ตอนที่ 745 ถึงเมืองหลวง / ตอนที่ 746 ช้าก่อน!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 745 ถึงเมืองหลวง 

 

 

“ใต้เท้าจี้ รถม้าของใต้เท้าซูเคลื่อนตัวจากประตูเมืองมาแล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงถึงที่นี่แล้วขอรับ!” 

 

 

ถนนไหวหนานในเขตเมืองหลวง จี้เหิงหรานได้นำคณะขุนนางกรมธรรมการยืนรออยู่ใต้ต้นอู๋ถงที่งอกงาม คนที่เขาส่งไปสืบข่าวก่อนหน้าได้กลับมาแล้ว และกำลังรายงานการเคลื่อนไหวของคณะพวกซูหลีให้แก่จี้เหิงหรานฟัง 

 

 

จี้เหิงหรานได้ยินดังนั้น จึงผงกศีรษะเล็กน้อย 

 

 

สายตาจ้องมองไปด้านหน้า หากซูหลีมาแล้ว นางก็คงติดตามซูหลีกลับมาด้วย 

 

 

เป็นเวลานานมากที่เขาคะนึงหานางทุกคืนวัน ไม่รู้ว่านางจะรู้สึกเหมือนกันหรือไม่! 

 

 

ถนนไหวหนานเป็นเส้นทางที่คนเดินทางเข้าเมืองหลวงจักต้องเดินทางผ่านถนนสายนี้ และถือเป็นย่านที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง 

 

 

วันนี้ดูเหมือนจะครึกครื้นกว่าทุกวันที่ผ่านมา 

 

 

เป็นเพราะคุณูปการที่ซูหลีสร้างขึ้นนั้น ทำให้เหล่าชาวบ้านในเมืองหลวงอยากมองเห็นท่วงท่าอันสง่างามของใต้เท้าเซ่าซือท่านนี้ นี่เป็นเรื่องมงคล จี้เหิงหรานก็ไม่ได้สั่งให้คนไปขวางทางทุกคนไว้ 

 

 

ในเวลานี้ถนนทั้งสองข้างนั้นมีชาวบ้านยืนชะเง้อมองดูอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหลัง อีกทั้งยังมีบางคนที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาอยากจะเห็นว่าใต้เท้าเซ่าซือผู้เลื่องชื่อว่าหน้าตาเป็นอย่างไร 

 

 

“มาถึงแล้วในเมืองแล้ว! พวกเราใกล้จะพบใต้เท้าซูแล้ว!” 

 

 

“เหล่าหวัง เจ้าดูสิว่า เสื้อผ้าของข้าเหมาะสมหรือไม่!” 

 

 

“เฮ้ เจ้าใส่อะไรมาก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างไรใต้เท้าซูก็มองไม่เห็นเจ้าหรอก!” 

 

 

… 

 

 

ท่ามกลางความครึกครื้นของเหล่าชาวบ้าน ทุกคนต่างจ้องมองนางด้วยความเบิกบานใจและความตื่นเต้น 

 

 

ซูเนี่ยนเอ๋อร์ปล่อยผ้าม่านลง หันศีรษะกลับมาด้วยความโมโหแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า 

 

 

“นี่คงจะเห็นซูหลีเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตอะไรนั้นจริงๆ ไม่ได้ดูเสียเลยว่านางเหมาะสมแล้วหรือ?” 

 

 

ซูเนี่ยนเอ๋อร์ไม่ชอบซูหลีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความสนใจของทุกคนที่มีต่อซูหลีในช่วงนี้ มีมากกว่าคนสกุลซูทุกคน แม้แต่นางที่สอบติดสำนักฉยงสือฝ่ายหญิงและมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก็ยังถูกทุกคนมองข้ามแล้ว 

 

 

นี่จะให้นางอดทนได้อย่างไรกัน 

 

 

“อย่าโมโหเลย” หลี่ซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นอากัปกิริยาท่าทางของซูเหนียนเอ๋อร์แล้ว จึงยิ้มอ่อนๆครู่หนึ่งและยื่นมือไปลูบปลอบโยนซูเนี่ยนเอ๋อร์ 

 

 

ดูเหมือนหลี่ซื่อจะซูบผอมลงบ้าง ผิวก็ดูขาวขึ้นเล็กน้อย 

 

 

นางถูกคนของซูไท่เฝ้าดูมาโดยตลอด หลังจากที่ให้กำเนิดบุตรชายแล้ว นี่ถึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา 

 

 

ช่วงเวลานี้นางไม่ได้ออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอก ผิวพรรณจึงขาวกว่าคนปกติอยู่บ้าง 

 

 

เพียงแต่ลักษณะท่าทางของหลี่ซื่อนั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่เบิกบานใจ 

 

 

หลังจากพูดถึงชื่อของซูหลี อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่” ซูเนี่ยนเอ๋อร์ยังเกิดกระวนกระวายใจ นางกลัวว่าแผนการที่เตรียมการเอาไว้ในครานี้ จะเป็นเหมือนดังแต่ก่อน 

 

 

“วางใจเถิด ครานี้แม่รู้สึกมั่นใจมาก!” หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นจึงกำมือตัวเองไว้อย่างแน่น และเอ่ยอย่างมั่นใจ 

 

 

ซูเนี่ยนเอ๋อร์เห็นท่าทีของหลี่ซื่อแล้ว จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในใจ 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ นางก็แค่รอดูละครฉากสนุกก็พอแล้ว 

 

 

ส่วนซูหลี… 

 

 

นางจะคอยดูว่า ซูหลีจะสามารถมีมาดน่าเกรงขามได้อีกกี่วัน! 

 

 

รอแผนการของพวกนางสำเร็จลุล่วงเสียก่อนเถอะ เกรงว่าซูหลีผู้ซึ่งเป็น ‘พระโพธิสัตว์มีชีวิต’ จะถูกผู้นั้นเรียกขานว่าหนูข้ามถนนแทน! 

 

 

“ใต้เท้าซูมาถึงแล้ว!” ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดพลันได้ยินเสียงตะโกนดังมาแต่ไกล จากนั้นเหล่าชาวบ้านที่ยืนล้อมรถม้าสกุลซูอยู่นั้นต่างพากันตื่นเต้น 

 

 

แม้แต่ซูเนี่ยนเอ๋อร์ก็ยังเปิดม่านมองออกไปด้านนอกอย่างอดไม่ไหว 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 746 ช้าก่อน! 

 

 

เพียงมองออกไปไม่ไกลก็เห็นขบวนรถม้าเข้ามาในเมือง 

 

 

หนึ่งในนั้นมีรถม้าคันหนึ่งสลักตราของสกุลซูเอาไว้ ซูเนี่ยนเอ๋อร์นั้นคุ้นเคยกับตราสกุลซูมากที่นี่ เป็นธรรมดาที่นางจะทราบว่า รถม้าคันนั้นเป็นรถที่ซูหลีนั่งโดยสารอยู่ 

 

 

“ใต้เท้าซู ใต้เท้าจี้อยู่ด้านหน้าขอรับ ท่านจะลงไปหรือไม่” ซูหลี เย่ว์ลั่ว และไป๋ฉินนั่งอยู่บนรถม้าก็สามารถได้ยินเสียงความวุ่นวายจากด้านนอกระลอกแล้วระลอกเล่า 

 

 

นางได้ยินดังนั้น จึงเลิกผ้าม่านด้านข้างขึ้นและมองออกไปภายนอกปราดหนึ่ง 

 

 

ทันทีที่เห็น ซูหลีก็ถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง 

 

 

มีชาวบ้านมามากมายถึงขนาดนี้! 

 

 

“หยุดรถเถอะ!” ซูหลีเห็นดังนั้นหากนั่งอยู่ในรถต่อไปจะไม่เหมาะสม 

 

 

ซูหลีชั่งน้ำหนักในใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงบอกกับฉินลิ่วที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอกด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

“ขอรับ!” ฉินลิ่วขานรับ จากนั้นเงยหน้าและเอ่ยด้วยเสียงดัง 

 

 

“เอี๊ยด!” ทันทีที่เขาออกคำสั่ง รถม้าที่ซูหลีนั่งก็หยุดลง 

 

 

ไป๋ฉินฉวยเวลานี้จัดมงกุฎหยกบนศีรษะและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถึงปล่อยให้ซูหลีลงจากรถม้า 

 

 

ซูหลีใช้มือเลิกม่านของรถม้า ก็พบกับกลุ่มคนแน่นขนัดอยู่ข้างนอก 

 

 

“ใต้เท้าซู นี่คือใต้เท้าซู!” 

 

 

“ใต้เท้าซูยื่นหน้าออกมามองข้างนอกแล้ว!” 

 

 

“สวรรค์ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าซูที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่ว จะมีรูปลักษณ์เช่นนี้!” 

 

 

“ใต้เท้าซูรูปงามโดยแท้!” 

 

 

ทันทีที่นางโผล่ศีรษะออกมา กลุ่มคนที่เดินไม่ค่อยสงบหนัก ก็มีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายยิ่งกว่าเดิม 

 

 

ซูหลีเห็นเหล่าชาวบ้านที่ตื่นเต้นเหล่านี้แล้ว ซูหลีก็รู้สึกดึงสติกลับมาไม่ทัน 

 

 

นี่ถ้าไม่รู้ คงจะคิดว่านางเป็นซูเปอร์สตาร์อะไรแล้ว เกิดการเคลื่อนไหวที่ฮือฮาขนาดนี้ น่าเสียดาย 

 

 

ราชวงศ์ต้าโจวไปเสียแล้ว 

 

 

ชาวบ้านที่มาในวันนี้มีจำนวนไม่น้อย ยังดีที่กองบัญชาการทหารปัญจทิศได้ส่งทหารมารักษาความเป็นระเบียบ มิฉะนั้นดูสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

“ใต้เท้าซู!” ซูหลีมึนงงไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถูกฉินลิ่วคุ้มกันลงมาจากรถม้าคันนั้น  

 

 

ทันทีที่นางลงจากรถม้า ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เมื่อหันกลับไปก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของจี้เหิงหราน 

 

 

“ใต้เท้าจี้” ซูหลีแย้มยิ้มออกมา นางอยู่ในเจียงซีเป็นเวลานาน ในเวลานี้เมื่อเห็นสหายเก่าจึงรู้สึกดีใจ 

 

 

“ใต้เท้าซูคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางของ นี่ถือเป็นความยากลำบากจริงๆ ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เปิ่นกวนมาต้อนรับเจ้าโดยเฉพาะ ใต้เท้าซูเชิญทางนี้…” สายตาของจี้เหิงหรานสอดส่องไปด้านหลังของซูหลีตลอดเวลา 

 

 

น่าเสียดายที่คนบางคนไม่คิดที่จะออกมามิปาน เขารอบมองอยู่นานก็ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวจากคนที่อยู่ในรถม้า เขาจึงหลับตาและพาซูหลีเดินไปข้างหน้า 

 

 

“ลำบากใต้เท้าจี้แล้ว” ซูหลีเอ่ยทักทายเขาสองประโยค เมื่อเห็นสายตาของเขาแล้วก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ 

 

 

นางพบว่าการนำเย่ว์ลั่วมาไว้ข้างกายตนเป็นการกระทำที่ฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้ ดูอย่างจี้เหิงหรานที่มีท่าทางเหมือนกับคนไร้วิญญาณ 

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่าฮูหยินของเขานั้นจะทราบถึงความรักและห่วงใหญ่ที่เขามีต่อเย่ว์ลั่วหรือไม่ 

 

 

พวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งจิตใจเลื่อนลอย ส่วนอีกคนเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สถานการณ์ยังดำเนินต่อไปได้ เพียงแต่เหล่าชาวบ้านนั้นตื่นเต้น ทว่าก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น 

 

 

“ใต้เท้าจี้ ช้าก่อน!” ขณะที่พวกเขาหมุนกายเตรียมจะเดินออกไปก็ได้ยินเสียงเช่นนี้ดังขึ้น 

 

 

เสียงนี้นั้นแหลมบาดหูมาก ท่ามกลางผู้คนที่กำลังพูดถึงซูหลี ในเวลานี้กลับกลายเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนจึงทำให้ผู้คนสังเกตเห็นอีกฝ่าย