ตอนที่ 747 คุกเข่าให้ซูหลี
ซูหลีเองก็เช่นกัน
นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมามอง จากนั้นใบหน้าก็เคร่งขรึมลงไป
คนที่พูดนี้มิใช่ใครอื่น แต่เป็นมารดาเลี้ยงนางหลี่ซื่อและซูเนี่ยนเอ๋อร์!
หลี่ซื่อผอมลงกว่าตอนที่นางเจอเมื่อคราวก่อนเป็นเท่าตัว เดิมนางก็ผอมมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งผอมราวกับหนังหุ้มกระดูกอย่างไรอย่างนั้น เพียงลมพัดนางก็สามารถปลิวไปกับลมได้
ซูเนี่ยนเอ๋อร์อยู่ข้างๆ ประคองหลี่ซื่อเอาไว้แน่น แถมด้านข้างยังมีข้ารับใช้ในสกุลซูที่ซูหลีคุ้นเคยอีกหลายคน
คุ้มครองสองคนแม่ลูกให้เดินมาทางพวกเขา
ซูหลีมองด้วยใบหน้าที่ยิ่งเย็นชากว่าเดิมในทันที
ท่าทาดุดันเช่นนี้ทำให้คนไม่ใคร่สบายใจนัก
จี้เหิงหรานเองก็ยืนอยู่ข้างกายซูหลี เห็นคนที่เรียกเขาเป็นหญิงสาว สองคนก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกวาดตามองใบหน้าซูหลีอย่างแนบเนียน
แล้วก็เห็นใบหน้าซูหลีเย็นชาลงไปอย่างที่คิดเอาไว้
จี้เหิงหรานเองก็เคยได้ยินเรื่องของสกุลซูมาก่อน แต่ไม่รู้อะไรมากมายนัก
แต่ตอนนี้ที่ซูหลีเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน สองแม่ลูกนี่ก็มาเข้าพบอีกฝ่าย นี่จะเล่นไม้ไหนอีก?
พอคิดเช่นนี้ จี้เหิงหรานก็ชะงักฝีเท้าลงไป ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าเป็นกึ่งๆ ผู้อาวุโสของซูหลี เขาคงจะเดินหนีไม่ได้กระมัง
ซูหลีเองก็ยืนนิ่ง มองสองแม่ลูกเดินตรงมาหาตนองทีละก้าวๆ
“บ่าวคารวะใต้เท้าจี้” ทันทีที่หลี่ซื่อเดินมาก็ทำความเคารพจี้เหิงหรานทันที
พูดไปแล้วซูหลีก็ถือได้ว่าเป็นลูกเลี้ยงนาง นางจึงไม่จำเป็นทำความเคารพซูหลี ซูหลีต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายทำความเคารพเมื่อเห็นนาง
แต่ทว่าซูหลีและนางไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก นางไม่อยากจะให้เกียรติหลี่ซื่อจึงมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เย็นชาเช่นนี้
“ฮูหยินซูรีบลุกขึ้นเถอะ” จี้เหิงหรานเข้าไปประคองนาง ซูเนี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ประคองอีกฝ่ายเช่นกัน
บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยียบ หลักๆ ก็เพราะใบหน้าที่แสนเย็นชาของซูหลี ที่ถึงขนาดปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ทำให้บรรยากาศดูไปแล้วออกจะประหลาดน้อยๆ
จี้เหิงหรานนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินมาต้อนรับใต้เท้าซูที่นี่หรือ?”
หลี่ซื่อได้ยินเช่นนั้น แล้วสายตาจึงจดจ้องไปที่ซูหลี
ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง ซูหลียิ่งทรงเสน่ห์มากกว่าเดิมทั้งท่าทางของอีกฝ่าย และใบหน้าที่งดงามอย่างมากนั้น หมดจดไร้ที่ติทั้งสิ้น ดูเลอโฉมอย่างบอกไม่ถูก
อารมณ์บางอย่างพาดผ่านในแววตาหลี่ซื่ออย่างรวดเร็ว ไพล่นึกไปถึงคำพูดเหล่านั้นที่คนผู้นั้นบอกกับนาง แล้วนึกถึงเรื่องที่ตนเองโดนขังไว้ในบ้าน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอยู่หลายเดือน จึงตัดสินใจได้ในทันที
นางก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้า ในตอนที่ทุกคนยังงุนงงอยู่ ก็ทรุดลงบนพื้น คุกเข่าลงตรงหน้าซูหลีทันที!
พรึ่บ…
พอหลี่ซื่อมาไม้นี้ ไม่เพียงแต่พวกซูหลี กระทั่งชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้นต่างก็ตื่นตกใจอย่างยิ่ง เงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ชาวบ้านก็เริ่มซุบซิบนินทากัน
พูดกันว่าเป็นเรื่องพวกนั้นของบ้านสกุลซู
แต่ถึงหลี่ซื่อจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดซูหลี แต่นางคุกเข่าลงต่อหน้าซูหลีก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เป็นแม่เลี้ยง ทำเรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสม
แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามคือซูหลี ชาวบ้านเองก็ไม่ได้มีภาพจำอะไรที่ดีกับซูหลีมากมาย แต่ก็ไม่ได้ติเตียนอีกฝ่ายมากมายนักหนา คนจำนวนมากเพียงแต่มองอย่างสงสัย อยากรู้ว่าหลี่ซื่อคิดจะทำอะไรกันแน่!
“ซูหลี เดิมข้าไม่ควรคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้า แต่วันนี้ข้าไร้ทางจะเดินต่ออีกแล้ว!” หลี่ซื่อสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ตอนที่ 748 เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร
ไร้ทางจะเดิน!?
นี่มันอะไรกันแน่??
เพราะความสงสัยทำให้เสียงถกเถียงของคนรอบบริเวณนั้นก็เงียบลงไปไม่น้อย จนเงียบลงไปทันที
ใบหน้าซูหลีออกติดจะเย็นชา นางยืนมองหลี่ซื่อที่คุกเข่าลงตรงหน้าตนเองอย่างนิ่งเฉย นิ่งไปครู่ใหญ่ก็หัวเราะเสียงเย็น
“ท่านแม่ท่านทำอะไรกัน! ซูหลีรับมิไหวท่านแม่!”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ได้มีท่าทีจะยื่นมือออกไปประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด
เพราะหลี่ซื่อเองก็ไม่ได้มีเจตนาดี จงใจยืนรออยู่ที่นี่ เลือกคุกเข่าลงตรงหน้านางเอาในเวลานี้ เพราะอยากให้คนทั้งเมืองหลวงรังเกียจซูหลี
เพื่อให้คนอื่นคิดว่าซูหลีเป็นคนโอหัง แถมบังคับให้แม่เลี้ยงของตนเองคุกเข่าให้ตนเอง
นี่จะต้องเป็นคนที่โง่งมขนาดไหนถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้กัน?
“ซูหลี! ข้าขอร้องเจ้า!” แต่เหมือนหลี่ซื่อไม่สนใจจะฟัง ไม่แยแสใบหน้าเย็นชาของซูหลี แต่กลับคลานเข่าเข้าไปหานางและเอ่ยเสียงสูง
“เจ้าปล่อยสกุลซูของเราไปเถอะนะ!!!”
เสียงนี้เหมือนเสียงโหยหวน บาดหูอย่างยิ่ง ทะลุแก้วหูคนอื่น
ซูหลีขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อเป็นอะไรไป จู่ๆ ก็พุ่งพรวดออกมาคว้าขาขวาของซูหลี
“ท่านทำอะไร!?” สีหน้าซูหลีดูแย่ลงไปในทันที นางอยากจะดึงขาของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่เหมือนหลี่ซื่อจะเสียสติไปแล้ว
เกาะแน่นติดหนึบไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ!
“ซูหลี! ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ นี่มันโทษตาย เจ้ารู้หรือไม่… ทำเช่นนี้ ทำเช่นนี้จะเป็นการทำลายพวกเราทั้งสกุล! เฉิงเกอ เฉิงเกอยังเด็ก เจ้าทำลงได้อย่างไร!”
เฉิงเกอที่หลี่ซื่อพูดถึงนั้น ก็คือบุตรชายที่นางเพิ่งจะให้กำเนิดแก่ซูไท่
แต่การกรีดร้องโวยวายเช่นนี้ของนางนับว่าตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนจริงๆ
จี้เหิงหรานยืนมองดูอยู่ข้างๆ ก็ยังอดพูดบ้างไม่ได้ เขารีบร้อนเอ่ย “ฮูหยินท่านทำอะไร ใต้เท้าซูเป็นกำลังสำคัญของแคว้นเรา คราวนี้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ไหนเลยจะทำร้ายคุณชายรองซูได้เล่า?”
หลังจากที่จี้เหิงหรานเอ่ยออกมาแล้ว คนรอบบริเวณต่างก็ผงกศีรษะลง
“ใต้เท้าจี้อาจจะยังไม่ทราบ เพราะเดิมนี่เป็นเรื่องของสกุลซู แต่ตอนนี้ท่านพี่หลี… นางก่อเรื่องจนเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะควบคุมได้อีกแล้ว!” ทันทีที่จี้เหิงหรานเปิดปากเอ่ย หลี่ซื่อกลับไม่สนใจเขา
แต่เป็นซูเนี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างใช้ท่าทีน่าสงสาร ดวงตาเจือไปด้วยน้ำตา ขณะเอ่ยวาจาตัดพ้อเช่นนี้ออกมา
“นี่…” จี้เหิงหรานขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ สองแม่ลูกนี้จะมาไม้ไหนกันแน่?
“ซูหลีเอ๋ย! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้าที่เป็นแม่เลี้ยง แต่เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร! นายท่านก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้จะเป็นการทำร้ายเราทั้งตระกูล!” หลี่ซื่อคร่ำครวญ
ซูหลีกลับไม่มีท่าทีลนลานเหมือนเช่นเมื่อครู่อีก เพียงแต่ว่าใบหน้านางเรียบเฉยไร้อารมณ์ ในดวงตาดำสนิทนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง นางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเยือกเย็น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเช่นนี้ อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย”
ต่อให้โง่งมสักเท่าไหร่ นางก็รู้แก่ใจว่าคราวนี้ที่หลี่ซื่อร้องไห้คร่ำครวญก็มุ่งโจมตีนาง แถมยังเลือกเอาเวลาในตอนที่รอบบริเวณมีคนจำนวนมากเช่นนี้ จะให้วางใจอะไร แค่ดูก็รู้แล้ว
“เจ้า! เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าที่ทำเช่นนี้ จะเดือดร้อนพวกเราทั้งตระกูล! ซูหลีเจ้าเป็นผู้หญิง ทำไมต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายไปเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ แล้วยังรับราชการอีก!”