“ฉันนอนโซฟาดีกว่า!”
เมื่อเห็นเย่เทียนเดินลงจากเตียงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ซูเหมยอารมณ์หม่นหมองลง
หรือฉันไม่เข้าตาคุณเลยเหรอ?
เย่เทียนไม่รับรู้ความในใจของซูเหมย ไม่นานนักก็เจอผ้าห่มและหมอนในตู้เสื้อผ้าและนำไปตั้งไว้ที่โซฟา
“นอนเถอะ”
เย่เทียนยิ้มและกล่าวกับซูเหมย
ซูเหมยถึงได้สติกลับมา และมองเขาด้วยสายตาซับซ้อนถึงขีดสุด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นและปิดไฟ
ไม่นานนักทั้งห้องก็ตกสู่ความเงียบ
ซูเหมยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเพราะนอนไม่หลับ รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนเย่เทียนเองจริงๆแล้วก็ยังไม่หลับ เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังเขามาถึงจ๊กกลาง ตั้งแต่เขามาอยู่ที่จ๊กกลาง เขาพอจะรู้ถึงลำดับอิทธิพลของที่นี่แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด มีความเป็นไปได้สูงเลยว่าเหมืองหยกจะมาอยู่ในมือเขา
แน่นอนว่าใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอะไรผิดพลาด
ที่เขาสัมผัสมานั้นล้วนแต่เป็นอิทธิพลที่เผยให้เห็นที่เปลือกนอก จะมีผู้อื่นหมายตาในที่ลับอยู่หรือไม่นั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่ทราบได้
“ช่างเถอะ เลิกคิดดีกว่า ถึงเวลานั้นก็จะรู้เอง”
เย่เทียนคิดในใจ
“เย่เทียน!”
ทว่าในเวลานั้น มีเสียงเรียกเขาดังมา
เย่เทียนหันไปมอง
แม้ว่าตอนนี้ปิดไฟอยู่ แต่สายตาของเย่เทียนแตกต่างจากคนปกติ กลางคืนสำหรับเขาก็เหมือนกลางวัน ปราดเดียวก็เห็นซูเหมยที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงกำลังมองมาทางเขา
“เกิดอะไรขึ้น? นอนไม่หลับเหรอ?”
เย่เทียนถาม ซูเหมยที่นอนอยู่บนเตียงส่ายหัวเล็กน้อย เธอลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณขึ้นมานอนบนเตียงมั้ย?”
“นอนบนเตียง?”
เย่เทียนผงะ หรือว่าเธอคิดได้แล้ว?
“คุณ คุณอย่าคิดมากนะ ฉันแค่รู้สึกว่าเตียงนี้ก็ใหญ่โต ยังไงซะคุณก็เป็นแขก ให้คุณนอนบนโซฟาออกจะเกินไปหน่อย”
ซูเหมยรีบอธิบายอย่างร้อนรน
เย่เทียนได้ยินแบบนี้แล้วหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงความสับสนในใจของซูเหมย แต่ในเมื่อคนสวยพูดเช่นนั้นแล้ว ถ้าเขายังไม่ตกลงออกจะไม่เป็นสุภาพบุรุษไปหน่อย!
ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและไปนอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
ซูเหมยบอกว่านอนก็หมายความว่าให้เย่เทียนขึ้นมานอนเท่านั้นจริงๆ
เย่เทียนก็ไม่ฝืนใจเธอ และไม่ได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งใดๆ เขาได้กลิ่นหอมจางๆจากตัวซูเหมยแล้วรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
“นอนเถอะ”
ซูเหมยพยายามข่มอารมณ์ประหลาดในใจ หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปอีกทางและไม่มองเย่เทียนอีก
“ฉันทำแบบนี้แย่ยิ่งกว่าเดรัจฉานอีกใช่มั้ยเนี่ย?”
เย่เทียนลูบจมูกและหัวเราะเฝื่อนๆอย่างอดไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก กลิ่นหอมจางๆอันเป็นเอกลักษณ์ของซูเหมยโชยเข้าจมูกทุกลมหายใจ ในไม่ช้าเขาก็หลับไปเสียสนิท
คืนนี้ เย่เทียนหลับลึกมาก
หลังจากตื่นขึ้นมาก็พบว่ารุ่งเช้าแล้ว เขาหันไปมองด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ และเห็นว่าคนงามบนเตียงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ ทว่าไม่มีร่องรอยของคนงาม
“คงไม่ใช่ว่าเขินและไม่กล้าสู้หน้าฉันหรอกนะ?”
เย่เทียนหัวเราะในใจ และลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำอย่างฉับไว
ไม่รอให้เย่เทียนล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาฉับพลัน
เขาหยิบมือถือขึ้นมาดูกลับเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่เย่เทียนก็ยังกดรับสาย
“เย่เทียน?”
หลังจากต่อสายเรียบร้อย เสียงใสแจ๋วประหนึ่งนกกระจิบของฮั่วยั่นจือก็ดังมาทันที
“ฉันเอง โทรหาฉันทำไมแต่เช้า?”
สีหน้าเย่เทียนประหลาดขึ้นมาทันใด เขาไม่ได้ถามคำถามโง่ๆอย่างเธอรู้เบอร์ฉันได้ยังไง
ด้วยคำอธิบายจากซูเย่าหมิง เขาพอจะรู้จักตระกูลฮั่วบ้างแล้ว และรู้ว่าเรื่องแค่นี้สำหรับฮั่วยั่นจือไม่ได้ยากเท่าไหร่
“เมื่อวานนายรับปากฉันแล้วว่าจะมาประลองกับฉันที่เขาวั่วหลง”
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้ว ฮั่วยั่นจือไม่เปลืองน้ำลายและยิงตรงเข้าประเด็น
“เช้าขนาดนี้เลยเหรอ?”
เย่เทียนชะงัก
“ก็เพราะต้องเช้าหน่อยนั่นแหละ”
ฮั่วยั่นจืออธิบาย “สถานการณ์ที่เขาวั่วหลงซับซ้อนนิดหน่อย ฉันจะบอกนายอย่างนี้แล้วกัน เส้นทางขึ้นเขาเขาวั่วหลงมีหมอกและทำให้รถลื่นเอาได้ง่ายๆ หากเลยเวลาไปเขาวั่วหลงก็ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว”
“สรุปก็คือประโยคเดียวเลย ถ้านายไม่มาฉันจะไปหานายที่ตระกูลซูเอง!”
“ได้ๆๆ ฉันไป ฉันไปโอเคมั้ย”
เย่เทียนส่ายหัวอย่างอ่อนใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธฮั่วยั่นจือ
ในเมื่อเมื่อวานรับปากเธอแล้ว ก็ต้องทำตามที่พูด ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าลูกผู้ชายได้ยังไง?
เมื่อเย่เทียนเดินออกจากห้องก็ค้นพบอย่างแปลกใจว่าทุกคนในตระกูลซูไม่อยู่กันเลย เหลือเพียงคนรับใช้เก่แก่อย่างน้าฟางที่ทำความสะอาดห้องรับแขกอยู่
หลังจากคุยกับน้าฟางแล้วเย่เทียนถึงรู้ว่าซูหงจวินมีนิสัยชอบวิ่งตอนเช้า ป่านนี้กำลังไปวิ่งตอนเช้ากับซูเหมยอยู่ข้างนอก
เย่เทียนจึงไม่ได้กินแม้แต่อาหารเช้า และฝากน้าฟางบอกให้หน่อย ก่อนจะขับรถมุ่งหน้าไปที่เขาวั่วหลง
“ฮั่วยั่นจือคนนี้น่าสนใจจริงๆ”
เย่เทียนขับออดี้R8ไปตามถนน และอดรำพึงในใจไม่ได้ ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มแฝงนัย
ในตอนนั้นเอง จู่ๆมือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นเฉินหวั่นชิงที่โทรมา
เท่าที่เขาจำได้ เฉินหวั่นชิงเหมือนจะไม่เคยเป็นฝ่ายโทรหาเขาก่อนเลย
บัดนี้มาเห็นภาพนี้แล้วเขาอดคลี่ยิ้มไม่ได้ เขารับสาย เสียงไพเราะของเฉินหวั่นชิงดังเข้ามา
“เย่เทียน คุณทำอะไรอยู่เหรอ?”
“ไม่ได้ทำอะไรนี่”
เย่เทียนตอบโดยไม่คิดอะไร ราวกับได้ยินความผิดปกติจากเสียงของเธอ เขาอดแซวไม่ได้ “ทำไมเหรอ จู่ๆถึงโทรมาหาผม คงไม่ใช่เพราะคิดถึงผมใช่มั้ย?”
“ใคร ใครคิดถึงคุณ คุณอย่าพูดเหลวไหลนะ!”
เฉินหวั่นชิงตอบด้วยความลนลานเล็กน้อย “ฉันแค่อยากจะถามคุณเรื่องที่ห้าสิบล้านนั้นเข้าบัญชีแล้วหรือยัง”
“เข้าแล้ว และใช้เกือบหมดแล้วด้วย”
เย่เทียนได้ฟังก็ไม่ได้จี้ใจดำต่อ เขาตอบอย่างไม่คิดอะไร
“ใช้ไปเกือบหมดแล้วเหรอ? ทำไมคุณถึงใช้เงินเก่งแบบนี้ล่ะ?” เฉินหวั่นชิงเซ็งขึ้นมาในทันใด คิดดูสิว่าบริษัทของเธอหนึ่งปีมีรายได้เท่าไหร่เอง อย่างมากสุดก็ไม่ถึงสองร้อยล้าน!
ถ้าไม่ใช่ว่าช่วงก่อนได้กำไรมากกว่าพันล้านด้วยความช่วยเหลือของเย่เทียน เธอจะยอมโอนเงินไปให้เย่เทียนอย่างใจกว้างถึงห้าสิบล้านได้ยังไง
แต่เขานี่สิ นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าไหร่เอง พริบตาเดียวก็ใช้ไปเกือบหมดแล้ว ต้องใช้เงินเก่งขนาดไหนกัน!
“แค่กๆ เงินที่ผมใช้ไปมีประโยชน์ทั้งนั้น”
เย่เทียนไอแห้งๆ นึกในใจว่าตัวเองนี่ใช้จ่ายเงินดุดันไปหน่อยจริงๆ แต่เงินที่เขาใช้นั้นสร้างมูลค่าเกินกว่าที่ใช้ไป ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีวัสดุยาที่ดีแล้ว เขาใช้เงินที่เหลือหมดด้วยอย่างแน่นอน
เฉินหวั่นชิงพูดเซ็งๆ “ช่างเถอะ ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของคุณ แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ทำไมเหรอ มีเรื่องสำคัญอะไรมั้ย?” เย่เทียนถามอย่างแปลกใจ
“เปล่า ฉันแค่ถามดู ไม่คุยแล้วนะ ฉันยังมีงานต้องทำ”
พูดจบเฉินหวั่นชิงไม่รอให้เย่เทียนตอบกลับมาก็วางสายไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงตัดสายดังมาจากโทรศัพท์ เย่เทียนอดส่ายหัวและหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก และเก็บมือถือไป…..