ตอนที่ 743 จดหมายฉบับหนึ่ง / ตอนที่ 744 เรื่องราวใหญ่โตจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 743 จดหมายฉบับหนึ่ง 

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย พัดที่อยู่ในมือนางเคาะลงบนโต๊ะไม้หนานตัวเล็กเบาๆ ผ่านไปพักหนึ่ง นางถึงได้นั่งตัวตรงแล้วเอ่ยว่า 

 

 

“ไป๋ฉิน ฝนหมึก!” 

 

 

ไป๋ฉินถึงกับตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ทว่าก็มิได้ถามอะไรมาก เพียงเก็บของบนโต๊ะไม้หนานลงอย่างว่องไว จากนั้นจัดวางพู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนให้กับซูหลี 

 

 

ภายในรถม้าที่เงียบสงัด ซูหลีกุมพู่กันและครุ่นคิดอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือตวัดพู่กันลงบนกระดาษ 

 

 

หลังจากครู่หนึ่งนางเป่าหมึกบนกระดาษให้แห้งสนิท จากนั้นจึงพับกระดาษแผ่นนั้นและนำใส่ลงไปในซองจดหมายเปล่าที่อยู่ด้านข้าง 

 

 

“นายน้อย นี่ท่านต้องการทำอะไรกันเจ้าคะ” ไป๋ฉินไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางอ่านหนังสือออก ดังนั้นจึงเห็นในสิ่งที่ซูหลีเขียนไปเมื่อครู่แล้ว 

 

 

ทว่านางกลับไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด 

 

 

“เก็บสิ่งนี้ไว้ให้ดี อีกครู่หากเข้าเมืองหลวง หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร หากมีเรื่องเกิดขึ้น เช่นนั้นก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” ซูหลีกลับไม่อธิบายอะไรออกมา เพียงแต่นำจดหมายฉบับนี้ส่งให้ไป๋ฉิน และให้นางเก็บติดตัวเอาไว้อย่างดี 

 

 

ที่นางไม่ให้เย่ว์ลั่ว นั่นเป็นเพราะเย่ว์ลั่วมีรูปโฉมที่โดดเด่นเกินไป หากปลีกตัวออกไปคงจะถูกคนจับสังเกตได้ แม้ไป๋ฉินจะรูปโฉมงดงาม แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับเย่ว์ลั่ว 

 

 

จัดการเรื่องก็ดีกว่าเย่ว์ลั่วอยู่บ้าง 

 

 

อีกทั้งคนที่สนิทกับซูหลีล้วนทราบดีว่า ไป๋ฉินเป็นคนติดตามนางตั้งแต่เด็ก โตมาพร้อมกับซูหลี ดังนั้นจึงเป็นสาวใช้ข้างกายที่นางให้ความสำคัญมากที่สุด 

 

 

และเป็นการตริตรองอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ ซูหลีจึงส่งจดหมายให้แก่ไป๋ฉิน 

 

 

“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ!” แม้ไป๋ฉินจะไม่เข้าใจนายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่านางทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจสะเพร่าได้ เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงเก็บจดหมายฉบับนั้นแนบติดตัวในด้านใน 

 

 

ตลอดปีกว่าที่ผ่านมาก แม้ซูหลีจะยังกระทำเรื่องอย่างเหิมเกริม ไม่ไว้หน้าใครเหมือนกับเมื่อก่อน 

 

 

ทว่าเรื่องที่เหนือความคาดหมายก็คือ เรื่องที่นางกระทำทุกครั้งจะถือว่าเรื่องที่เฉลียวฉลาด อีกทั้งนางเพิ่งจะสอบติดได้ตำแหน่งถ้านฮวาได้ไม่นาน กลับเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจของไป๋ฉินนั้นยกย่องให้นายน้อยของตนเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ตั้งนานแล้ว 

 

 

นางเชื่อว่าที่นายน้อยกระทำเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลของตัวเอง นางเพียงทำตามที่ซูหลีสั่งการมาก็พอแล้ว 

 

 

ซูหลีเห็นนางเก็บของเรียบร้อยแล้ว จึงหลับตาลงและเอนกายลงบนหมอนรองคอใบนุ่มที่อยู่ด้านหลัง 

 

 

การเดินทางของนางในครานี้ ที่จริงแล้วไม่ได้ราบรื่นตลอดการเดินทาง มิหนำซ้ำยังพบกับมือสังหารสองกลุ่มติดต่อกัน 

 

 

คนเหล่านี้ใครเป็นคนส่งมา ซูหลีก็ไม่ทราบเช่นกัน 

 

 

ยังดีที่ก่อนนางจะออกจากเมืองหลวง ฉินเย่หานให้ฉินลิ่วติดตามนางไปด้วย พร้อมทหารของราชสำนักอีกหลายคน นี่เป็นคนที่แสดงตัวออกมา ทว่ายังมีบางส่วนที่อยู่ในเงามืดที่นางไม่รู้ 

 

 

ดังนั้นการลอบสังหารสองครั้งติดนี้ ซูหลีทราบเรื่องนี้ดี จึงไม่ได้ถูกเรื่องเหล่านี้ทำให้ตกใจ 

 

 

หลังจากฉินลิ่วจัดการกับคนเหล่านั้น จะกลับมารายงานซูหลีทุกครั้ง 

 

 

อย่างไรซูหลีก็ประมาณการในใจไว้บ้างแล้ว นางมีศัตรูบนราชสำนักจำนวนไม่น้อย ทว่าการกระทำที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ คนที่ต้องการให้นางมีไม่กี่คน 

 

 

หนึ่งก็คือสกุลเฉิง เฉิงเค่อที่ถูกรับโทษประหารชีวิตแล้ว เฉิงเหว่ยคงจะเคียดแค้นนางเพราะเรื่องนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

อีกหนึ่งก็คือสกุลป๋าย เรื่องคราก่อนซึ่งซูหลีลากสกุลป๋ายลงมาจากสกุลอันดับหนึ่ง ไม่มีทางที่ในใจของสกุลป๋ายจะไม่รู้อาฆาตนาง 

 

 

ทว่าเป็นมือสังหารเหล่านี้ไม่ได้เก่งกาจเกินไป ถึงสามารถจัดการได้อย่างราบคาบ ซูหลีจึงไม่ได้ใส่ใจนัก 

 

 

เพียงแต่จดหมายประหลาดจากทางซูไท่ฉบับนี้ กลับทำให้ในใจของซูหลีเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 744 เรื่องราวใหญ่โตจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ 

 

 

ซูหลีนั้นถือว่าจะค่อนข้างจะเข้าใจซูไท่ดี 

 

 

บัดนี้ในราชสำนักซูหลีอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ดุจพระอาทิตย์ทอแสง กลางท้องฟ้า นับประสาอะไรกับซูไท่ เขาต้องเกรงใจซูหลีผู้เป็นบุตรชายของตนอย่างแน่นอน 

 

 

โดยเฉพาะหลังจากหลี่ซื่อกระทำเรื่องเช่นนั้น ซูหลีกลับยอมอ่อนข้อ และปล่อยซูไท่จัดการเรื่องนี้ 

 

 

และในเวลานี้นางสร้างคุณงามความดีมากมายขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่ซูไท่จะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ 

 

 

ไม่แม้กระทั่งจะปรึกษานางสักประโยค เขาอนุญาตให้หลี่ซื่อกลับสกุลซู และไม่หย่าร้างกับหลี่ซื่อ เรื่องเหล่านี้ช่างมันเถอะ ทว่ายังจะให้นางมาเป็นภรรยาเอกของตนเองอีก 

 

 

นี่เป็นเพราะหลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรชายหรือ 

 

 

ไม่ เหตุผลนี้เกินที่นางจะยอมรับได้ 

 

 

ซูไท่มีทายาทน้อยจริงๆ มีเพียง ‘บุตรชาย’ อย่างซูหลีเท่านั้น 

 

 

ทว่าซูหลีเพียงคนเดียวก็ใช้การได้ดีกว่าคนอื่นที่มีทายาทนับสิบคนได้แล้ว อย่าว่าแต่ตำแหน่งของซูหลีในเวลานี้เลย ชื่อเสียงของนางในหมู่ราษฎรนั้น คนจำนวนมากแม้จะประจบสอพลออย่างไรก็ยังไล่ตามไม่ทัน 

 

 

เมื่อเทียบเด็กที่อยู่ในผ้าอ้อมนั่นแล้ว ยังไม่รู้ว่าเติบโตมาจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะเป็นบุตรที่ดีหรือไม่ อย่างไรก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับซูหลี 

 

 

เรื่องทายาทเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าทายาทที่สามารถโดดเด่นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า 

 

 

จากที่ซูหลีเข้าใจอุปนิสัยของซูไท่ ซูไท่มิใช่คนโง่ แน่นอนว่าเขานั้นสามารถแยกแยะระดับความสำคัญได้ 

 

 

ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา 

 

 

มิหนำซ้ำยังนำหลี่ซื่อมาต้อนรับซูหลี ในขณะที่ซูหลีแบกรับชื่อเสียงเกียรติยศกลับเมืองหลวง… 

 

 

เรื่องนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว! 

 

 

แม้จะพูดว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะซูไท่อยากจะใช้เรื่องนี้ให้การทลายความขัดแย้งระหว่างหลี่ซื่อกับซูหลี ทว่าคนฉลาดก็รับรู้ได้ว่า หลังจากเกิดขึ้นในวันเกิดของซูหลีก่อนหน้านี้ ความขัดแย้งระหว่างนางกับหลี่ซื่อนั้น มิอาจแก้ไขได้แล้ว! 

 

 

เป็นเพราะเหตุใดซูไท่ถึงกระทำเรื่องเช่นนี้กัน 

 

 

ซูหลีเป็นคนที่มีไหวพริบมาก นั่นเป็นเพราะนางมองเห็นความผิดปกติจุดเล็กๆในจดหมายจากทางบ้านฉบับนี้ และนางจดจำความผิดปกตินี้ไว้ในใจ 

 

 

บัดนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และยังอยู่ในกระแสลมปากที่แหลมคม[1] ควรจะระวังตัวเอาไว้ให้ดี 

 

 

จดหมายฉบับนี้ หากไม่ได้ใช้การ นั่นถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากต้องใช้การจริงๆแล้วละก็… 

 

 

ซูหลีครุ่นคิดดังนั้น สีหน้าจึงเข้มขึ้นในทันที เช่นนั้นก็เพียงพอที่จะทำลายเรื่องใหญ่ของนางผู้นี้ได้! 

 

 

“ก๊อกๆๆ” ซูหลีครุ่นคิดอยู่นาน นางวิเคราะห์ความนัยที่แฝงอยู่ในจดหมายฉบับนี้อย่างละเอียดหลายต่อหลายครั้ง ทันใดนั้นก็มีคนเคาะที่หน้าต่างของรถม้า นางผงะไปครู่หนึ่ง เมื่อดึงสติกลับก็เอ่ยด้วยเสียงเบาว่า 

 

 

“มีเรื่องอะไร” 

 

 

“ใต้เท้าซูคงจะพักผ่อนพอแล้ว ได้ยินว่าคนในเมืองที่มาต้อนรับพวกเรามาถึงแล้ว พวกเราจะออกเดินทางในเวลานี้เลยได้หรือไม่” น้ำเสียงฉินลิ่วดังเล็ดลอดหน้าต่างที่ถูกปิดไว้อย่างมิดชิด 

 

 

ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่า “เดินทางเถอะ!” 

 

 

บัดนี้คิดอะไรมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้นางจะสามารถยืนหยัดบนราชสำนักได้อย่างมั่นคงในเวลาอันสั้น ทว่าเวลาที่นางกลายเป็นซูหลีนั้นยังน้อยเกินไป 

 

 

การออกจากเมืองหลวงครานี้ นางไม่ได้เหลือคนที่เป็นหูเป็นตาให้เลยแม้แต่คนเดียว คนที่เหลือไว้ในเมืองหลวงนั้นก็อย่างเช่นชุยตาน นางจึงสามารถรับรู้ได้ว่าเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงบ้าง 

 

 

ทว่าก็ไม่ทราบว่าแต่ละสกุล หรือเหล่าคนผู้สูงศักดิ์กำลังเตรียมอะไรในเงามืด 

 

 

รถม้าค่อยขับเคลื่อนไป หลังจากซูหลีนั่งตัวตรงไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือเลิกผ้าม่านขึ้น แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง 

 

 

อากาศภายนอกนั้นดีมาก เป็นเพราะนี่เป็นช่วงเหมันตฤดูแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูหลีจึงรู้สึกความหนาวเย็น มีความรู้สึกคล้ายกับจะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในไม่ช้า 

 

 

หวังว่า… 

 

 

นางจะเข้าใจผิดไปเอง! 

 

 

ซูหลีมองอยู่ครู่จึงปล่อยมือออกจากม่าน 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] กระแสลมปากที่แหลมคม เป็นสำนวน หมายถึงการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในสังคมที่โหดร้าย