ตอนที่ 741 ออกจากเมืองหลวงเพื่อออกว่าราชการ / ตอนที่ 742 ขากลับ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 741 ออกจากเมืองหลวงเพื่อออกว่าราชการ

 

 

“ยาของเจ้าย่อมต้องดีอยู่แล้ว” เซี่ยอวี่เสียนไม่ใช่คนโง่ เขาล้วนทราบเรื่องของซูหลีอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นจึงผงกศีรษะและละสายตาออกจากขวดกระเบื้องใบนั้น

 

 

เซี่ยอวี่เสียนมีอุปนิสัยที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก เป็นคนที่นิสัยดีที่สุดเท่าที่ซูหลีเคยพบมา

 

 

ช่างเหมาะสมกับชื่อ ‘อ่อนโยนดุจหยก สุภาพบุรุษถ่อมตัว’

 

 

ทันทีที่เขาเข้ามา ซูหลีก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย กอปรกับกินยาปลอมตัวเข้าท้องแล้ว ซูหลีจึงไม่รู้สึกกังวลอะไร ดังนั้นจึงสามารถคุยกับเซี่ยอวี่เสียนได้อย่างสบายๆ

 

 

ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่หลายชั่วยาม หากไม่ใช่เพราะค่ำคืนนี้เซี่ยอวี่เสียนมีเรื่องต้องไปจัดการ ทั้งสองก็อยากจะสนทนากันต่อ

 

 

ในช่วงเวลาก่อนจากกันยังนัดหมายหาวันดื่มชากันอีก

 

 

ยามที่ซูหลีกับเซี่ยอวี่เสียนอยู่ด้วยกันต่างก็เป็นตัวของตัวเองและผ่อนคลาย ดังนั้นเมื่อเซี่ยอวี่เสียนนัดหมายนาง นางจึงผงกศีรษะตอบรับ

 

 

ในช่วงที่สุดขอบฟ้าทอประกายแสงสีทอง หลังจากเซี่ยอวี่เสียนที่ยืนอยู่ข้างรถม้า เห็นซูหลีขึ้นไปบนรถม้าแล้ว ทั้งสองก็ร่ำลากัน จากนั้นจึงออกจากหอชาวสันต์ไปตามๆกัน

 

 

หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ก็มีเด็กรับใช้ที่คอยสอดแนมอยู่ด้านข้างปรากฏตัวขึ้น

 

 

เด็กรับใช้ผู้นั้นคล้ายกับกำลังดูว่าเซี่ยอวี่เสียนกับซูหลีเดินทางออกไปแล้วหรือยัง เขาลอบมองจนกระทั่งไม่เห็นรถม้าของพวกเขาแล้ว เด็กรับใช้ผู้นั้นถึงได้ค่อยๆเดินออกมาอย่างระมัดระวัง รีบสาวเท้าก้าวไปอีกทางอย่างเร่งรีบ

 

 

 

 

เรื่องซูหลีตกน้ำภายในวังหลวง คล้ายกับเป็นการพัดกระพือคลื่นลูกใหญ่

 

 

แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพราะนางเกิดเรื่องอะไร กอปรกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังหลวง ผ่านไปไม่กี่วันก็ไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์แล้ว

 

 

อีกทั้งเป็นเพราะซูหลีได้รับความดีความชอบในช่วงเวลาอันสั้นติดต่อกันหลายต่อหลายครั้ง ตำแหน่งในราชสำนักก็เกินหน้าเกินตาคนจำนวนมากในชั่วพริบตา จนนางกลายเป็นคนดัง คล้ายกับจี้เหิงหรานซึ่งเป็นผู้ติดตามของฮ่องเต้

 

 

เป็นเพราะในช่วงเวลานี้ซูหลีนั้นมีชื่อเสียงอย่างไม่มีขีดจำกัด ทำให้ประตูจวนซูแทบจะถูกคนเหยียบจนหักแล้ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการสู่ขอ ต้องการเกาะเกี่ยวอำนาจ หรือมาเที่ยวเล่นหาซูหลี…ล้วนมีทุกรูปแบบ

 

 

ทว่าอย่างไรก็ตามนี่ไม่ถือเป็นอะไรนัก จนกระทั่งถึงช่วงต้นเดือนห้า ทั้งแคว้นก็มีฝนตกหนัก อุทกภัยก็เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ซูหลีถวายสาส์นกราบทูลข้อราชการเกี่ยวกับการสร้างเขื่อน ต้องการให้เผยแพร่ไปทั่วแว่นแคว้น เพื่อให้การเพาะปลูกที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยถูกควบคุมเอาไว้ได้เสียหายน้อยที่สุด

 

 

อีกทั้งนางยังรีบรุดหน้าเข้าไปเขตเจียงซีที่มีปัญหาอุทกภัยมากที่สุดด้วยตัวเอง และยังนำขุนนางที่ประจำการอยู่ในพื้นที่นั้นควบคุมปัญหาความเสียหายที่ได้รับจากอุทกภัยได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ จึงเป็นการทำคุณูปการครั้งยิ่งใหญ่

 

 

ข่าวนี้เมื่อลือมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระพักตร์ที่เบิกบานพระทัย ฝ่าบาทตรัสว่า หลังจากซูหลีกลับมาถึงเมืองหลวงจักต้องตกรางวัลในนางอย่างงาม พร้อมแต่งตั้งตำแหน่งให้แก่นาง

 

 

เป็นเพราะคุณงามความดีที่ซูหลีได้กระทำไว้อย่างต่อเนื่องนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีต่อราษฎร จึงทำให้ชื่อเสียงของซูหลีในหมู่ราษฎรดีมากจนถึงจุดสูงสุด แม้กระทั่งเหล่าชาวบ้านในเขตเจียงซียังอยากจะมอบแผ่นป้ายอายุยืนให้แก่ซูหลี ซูหลีถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางสั่งให้คนไปพูดโน้มน้าวพวกเขาเอาไว้เสียก่อน

 

 

เป็นเพราะนางไปพูดโน้มน้าวด้วยตัวเอง ถึงสามารถหยุดเหล่าชาวบ้านที่รู้สึกตื้นตันใจเอาไว้ได้

 

 

ในเมืองหลวงก็ประสบการณ์ปัญหาอุทกภัยเช่นกัน ทว่าวิธีการที่ซูหลีรายงานขึ้นไปนั้นถือว่ายังทันเวลา ทางด้านฝ่ายโยธาก็ไม่กล้าล่าช้า จึงทำให้ยับยั้งปัญหานี้เอาไว้ได้

 

 

จึงทำให้ชาวบ้านในเมืองหลวงประสบกับอุทกภัยน้อยที่สุด ทุกคนต่างก็บอกว่าใต้เท้าซู ซูหลีเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิต

 

 

ชื่อเสียงของนางในหมู่ราษฎร ดูเหมือนจะเหนือกว่าขุนนางที่ว่าราชการหลายปีอยู่หลายคน

 

 

นางมีอนาคตอันรุ่งโรจน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เพียงแต่เป็นเพราะซูหลีไม่ได้อยู่ภายในเมืองหลวงในช่วงเวลานี้ นางจึงไม่ทราบเรื่องนี้

 

 

ทว่านอกจากซูหลีแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากคนในเมืองหลวงเป็นพิเศษ

 

 

นั่นก็คือจิ้งหนานอ๋อง ฉินเฮ่า ในช่วงต้นเดือนห้า ยามที่เพิ่งเกิดอุทกภัยขึ้น ท่านอ๋องเดินทางมาถึงเมืองหลวงพอดี

 

 

อีกทั้งเขาลือกันว่า หลังจากท่านอ๋องท่านนี้กลับมาครานี้ ก็ไม่เสด็จกลับชายแดนด้านนั้นแล้ว

 

 

เรื่องนี้กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมืองหลวง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 742 ขากลับ

 

 

จวนจิงหนานอ๋องที่รกร้างมาตลอดสิบกว่าปี บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้น

 

 

จิ้งหนานอ๋อง ฉินเฮ่า มิเหมือนกับบุตรที่ไม่เอาถ่านของเขา แต่ก่อนที่ฉินเฮ่าอยู่ในเมืองหลวงนั้นมีชื่อเสียงที่ไม่เลวนัก กอปรกับที่เขาประจำการอยู่ที่ชายแดนอยู่สิบกว่าปี เขานั้นคุ้มครองเมืองอันหนิงของราชวงศ์ต้าโจวมาโดยตลอด เขาจึงถือว่าเป็นบุรุษที่มีใจเด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะพลีชีพ

 

 

กอปรกับพระเชษฐาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสด็จกลับเข้าเมืองหลวง ดังนั้นจึงได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก

 

 

เพียงแต่ฉินเฮ่านั้นมีความพิการตั้งแต่ยังเล็ก สุขภาพร่างกายไม่ค่อยจะดีนัก เขาไม่ชอบออกไปพบปะผู้คนมากนัก เป็นคนที่มีอุปนิสัยค่อนข้างจะเก็บตัว

 

 

เขามาอยู่ในเมืองหลวงหนึ่งเดือนเศษแล้ว เขายังไม่สร้างเรื่องอึกทึกครึกโครมอะไรทั้งสิ้น

 

 

ทำให้ความครึกครื้นระลอกนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

จนกระทั่งถึงช่วงกลางเดือนหก ความเสียหายที่ได้รับจากอุทกภัยของทุกที่แทบจะถูกควบคุมไว้ได้หมดแล้ว โดยเฉพาะเขตเจียงซี สิ่งที่ซูหลีสร้างขึ้นมานั้นยังเก็บกักน้ำฝนจำนวนไม่น้อยเอาไว้ได้ สามารถนำมาใช้รดน้ำในช่วงคิมหันตฤดู หลังจากคิมหันตฤดูมาถึง จะมีประโยชน์ในการใช้สอยเป็นจำนวนมาก

 

 

ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้จี้เซ่าฟู่ไปต้อนรับการกลับมาของซูหลีที่หน้าประตูเมือง

 

 

นี่เป็นขุนนางที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่ราชวงศ์ต้าโจว

 

 

เป็นยุคแห่งความสงบสุข ผู้ที่สามารถควบคุมภัยแล้งและอุทกภัยได้ ถือว่าเป็นดั่งบุคคลในเรื่องเล่าขานมิปาน กอปรกับซูหลีไม่เพียงแต่ควบคุมปัญหาเหล่านี้ได้ นางยังสามารถควบคุมโรคระบาดได้อีกด้วย

 

 

นั่นจึงสามารถถือว่าเป็นเรื่องที่พิลึกพิลั่นโดยแท้

 

 

เหล่าชาวบ้านเมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้ว ในวันนี้จึงพร้อมใจมารอที่หน้าประตูเมือง เพื่อรอต้อนรับคณะของซูหลีเดินทางกลับเข้ามาในเมืองหลวงและมองใบหน้าคร่าตาของพระโพธิสัตว์มีชีวิตผู้นี้

 

 

 

 

ณ ชานลา

 

 

มีรถม้าหลายคันจอดอยู่ใต้ต้นไทรที่เจริญงอกงาม

 

 

หนึ่งในรถม้าเหล่านั้น มีรถม้าหลังคาสีน้ำเงินล้อสีดำ ซึ่งเป็นรถม้าที่ซูหลีกำลังนั่งเล่นพัดในมืออย่างเรื่อยเปื่อย

 

 

“ดังนั้นเจ้าต้องการจะบอกว่าว่า เดือนก่อนหลี่ซื่อผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชาย ท่านพ่อรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงไม่คิดจะปลดนางแล้ว ทั้งยังจะย้ายนางให้ไปอยู่ห้องหลักในจวน ให้ข้ารับใช้เรียกนางว่า ฮูหยิน อย่างนั้นหรือ”

 

 

ซูหลีทวนคำพูดที่เย่ว์ลั่วเอ่ยมาก่อนหน้านี้

 

 

เย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

 

 

“นายน้อยเจ้าคะ! นายท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!” ไป๋ฉินมิได้นิ่งสุขุมเหมือนกับเย่ว์ลั่ว นางชักสีหน้าขึ้นในทันที

 

 

ซูไท่ถือโอกาสช่วงที่นายน้อยของพวกนางไม่อยู่ในเมืองหลวง เจตนารับหลี่ซื่อกลับเข้ามาในจวน

 

 

กว่าซูหลีจะกลับมา ไม้ก็กลายเป็นเรือแล้ว ซูหลีก็เป็นคนรุ่นหลัง ก็มิอาจพูดอะไรไม่ดีกับผู้ที่อาวุโสกว่าตนได้นัก

 

 

ไป๋ฉินโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ นางแทบจะเห็นผ้าเช็ดหน้าในมือของตนเป็นใบหน้าของหลี่ซื่อ นางแทบฉีกออกเป็นชิ้นๆ!

 

 

“ไม่เพียงเท่านั้น เนื้อความในจดหมายของนายท่านยังเขียนไว้ว่า ครานี้นายน้อยลำบากแล้ว นายท่านจึงให้หลี่ซื่อและคุณหนูไปรอรับนายน้อยที่นอกเมือง เพียงให้นายน้อย…กลับจวนอย่างสบายใจ

 

 

เย่ว์ลั่วที่ค่อนข้างเป็นคนนิ่งสุขุม ในเวลานี้นางก็รู้สึกทนอ่านจดหมายฉบับนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

 

 

นางวางจดหมายของซูไท่ลงที่ด้านข้าง จากนั้นเงยหน้ามองซูหลี

 

 

ในเวลานี้ซูหลีสามอาภรณ์สีน้ำเงิน รูปโฉมงามดุจภาพวาด ดวงตาดอกท้อที่น่าเย้ายวนใจคู่นั้น พลันคล้ายกับกำลังยิ้ม และพลันคล้ายว่าไม่ได้ยิ้ม

 

 

เย่ว์ลั่วรู้สึกตาพร่า คนที่ออกไปว่าราชการกลับมาควรจะซูบผอมและดำคล้ำ

 

 

ทว่านายน้อยของพวกเขาไปเจียงซีมารอบหนึ่ง กลับมายิ่งดูงดงามขึ้นสามส่วน แม้จะสวมอาภรณ์ธรรมดาๆตัวนี้ ก็สามารถทำให้ซูหลีดูน่าเย้ายวนใจขึ้นหลายส่วน

 

 

…นางนั้นคล้ายกับปีศาจสาวตัวเป็นๆมิปาน!

 

 

“นายน้อย เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ” เย่ว์ลั่วชะงักไปพักใหญ่ จากนั้นจึงถามประโยคเช่นนี้ขึ้น