เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เธอยิ้มพลางพยักหน้าแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ น่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านค่ะ” 

 

 

หญิงวัยกลางคนมองเธอด้วยความไม่วางใจแวบหนึ่ง แต่ก็ยอมเดินจากไปแต่โดยดี 

 

 

ในต่างประเทศยังมีคนที่มีมิตรจิตมิตรใจอยู่มาก ไม่เหมือนกับในประเทศที่นับวันคนในสังคมจะเย็นชาต่อกันมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นคนไม่สบายจึงมักจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ 

 

 

แต่ไม่รู้เพราะอะไร ถึงที่นี่จะดีกว่า แต่เธอยังคงรู้สึกคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศตัวเอง และแน่นอน รวมถึงเขาด้วย 

 

 

เธอเม้มริมฝีปากแน่น ในสมองคิดถึงแต่เรื่องราวในอดีตมากมายไปตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงห้องพักของตัวเอง 

 

 

เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทันใดนั้น เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกลับบ้านมือเปล่าเพราะลืมซื้อของกลับมาด้วย 

 

 

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าขอเพียงแค่เธอพบเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ้นหยวน ในสมองเธอก็จะมีแต่ขี้เลื่อยทันที ไม่ว่าจะเป็นสติสัมปชัญญะหรือความนึกคิดต่างๆ ล้วนตีกันจนสับสนยุ่งเหยิงไปหมด 

 

 

เธอย่อตัวลงเปิดตู้เย็นใบเล็กออก ในตู้เย็นเหลือเพียงไข่ไก่ไม่กี่ฟอง ผักใบเขียวหนึ่งกำและบะหมี่อีกครึ่งซอง ตอนนี้เธอขี้เกียจเดินลงไปข้างล่างแล้ว ท่าทางเธอคงต้องต้มบะหมี่กินประทังชีวิตไปก่อนแล้วล่ะ 

 

 

เธอยืดตัวตรงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องรับแขกอีกครั้ง คราวนี้เธอกะจะเข้าไปท่องเว็บเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานวันพรุ่งนี้ 

 

 

แต่เธอท่องเว็บได้เพียงครู่เดียวก็ไพล่คิดไปถึงจิ้นหยวนแทนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่? หรือว่าตระกูลจิ้นเตรียมจะบุกตลาดเสื้อผ้าในประเทศ? ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดไหนกันนะ ถึงทำให้ท่านประธานใหญ่แห่งจิ้นซื่อ กรุ๊ป มาปรากฎกายที่นี่ได้ 

 

 

หรือว่า… 

 

 

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเธอเงียบๆ แต่เธอต้องรีบสลัดความคิดนั้นออกจากสมองทันที จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ถ้าเขาอยากจะออกตามหาเธอด้วยตัวเอง เขาคงออกตามหาเธอเองตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมต้องรอให้เวลาผ่านไปนานหลายเดือนแบบนี้ด้วย? 

 

 

เฉียวซือมู่หนอเฉียวซือมู่ เธอสำคัญตัวผิดไปแล้ว 

 

 

แต่ว่า… หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แล้วเขามาที่นี่ทำไม? 

 

 

เธอนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟา ร่างกายผอมบางของเธอแทบจะฝังเข้าไปในโซฟาตัวใหญ่อยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ยังคงกัดริมฝีปากล่างแดงระเรื่ออย่างใช้ความคิด 

 

 

ขณะที่เธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น พลันเสียงกริ่งดังขึ้น เธอรีบยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถืออย่างอัตโนมัติ แต่กลับพบว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือดำสนิทไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ 

 

 

เธอชะงักเล็กน้อย เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงกริ่งยังคงดังไม่ขาดสาย เธอเพิ่งได้สติว่านั่นมันเสียงกริ่งประตูบ้านนี่นา 

 

 

หรือว่าจะเป็นคริส? แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมานี่นา หรือว่าเขาอยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าเธอโกหกหรือเปล่า? 

 

 

เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตูพลางส่งยิ้มให้แขกผู้มาเยือน “คริส คุณ…” 

 

 

เธอยืนนิ่งตะลึงค้าง เสียงเธอขาดหายในฉับพลัน เธออ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเริ่มสั่นเทา “คุณ… คุณ…” 

 

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูยิ้มสดใส แต่ในดวงตากลับมีเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ “ที่รัก ผมมารับคุณกลับบ้านแล้ว” 

 

 

เขาเอ่ยจบแล้วแต่กลับไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากเธอเลยสักนิด สีหน้าเขาไม่พอใจเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มอันตรายออกมา เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้มเลยสักนิด “ดูเหมือนคุณจะไม่ยินดีต้อนรับผมเลยนะ?” 

 

 

ในที่สุดเธอก็ได้สติ เธอยกมือขึ้นจะปิดประตู แต่กลับถูกเขาที่เตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้วดันประตูเอาไว้ “ทำไม นี่คุณคิดจะกันไม่ให้ผมเข้าไปอย่างนั้นเหรอ?” 

 

 

เขาจ้องมองเธอนิ่ง แววตาสลับซับซ้อนยากจะคาดเดาราวกับมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่นคำที่อยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาจ้องจนเฉียวซือมู่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ได้แต่พยายามใช้แรงปิดประตูท่าเดียว 

 

 

แต่แรงเธอน้อยอย่างกับแมว มีหรือที่จะสู้แรงของเขาได้ แววตาของเขาลึกล้ำ แต่มือของเขากลับไม่ออมแรงสักนิด เพียงไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายเปิดประตูออก จากนั้นเดินอกผายไหล่ผึ่งเข้าไปในห้อง ท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก เธออยากจะขัดขวางเขาใจจะขาดแต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ 

 

 

ในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้  ได้แต่มองดูเขาเดินเข้าไปในห้องตาละห้อย เขากวาดสายตาเดินดูทุกอย่างในห้องของเธออย่างละเอียดราวกับกำลังเดินอยู่ในห้องของตัวเองอย่างไม่เกรงใจสักนิด 

 

 

 เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “จิ้นหยวน คุณหาฉันเจอได้ยังไง?” 

 

 

จิ้นหยวนหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆ ขึ้นมา ได้ยินคำถามของเธอแล้วชะงักมือเล็กน้อย จากนั้นตอบไม่ตรงคำถาม “หลายเดือนมานี้คุณพักอยู่ในห้องโทรมๆ ที่เล็กเท่ารูหนูนี่เหรอ? หือ?” 

 

 

คำพูดดูถูกของเขาทำให้ใบหน้าที่ไม่รักดีของเธอแดงแจ๋ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว เพราะฉะนั้น เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก” 

 

 

ก้อนเนื้อในอกเธอสั่นอย่างรุนแรง เธอมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยของเขาแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เพื่อให้เขาปลอบใจ แต่ความคิดพวกนั้นมลายหายไปในฉับพลันเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดลงบนศีรษะยามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขากลายเป็นสามีของหญิงอื่นไปแล้ว 

 

 

จิ้นหยวนหันกลับมามองเธอนิ่ง “จบแล้วงั้นเหรอ? ไม่เกี่ยวข้องกันอีกงั้นเหรอ? คำพูดพวกนี้คุณพูดเองเออเองคนเดียวทั้งนั้น ผมไม่เคยตกลงด้วยสักคำ” 

 

 

ดูเหมือนคำพูดของเธอจะยั่วโทสะเขาเข้าให้แล้ว หรือบางทีเขาอาจจะซ่อนเพลิงโทสะที่รอวันปะทุเอาไว้ในใจมาโดยตลอด เขาจ้ำเท้าพรวดเดียวไปอยู่ตรงหน้าเธอ มองลงมาจากเหนือศีรษะเธอราวผู้เหนือกว่า เขายื่นมือจับคางเล็กๆ ของเธอเอาไว้แน่น บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “คุณมันคนไม่มีหัวใจ ผมรับปากคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมันจบลงไปแล้ว? แล้วคุณยังกล้าหนีผมไปอีก?”