร?” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ขานรับหลายหน 

 

 

“ครั้งนี้อย่างไรก็โปรดอภัยด้วย ข้ารับประกันว่าจะลงโทษเขาให้ดีๆ ไม่ให้เขาทำผิดอีกเด็ดขาด” เขาเอ่ยพลางยัดถุงเงินไปอีกครั้ง “ความเคารพเล็กน้อย ความเคารพเล็กน้อย” 

 

 

ใต้เท้าควั่งดันถุงเงินกลับไปกดไว้บนมือผู้บัญชาการทหารหลี่ 

 

 

“ข้าเข้าใจ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้าในใจวิตก คิดว่าหากเฉิงกั๋วกงอยู่ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ย่อมไม่นับเป็นเรื่อง วันนี้ชิงเหอปั๋วปกครอง พวกเจ้ายากเลี่ยงในใจหวาดหวั่น” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ส่ายศีรษะปฏิเสธย้ำๆ อย่างรวดเร็ว 

 

 

“จะบอกให้เจ้าวางใจ” ใต้เท้าควั่งเอ่ย “ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวพบชาวจินแล้ว บอกพวกเขาว่าหาแพะไม่พบ ให้พวกเขาลองหาดูด้านนั้นของตนเองดีๆ นอกจากนี้ดูแพะของตนเองให้ดีด้วย” 

 

 

ถึงกับคลี่คลายเช่นนี้แล้ว? ผู้บัญชาการทหารหลี่ชั่วขณะไม่ทันตอบสนอง อึ้งนิดหนึ่งถึงเข้าใจความหมายคำพูดของใต้เท้าควั่ง ฉับพลันดีใจยิ่ง 

 

 

“ใต้เท้าทั้งหลายฉลาดเฉลียว” เขาคำนับอย่างตื่นเต้น 

 

 

ใต้เท้าควั่งแค่นเสียงเหอะ 

 

 

“ใต้เท้าทั้งหลายข้างบนก็ไม่ได้โง่ ใครเป็นคนของตนเอง ใครเป็นคนนอกจะไม่รู้หรือ?” เขาเอ่ย “พี่น้องของตนเองก่อเรื่องอย่างไรก็ได้ กับข้างนอกย่อมไม่อาจขายหน้าได้” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่เอ่ยขอบคุณหลายครั้งทั้งตื่นเต้นทั้งปลื้มใจจริงๆ 

 

 

“เป็นพวกเราใจแคบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “”ขอใต้เท้าทั้งหลายโปรดวางใจ ข้าจะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีแน่นอน ไม่ให้เกิดเรื่องขายหน้าที่ทำให้ใต้เท้าทั้งหลายลำบากใจเช่นนี้อีกเด็ดขาด” 

 

 

ใต้เท้าควั่งพยักหน้า ยัดถุงเงินกลับไป 

 

 

“พวกเจ้าทำได้เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ดีกว่ายัดเงินมาก” เขาเอ่ย 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ท่าทางอับอายอยู่บ้างแล้วก็ซาบซึ้ง เก็บถุงเงินกลับไปอย่างไม่สงสัยอีก ยืนตัวตรง 

 

 

“ขอรับ” เขาคำนับอย่างนอบน้อม 

 

 

พูดถึงตรงนี้เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น พวกองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนั้นเดินออกมาแล้ว 

 

 

“ถามกระจ่างแล้ว” คนที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเย็นชาเอ่ย สะบัดกระดาษแผ่นหนึ่งในมือนิดหนึ่ง “จางเถี่ยโถวยอมรับว่าได้รับการบงการจากเฉิงกั๋วกงจูซาน จะหาเรื่องทะเลาะกับชาวจิน” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกว่าสมองดังบึ้มทีหนึ่ง ในหูดังวิ้งๆ คล้ายได้ยินอะไรแล้วก็คล้ายไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น 

 

 

อะไรนะ? 

 

 

สายตาของเขาจับอยู่บนกระดาษที่ถืออยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพรคนนั้น อักษรที่เขียนด้านบนมองไม่ชัด เห็นเพียงรอยประทับมือสีแดงสดข้างหนึ่ง 

 

 

มาได้อย่างไร? 

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่ได้ยินใต้เท้าควั่งเอ่ย เสียงเดี๋ยวไกลเดี๋ยวใกล้ 

 

 

“มิน่าถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมา” 

 

 

ทำเรื่องอะไรออกมา? ที่แท้อย่างไรนะ? 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกเพียงจิตใจว้าวุ่น เขายืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง 

 

 

“ใต้เท้า…” เขายื่นมือ มองใต้เท้าพลางเอ่ยเรียกอย่างไม่ทันรู้ตัว 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นพลันชี้ด้านหลัง 

 

 

“อ้อ ถูกต้องแล้ว อีกอย่าง” เสียงเขานิ่งเรียบเอ่ยขึ้น “จางเถี่ยโถวถูกลงทัณฑ์จนทนไม่ไหว ลงชื่อประทับลายมือเสร็จก็ตายแล้ว พวกเจ้าจัดการเถอะ” 

 

 

ตายแล้ว? 

 

 

ใครตายแล้ว? 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่หันศีรษะกลับมานิ่งอึ้ง เห็นเจ้าพนักงานสองคนยกแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งเดินออกมา บนนั้นร่างใหญ่ร่างหนึ่งนอนอยู่ จางเถี่ยโถวที่เมื่อครู่ยังกระทืบเท้าถลึงตาใส่เขาอยู่ในห้องเขานั่นเอง 

 

 

บนร่างเขากลับไม่เห็นบาดแผล ดูไปแล้วคล้ายนอนหลับอยู่ เพียงแต่สองตานั่นเบิกโพลง สีหน้าที่เขียวคล้ำบิดเบี้ยวแข็งทื่อไปแล้ว 

 

 

ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกเพียงหัวใจที่เต้นอยู่พริบตาหยุดนิ่ง คนก็โงนเงนล้มนั่งไปข้างหลัง เขายื่นมือไปด้านหน้าคว้าจับไว้โดยไม่ทันรู้ตัว 

 

 

ฟ้าทำไมมืดแล้ว? 

 

 

เขาทำไมสิ่งใดก็มองไม่เห็นแล้วเหมือนกันเล่า? 

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

 

 

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

 

 

……………………………