บทที่ 424 ลูเซียนคำราม
แสงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์แทรกคัวผ่านกลุ่มเมฆหนาลงมา ผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาและตกกระทบกับแผนที่ทางโหราศาสตร์ที่แขวนไว้บนผนังห้องทำงาน รัศมีแสงสีเหลืองนวลทำให้พื้นที่นั้นอบอุ่นและเป็นกันเอง

ซาแมนธา ลูกศิษย์ของนีชกา ยังคงมีสีหน้าว่างเปล่าคล้ายแบบที่ว่า ‘เจ้ายังติดค้างหนึ่งหมื่นคะแนนอาร์คานากับข้า’ แบบเดิม “อาจารย์ ท่านจะเข้าร่วมการประชุมในวันพรุ่งนี้หรือไม่เจ้าคะ”

“แน่นอน ทำไมจะไม่ไปเล่า!” นีชกายังค่อนข้างหัวเสีย “ข้าจะสั่งสอนลูเซียน อีวานส์ ให้หนักเลยเชียว! ขยะชิ้นนี้ไม่ควรจะส่งมาที่ศูนย์อีกเป็นอันขาด!”

ซาแมนธาพยักหน้านิดๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากโทสะของอาจารย์

“ข้าจะบอกให้คนขับรถม้าเตรียมตัวออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้และห้ามสายอีกเจ้าค่ะ”

จากนั้นนางจึงหยิบกองเอกสารและออกไปจากห้องทำงาน ทิ้งนีชกาที่ยังคงเดือดดาลให้จดจ้องรายงานกับความเห็นจากลูเซียนอยู่ตามลำพัง

ภายในคฤหาสน์ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ มิลินากำลังยืนอยู่หน้ากระจกสำหรับแต่งตัว มองใบหน้าของตนด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ ที่ปลายเท้าของนางมีเศษกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กองอยู่ นางกดเสียงต่ำขณะพึมพำ “ลูเซียน อีวานส์…”

ในสายตานาง เรขาคณิตหอคอยเป็นเพียงเรขาคณิตระบบเดียวในโลกและมันหาได้มี ‘เรขาคณิตระบบใหม่’ ที่มีความแตกต่างไปจนถึงแก่น มันชัดเจนที่ว่ารายงานของเลฟสกีนั้นเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดอันโง่เง่า เพราะว่ามันขัดแย้งกับความเป็นจริงบนโลกนี้ ถ้วยคำดีๆ มากมายที่ลูเซียน อีวานส์ ใช้เรียกรายงานฉบับนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด สิ่งที่ลูเซียน อีวานส์ พยายามทำอยู่คือการทำให้ผู้คนสับสนจากถูกเป็นผิด เพื่ออำพรางมูลวัวเป็นครีมสด!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้ลูเซียนกำลังตบหน้านางอยู่ และยังเป็นการทำให้จอมเวทแห่งหอคอยผู้ศึกษาคณิตศาสตร์ทั้งหมดอับอาย เพราะความสำเร็จในวงการคณิตศาสตร์นั้นแทบไม่เคยได้รับการชื่นชมมากเท่านี้มาก่อน แม้แต่ความสำเร็จของนางในด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้นางได้รับรางวัล ‘คทาอาร์คานา’ ก็ยังไม่เคยได้รับความเห็นเยินยอสูงส่งเช่นนี้!

มิลินาเดินผละห่างจากกระจก ตรงไปหาชั้นหนังสือแล้วดึงรายงานการวิจัยที่เคยตีพิมพ์ออกมา เมื่อรวมมุมมองต่างๆ เข้าด้วยกัน นางก็เขียนรายงานฉบับใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางเขียนเสร็จนางจึงได้เขียนหัวข้อว่า ‘บนเส้นขนาน’

ในฐานะนักโหราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ผู้เคร่งครัด นางไม่เคยต่อสู้โดยไม่เตรียมความพร้อม!

ส่วนผู้ทรงอิทธิพลที่เหลือซึ่งได้รับและอ่านรายงานกับความเห็นทั้งหมดแล้ว พวกเขาต่างมีความคิดเหมือนกับนีชกาและมิลินา ในตอนที่รายงานของเลฟสกีส่งมาเป็นครั้งแรก พวกเขาเองก็มีส่วนในการวิจารณ์จอมเวทผู้น่าสงสารคนนี้อย่างรุนแรง

ยามเช้าตรู่ ม่านหมอกที่ปกคลุมมาหลายวันในที่สุดก็เลือนหายไป ขณะนี้ท้องฟ้าดูแจ่มใสอย่างยิ่ง

ขณะยืนอยู่หน้ากระจก ลูเซียนจัดเสื้อสูทกระดุมสองแถวสีดำ เสื้อเชิ้ต และเสื้อกั๊กสีเหลืองอ่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย หลังจากตรวจดูรูปลักษณ์ของตนว่าดูสุภาพเหมาะสมดี ลูเซียนก็แย้มยิ้มและเอ่ยกับตนเองว่า “วันนี้นายต้องเปลี่ยนสไตล์นะ”

จากนั้นเขาก็นำแหวนเวทธาตุ อิเล็กตรอน และต้นกำเนิดมาสวมลงบนนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อยตามลำดับ แสงและสีสันของสีม่วงกับสีน้ำเงินแผ่ออกมาเสริมรัสมีให้แก้กัน ทำให้แหวนทั้งสามยิ่งดูชวนฝันและสะดุดตากว่าเดิม

หลังจากนั้นลูเซียนก็นำเหรียญตราอาร์คานาที่มีดาวสีเงินหกดวงกับเหรียญตราสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งมีรูปมือถือปากกาขนนกออกมา และติดมันบนอกซ้าย

ในขณะเดียวกัน บนอกด้านขวาของลูเซียนนั้นมีลวดลายโดดเด่นของบัลลังก์หรูที่ค้ำยันด้วยกระดูกมากมาย ลวดลายนี้เกิดจากการที่ลูเซียนเปลี่ยนเสื้อคลุมเวทมนตร์จากรางวัลบัลลังก์นิรันดรให้เป็นเสื้อสูทตัวนี้นั่นเอง

แม้ว่าสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาส่วนใหญ่จะเคยชนะรางวัลสูงสุดในแต่ละศาสตร์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญสักครั้งหรือสองครั้ง แต่กรณีอย่างลูเซียนที่ได้รับรางวัลทรงอิทธิพลที่สุดในศาสตร์สามแขนงแตกต่างกัน และยังได้รับแหวนในรางวัลเดียวกันมาแล้วหลายวงก็ยังพบได้ยากมาก นอกเหนือจากเฟอร์นันโดแล้ว ในหมู่ผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ผู้ที่เก่งกาจที่สุดก็ยังเคยได้รับรางวัลเพียงสองครั้งเท่านั้น ดังนั้นลูเซียนอาจทำให้พวกเขารู้สึกกดดันไม่น้อยจากการแสดงความสำเร็จทั้งหลายของเขา ปัญหาเดียวก็คือลูเซียนไม่เคยชนะรางวัล ‘คทาอาร์คานา’ ซึ่งเป็นรางวัลทรงอิทธิพลทางด้านคณิตศาสตร์

เมื่อตรวจดูรูปลักษณ์ตนในกระจกอีกครา ลูเซียนก็หยิบหมวกทรงสูงสีดำของเขาออกมาจากที่แขวนแล้วสวมมันขณะเดินออกจากบ้านพัก

เขาเดินผ่านถนนมากมาย เข้าไปในหอคอยเวทมนตร์สำนักงานใหญ่ของสภาเวทมนตร์ เดินเข้าลิฟต์ และขึ้นไปยังชั้นสิบห้า ลูเซียนมาถึงหน้าห้องประชุมด้วยฝีเท้าเอื่อยเฉื่อยสบายๆ

“ท่านอีวานส์?”

ในตอนที่อีวานส์กำลังจะผลักประตูห้องประชุมเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของชายผู้หนึ่งเรียกชื่อเขา

เมื่อหันไป ลูเซียนก็เห็นชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับระเบียงด้านนอก ดูท่าทางไม่สบายใจและกระสับกระส่าย เสื้อคลุมเวทมนตร์ที่เขาสวมอยู่ค่อนข้างเก่าและล้าสมัย มีควันสายหนึ่งลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากบุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วของเขา

“ท่านเลฟสกี?” ลูเซียนรู้ได้ทันทีว่าชายวันกลางคนผู้นี้คือตัวละครหลักในวันนี้ “ทำไมท่านถึงยังอยู่ตรงนี้ล่ะขอรับ”

เลฟสกีเสยผมยุ่งๆ ด้วยมือหนึ่งพลางส่งยิ้มขื่นมาให้ “ทันทีที่ข้าเข้าไปในนั้น สมาชิกคณะกรรมการทั้งหกคงจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ข้าในทันที ข้าจึงรออยู่ข้างนอกนี้ และ… ก็แบบว่า สงบจิตใจลงสักหน่อยน่ะขอรับ”

เมื่อเทียบกับเลฟสกีผู้เฉื่อยชาและเก็บตัวจากเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เลฟสกีในวันนี้ดูเปี่ยมไปด้วยกำลังใจและความมั่นใจกว่ามาก ในตอนนี้เขาสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างไม่ติดขัด

ลูเซียนเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย จึงส่งยิ้มอ่อนโยนให้ “เช่นนั้น ท่านพร้อมหรือยัง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเย็นชา การโจมตี และคำถากถาง และแสดงให้พวกเขาเห็นถึงเรขาคณิตระบบใหม่ของท่านน่ะขอรับ”

เลฟสกีนิ่วหน้า ราวกับถูกความเจ็บปวในความทรงจำเข้าเล่นงาน เขาเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจที่น้อยลง “ข้าพร้อมแล้วขอรับ… แต่พวกเขา… ข้าเคยนำเสนอผลงานของข้าต่อหน้าจอมเวทคณิตศาสตร์ทั้งหมดจากหอคอยมาแล้ว นั่นเป็นครั้งแรก… และไม่มีผู้ใดเชื่อข้าเลย มันไม่มีการพูดคุยติดตามผลหลังจากนั้น และทุกคนก็มองข้าด้วยความเมินเฉย ความเขลา คำวิจารณ์ และเสียงหัวเราะเยาะหยัน ข้าเกรงว่าในภายหลังท่านจะต้องทุกข์ทรมานไปกับข้าด้วย ท่านอีวานส์”

“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน และในเรขาคณิตระบบใหม่ของท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่กลัว” ลูเซียนตอบเลฟสกีอย่างจริงใจ

เลฟสกีกลับมาร่าเริงอีกครั้ง เพราะในที่สุดเขาก็พบคนหนึ่งคนบนโลกนี้ที่เข้าใจความอุตสาหะและงานของเขา “ท่านอีวานส์ ขอบพระคุณท่านอย่างมาก ท่านคือคนแรกที่ยินดียอมรับเรขาคณิตระบบใหม่ของข้า ไหนจะคำชมเชยแสนสูงส่งที่ท่านมอบให้ข้าอีก แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่คิดพรรณนารายงานของข้าด้วยคำเหล่านั้น… มันมีความหมายต่อข้ามากจริงๆ ขอบคุณ ขอบคุณขอรับ…”

เลฟสกีได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาคณิตศาสตร์และอาร์คานาศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงไม่เก่งเรื่องสำนวนโวหารสักเท่าใด จึงทำได้เพียงแสดงความซาบซึ้งต่อลูเซียนด้านการพูดว่า ‘ขอบคุณ’ ซ้ำไปซ้ำมา

ในตอนนั้น เฟอร์นันโดที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงยาวจรดพื้นก็มาถึงและบอกให้ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง

“อรุณสวัสดิ์ขอรับอาจารย์ ขอบคุณที่มานะขอรับ” เมื่อเห็นว่าเลฟสกีนั่งลงแล้ว ลูเซียนจึงหันไปทักทายเฟอร์นันโด

เฟอร์นันโดแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแบบที่เขามักทำเวลาถกเรื่องจริงจัง “ข้าได้อ่านรายงานของเขาแล้ว แม้ว่าเรขาคณิตของเขาจะขัดแย้งกับโลกที่สามารถรับรู้ได้โดยตรง มันก็ยังน่าสนใจไม่น้อย ดูน่าสนุกดี”

เจ้าแห่งพายุไม่เคยชมผู้ใดตรงๆ

ภายในห้องประชุม มีสมาชิกคณะกรรมการท่านอื่นนอกเหนือจากลูเซียนอีกหกคน เมื่อเทียบกับศาสตร์แขนงอื่นที่มักจะมีคนประมาณสิบห้าสิบหกคน การประชุมทางคณิตศาสตร์นั้นถือว่าเล็กกว่ามาก

จอมเวทคณิตศาสตร์นั้นมีไม่มากเท่าสำนักอื่น สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาหลายคนเชี่ยวชาญศาสตร์เวทมนตร์มากกว่าหนึ่งแขนง ดังนั้นจึงเข้าร่วมการประชุมได้หลายที่ เช่น ลูเซียนสามารถไปร่วมการประชุมของเวทธาตุและอุณหพลศาสตร์ ทว่า จอมเวทส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยากเจาะลึกทางด้านคณิตศาสตร์เพราะมองว่ามันเป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งปัญญาหรือพัฒนาเวทมนตร์ได้โดยตรง ดังนั้น มีเพียงสมาชิกคณะกรรมการเพียงเก้าคนเท่านั้นที่จะพิจารณารายงานการวิจัยทางด้านคณิตศาสตร์

“ท่านอีวานส์ ข้ามีนามว่านีชกา”

นีชกาผู้สวมหมวกทรงแหลมสีเทาทักทายลูเซียนด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม ทว่า เมื่อเขามองเห็นลวดลายบนเสื้อสูทและแหวนสามวงบนนิ้วลูเซียน คิ้วอันขาวโพลนของเขาก็พลักระตุกเล็กน้อย และโดยไม่รู้ตัว เขายกคทาสีดำหน้าตาลึกลับในมือขึ้นโบกเบาๆ

มิลินาและสมาชิกที่เหลือในห้องต่างก็ยืนขึ้นทักทายลูเซียน แม้ว่าพวกเขาจะหาได้รู้สึกกระตือรือร้นไม่ พวกเขาก็ยังคงรักษามารยาท อย่างไรเสีย เฟอร์นันโดผู้โด่งดังในเรื่องความอารมณ์ร้ายและโทสะที่ไร้ปราณีก็อยู่ที่นี่ด้วยในวันนี้ และเขายังเป็นอาจารย์ของลูเซียนอีกด้วย มิมีผู้ใดอยากจะโดนตะคอกใส่ด้วยความเดือดดาลในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการ

ลูเซียนเองก็ตอบกลับตามมารยาท เขาสังเกตเห็นว่าสมาชิกห้าในหกคนมาจากองค์กรหอคอย พวกเขาต่างสวมหมวกทรงแหลมสีเทาเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงสตรีทั้งสองนาง ลูเซียนรู้สึกว่าหมวกทรงนี้ค่อนข้างน่าขันไม่น้อยเลย

ตามความเห็นของลูเซียน มันชัดเจนมากที่หมวกทรงนี้ไม่เหมาะกับเหล่าสตรีเลยสักนิด ตรงโต๊ะตัวยาว เขาตั้งใจนั่งฝั่งตรงข้าม หันหน้าไปเผชิญกับสมาชิกทั้งหกโดยตรง

เฟอร์นันโดเกลียดการพูดคุยให้เสียเวลา เขาจึงกล่าวเข้าเรื่องในทันที “เพราะท่านนีชกา ท่านหญิงมิลินา และท่านอีวานส์มีความคิดเห็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับรายงาน ‘หลักการใหม่ของเรขาคณิตพร้อมกับทฤษฎีเส้นขนานฉบับสมบูรณ์’ เขียนโดยเลฟสกี เราจึงได้จัดการประชุมเล็กขึ้นในวันนี้ อันดับแรก เลฟสกีจะอธิบายเนื้อหาในรายงานของเขาให้เราฟัง สมาชิกคณะกรรมการทุกท่านสามารถยกมือถามคำถามได้ทุกเมื่อ”

เลฟสกีหยิบรายงานของตนขึ้นมาและเดินไปยังแท่นเวทมนตร์เล็กๆ ทางด้านหน้าอย่างเงียบงัน ทว่า เพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็สะดุดขาเก้าอี้ ทำให้เกิดเสียงดังตึงตังและเกือบจะล้มหน้าคว่ำ

นีชกา มิลินา และสมาชิกคณะกรรมการท่านอื่นต่างยิ้มหยัน ใบหน้าของเลฟสกีพลันเห่อร้อน

หลังจากบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง เลฟสกีก็ฉายภาพงานเขียนของเขาขึ้นบนผนังโดยใช้วงแหวนเวทและเริ่มอธิบายระบบเรขาคณิตของเขา

“ขอรับ ท่านนีชกา”

การอธิบายของเลฟสกีถูกขัดโดยนีชกาเมื่อเขาพูดมาถึงข้อสรุปแรกที่ได้จากการให้เหตุผลแบบนิรนัย

นีชกาที่ถือ ‘คทาอาร์คานา’ สีดำกล่าวเสียงเรียบเย็นอย่างผู้ที่สะกดกลั้นโทสะเอาไว้อยู่ “เจ้าบอกข้ามา เหตุใดผลรวมของมุมต่างๆ จากสามเหลี่ยมจึงน้อยกว่า 180 องศา”

“มันมาจากสัจพจน์และมูลบทที่ข้ากล่าวถึง…” เลฟสกีชี้ไปที่ข้อความนั้น

นีชกาส่งเสียงขึ้นจมูก “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าหามาให้ข้าสิ”

“…” เลฟสกีพูดอะไรไม่ออก นี่คือการให้เหตุผลเชิงตรรกะเท่านั้น และมันยังไม่ได้สร้างเป็นแบบจำลองทางกายภาพ

นีชกาขบฟันกรอดแล้วเอ่ยออกมาทีละคำ ราวกับต้องการจะแสดงให้เห็นถึงโทสะภายในตัวเขา “หากว่าเจ้าหามันมาไม่ได้ ก็หมายความว่ามันขัดแย้งกับความเป็นจริง เช่นนั้นงานของเจ้าก็เป็นความผิดพลาดโดยสิ้นเชิง!”

แล้วนีชกาก็นั่งลง ไม่เปิดโอกาสให้เลฟสกีได้อธิบายอะไร

เลฟสกีหดตัวลงเหมือนกับผักกะหล่ำหนึ่งใบที่ห่อเหี่ยว แต่เขายังคงพยายามเงยหน้าเอาไว้ เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของลูเซียน พลังใจของเลฟสกีจึงกลับมาอีกครา

เฟอร์นันโดยกมือข้างหนึ่งขึ้น “พูดต่อสิ”

เลฟสกีสูดหายใจเข้าลึกและกล่าวต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มิลินาก็ยกมือขึ้น

“ขอรับ ท่านหญิง” เลฟสกีถาม เขาพบว่าตนเองตัวสั่นเทานิดๆ จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา เขาเดาได้เลยว่าต่อไปจะเป็นคำถามอะไร

มิลินาจดจ้องไปที่ชายวัยกลางคนขณะถือ ‘คทาอาร์คานา’ ที่ฝังด้วยอันญมณีคล้ายดวงดารามากมายในมือ นางแย้มยิ้มเย็นเยียบ “เอาล่ะ เลฟสกี บอกข้ามาว่า เหตุใดเส้นตั้งฉากหนึ่งเส้นถึงมักจะไม่ตัดกับเส้นเฉียงกันเล่า”

“มันก็มาจากการให้เหตุผลก่อนหน้านี้เช่นกัน…” เลฟสกีเอ่ยด้วยท่าทางมั่นใจน้อยลง ลูเซียนอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ นี่คือช่วงเวลาที่เลฟสกีควรจะแสดงความมั่นใจและทัศนคติที่หนักแน่นสิ!

มิลินาหยิบกองกระดาษตรงหน้าขึ้นมา รอยยิ้มของนางหายไป ก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นว่า “แสดงให้ข้าเห็นสิ มิเช่นนั้นก็หาแบบจำลองมา”

“ข้าหาไม่ได้…” เลฟสกีตอบตามตรง “แต่ถ้าเราดูตามตรรกะนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ”

“นี่คือปัญหาของเจ้า หาใช่ของข้าไม่ เราต่างอาศัยอยู่ในโลกแห่งความจริง มิใช่โลกแห่งจินตนาการของเจ้า” มิลินาวิจารณ์อย่างไร้ปราณี

จากนั้นนางก็เริ่มอ่านงานเขียนของตนเอง ซึ่งทุกบรรทัดคือข้อโต้แย้งความเชื่อที่ถูกมองว่าไร้สาระของเลฟสกี

ข้อโต้แย้งของนางเป็นดั่งกริชที่ทิ่มแทงหัวใจเลฟสกีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าของเลฟสกีซีดเผือดจนดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ

“ข้าขอจบเพียงเท่านี้” มิลินากล่าวด้วยท่าทางมิแยแส นางหันกลับไปโดยไม่เหลือบมองเลฟสกีแม้เพียงนิด ราวกับว่าเขาเป็นตัวตลกที่จงใจนำเสนอชิ้นงานที่ทำให้เกินจริงจนผิดปกติเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น

“พูดต่อไปสิ” เฟอร์นันโดบอกกับเลฟสกี

ลูเซียนส่งสายตาให้กำลังใจเลฟสกี ซึ่งทำให้ชายผู้น่าสงสารมีพลังใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าเสียงของเขาจะยังแผ่วเบาอยู่ก็ตาม

สมาชิกคณะกรรมการท่านอื่นยกมือถามเป็นครั้งคราว บางคนก็ตั้งใจบิดเบือนแนวคิดของเลฟสกีเพื่อพิสูจน์การเข้าใจผิดของเขา ในขณะที่บางคนทำตามวิธีการของมิลินาและนีชกาและคัดค้านเขาโดยยึดหลักจากชีวิตจริง เนื่องจากคำถามนี้คอยกวนใจพวกเขามานับสิบปี สมาชิกคณะกรรมการทั้งหมดจึงใช้ถ้อยคำรุนแรงเพื่อโจมตีเลฟสดีและระบบเรขาคณิตของเขาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเลฟสกีจึงซีดลงเรื่อยๆ

แต่เขาก็ยังสามารถจบการนำเสนอส่วนของเขาได้ด้วยความสุภาพ

หลังจากกลับมานั่งที่ เลฟสกีก็หลับตาลง ราวกับว่าเขามองเห็นผลลัพธ์สุดท้ายแล้ว เขาต้องยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่มีแบบจำลองใดๆ มาสนับสนุนความเชื่อของเขา แต่ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางลูเซียนอย่างขอลุแก่โทษ

“สมาชิกทุกท่านได้อธิบายมุมมองของตนในระหว่างการนำเสนอของเลฟสกีแล้ว” เฟอร์นันโดกล่าว “ทีนี้ถึงคราวท่านอีวานส์อธิบายให้เราฟังว่าเหตุใดเขาจึงเชื่อว่างานชิ้นนี้ถึงมีคุณค่าใหญ่หลวง”

ลูเซียนจัดคอปกเสื้อเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปบนแท่นด้านหน้าห้องด้วยฝีเท้าหนักแน่น พร้อมกับเอกสารปึกหนึ่งในมือ

“หากข้าเป็นท่านนะ ท่านอีวานส์ ข้าจะไม่ยืนกรานต่อไปหรอก” นีชกาโพล่งขึ้นมา “ข้าเข้าใจว่าท่านชื่นชอบทฤษฎีหักล้างมากเพียงใด แต่เราก็ยังต้องให้ความเคารพในสิ่งที่เป็นความจริงเช่นกัน”

ที่เขายังทำตัวสุภาพกับลูเซียนก็เพราะว่าลูเซียนคือลูกศิษย์ของเจ้าแห่งพายุก็เท่านั้น

ลูเซียนแย้มยิ้มและมองไปทางนีชกา “ความจริงคือสิ่งเดียวที่ข้าให้ความเคารพขอรับ”

หากตัดสินจากสีหน้าและน้ำเสียงของเขาแล้ว ก็ชัดเจนว่าสิ่งที่ลูเซียนหมายถึงคือรายงานการวิจัยของเลฟสกี

มิลินาหัวเราะขัน แต่สีหน้าของนางกลับเยียบเย็นดุจสายลมแห่งเหมันต์ “ท่านอีวานส์ ข้าขอเตือนท่านว่าท่านอาจถูกขับออกจากคณะกรรมการได้หากว่าท่านจงใจทำผิดพลาดอย่างโจ่งแจ้ง”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากจะเตือนท่านเช่นกันขอรับ” รอยยิ้มของลูเซียนนั้นอ่อนโยน แต่น้ำเสียงเขากลับหนักแน่นเผ็ดร้อน

สมาชิกคณะกรรมการทุกคนในที่นั้นรู้สึกหมือนบางอย่างในสมองพวกเขาระเบิดตูม

นี่ชายหนุ่มผู้นี้กำลังกล่าวหาพวกเขาอยู่เช่นนั้นหรือ

เฟอร์นันโดกระพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับลูกศิษย์ของตน ผู้มีท่าทีสุภาพสง่างามอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับพูดจาได้ก้าวร้าวอย่างยิ่งยวด มีบางอย่างผิดปกติ และดูเหมือนว่าใครบางคนจะมีปัญหาเสียแล้ว…

“ท่านอีวานส์ ท่านควรจะคิดวิธีการทำเรขาคณิตในจินตนาการให้กลายเป็นความจริงให้ได้เสียก่อนนะ” มาเบล สมาชิกอีกท่านซึ่งเป็นสตรีหน้าตาธรรมดาแต่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจเป็นผู้เอ่ยขึ้น หมวกทรงแหลมสีเทาที่สวมอยู่ทำให้นางดูเหมือนแม่ชีเฒ่า

ชายวัยกลางคนนามว่าซัลเกโรผู้มีผมสีดำยุ่งเหยิงเอ่ยถามเสียงเบาขณะทำหน้ายุ่ง “ท่านอีวานส์ ข้าอยากทราบจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดท่านจึงคิดว่าผลงานของเขาจะทำให้เกิดการปฏิวัติในเรื่องเรขาคณิตเหมือนอย่างที่แคลคูลัสได้เปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ ท่านจะพิสูจน์ได้อย่างไรกัน”

“ท่านไม่เคยมีผลงานทางด้านคณิตศาสตร์เลย ข้าจึงไม่เชื่อว่าท่านจะมีคุณสมบัติมากพอในการพิจารณารายงานฉบับนี้” นีชกาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

ด้วยไม่สบอารมณ์จากคำพูดของลูเซียน สมาชิกแต่ละคนจึงเริ่มแสดงอาการเกรี้ยวกราดพองขนราวกับไก่ตัวผู้

ลูเซียนยกมือข้างหนึ่งเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด “หากท่านใดสงสัยในความสามารถด้านคณิตศาสตร์ของข้า ก็เชิญท่านไปพูดคุยกับศูนย์คณะกรรมการหลังการประชุมนี้ได้เลยขอรับ”

ลูเซียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงดังกว่าเดิม “จากนี้ไป ทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายงานฉบับนี้จะต้องหายไป ทุกท่านคือสมาชิกคณะกรรมการ หาใช่เด็ก!”

การคำรามของลูเซียนอย่างฉับพลันทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

ลูเซียนกวาดตามองไปรอบๆ แล้วพยักหน้าให้เลฟสกีเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงอันดังก้องในระดับเดิม “ขณะที่ข้าพูด ห้ามถาม ห้ามขัด จะถามได้ก็ต่อเมื่อข้าจบการนำเสนอแล้ว แต่ในระหว่างที่ข้าพูด ข้าจะถามคำถามกับพวกท่าน กรุณาตอบคำถามข้าด้วยความสัตย์จริง โปรดเห็นแก่เหรียญตราสมาชิกคณะกรรมการที่ท่านติดไว้และท้องฟ้าเหนือตัวท่านด้วย!”

สมาชิกคณะกรรมการทุกท่านในที่นั้นต่างเงียบกริบและไม่อาจหาข้ออ้างใดมาปฏิเสธลูเซียนได้ ในฐานะสมาชิกคณะกรรมการ ผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ สามครั้ง และผู้ชนะรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ ลูเซียนจึงมีคุณสมบัติพอจะทำการเรียกร้องในสิ่งที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ท่าทางข่มขู่และกราดเกรี้ยวของลูเซียนก็ทำให้พวกเขานึกอยากหลีกเลี่ยงการมีปัญหากับเขา

“หากมิมีผู้ใดปฏิเสธ เช่นนั้นข้าจะคิดว่าทุกท่านยอมรับแล้ว” ลูเซียนมองไปทางอาจารย์ของตน

เฟอร์นันโดเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบๆ “เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านอีวานส์ขอ”

ลูเซียนหันกลับมาและเปิดใช้งานวงแหวนเวท ทำให้ตอนนี้มีเพียงสัจพจน์และมูลบทพื้นฐานที่สุดเท่านั้นที่ฉายอยู่

“ท่านนีชกา ข้าขอถามท่าน สัจพจน์และมูลบทเหล่านี้ผิดหรือไม่” ลูเซียนถาม

นีชกาตอบไปตามสัญชาตญาณ “มันต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง”

“ท่านนีชกา ลืมเรื่องแสงอาทิตย์ด้านนอกนั่น ลืมเรื่องโลกภายนอกไปเสีย และลืมเนื้อหาของรายงานฉบับนั้นไปด้วย บอกข้ามาตามตรงว่าถ้อยคำพวกนี้ผิดหรือไม่” ลูเซียนตะคอกเสียงดังขึ้นอีกเพื่อกดดันให้ได้รับคำตอบ

แม้จะตกตะลึงเพราะท่าทางของลูเซียน แต่นีชกาก็อ่านทบทวนอีกคราและก็พบว่ามันคือสัจพจน์ทั้งห้าจากเรขาคณิตหอคอย สี่มูลบท และข้อสันนิษฐานที่เลฟสกีนำเสนอ เขาจึงพยักหน้า “ทั้งหมดนี้ถูกต้อง แต่อย่างสุดท้ายนั่นมันไร้สาระ”

“มันคือการพิสูจน์โดยข้อขัดแย้ง ท่านไม่รู้จักการพิสูจน์โดยข้อขัดแย้งหรือ” ลูเซียนถาม น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยการตำหนิ

คิ้วขาวโพลนของนีชกากระตุกนิดๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจตอบไปว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาจึงพยักหน้า “เช่นนั้น…”

“แล้วมีใครไหม มีใครที่คิดว่าการพิสูจน์โดยข้อขัดแย้งเป็นปัญหาหรือไม่ ยกมือขึ้น!” ลูเซียนยังคงรักษาท่าทางข่มขู่วางอำนาจ ราวกับว่าเขากำลังสอนลูกศิษย์จากสำนักเวทมนตร์ที่นั่งเรียงแถวกันอยู่

สมาชิกที่เหลือต่างส่ายหน้า

จากนั้นลูเซียนก็แสดงถ้อยคำอีกหลายบรรทัดจากรายงานของเลฟสกี

“ท่านหญิงมิลินา ถ้าว่าตามตรรกศาสตร์แล้ว ท่านคิดว่าการให้เหตุผลในส่วนนี้เป็นปัญหาหรือไม่ หากยึดจากข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐานแล้ว” ลูเซียนตวัดสายตาเปี่ยมด้วยความเข้มงวดไปทางมิลินา

มิลินาเอ่ยเสียงเยาะ “มันต่างกัน ท่านไม่อาจหา…”

“ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ! ข้าบอกให้ลืมมันไปอย่างไรเล่า! คิดถึงแต่ข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐานและการให้เหตุผลแบบนิรนัยเท่านั้น! คิดถึงคณิตศาสตร์สิ!” ลูเซียนขัดจังหวะมิลินาด้วยการคำราม “บอกข้ามา! มันมีปัญหาทางด้านตรรกะหรือไม่!”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงคำรามของลูเซียน มิลินาไม่แน่ใจว่าต้องปฏิเสธเขาอย่างไร นางค่อยๆ อนุมานจากข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐานอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงส่ายศีรษะ “ไม่… หากพูดกันตามหลักตรรกศาสตร์แล้ว มันถูกต้อง ไม่มีประพจน์ที่สมมูลกัน[1] ใช้เป็นเงื่อนไขในที่นี้”

“ดี” ลูเซียนส่งสัญญาณให้มิลินานั่งลง จากนั้นจึงนำประโยคอื่นขึ้นฉายบนผนัง

“ท่านหญิงมาเบล ถ้าว่าตามตรรกศาสตร์แล้ว ท่านคิดว่าส่วนนี้มีปัญหาหรือไม่ หากยึดจากข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐานแล้ว”

ลูเซียนถามสลับกับคำรามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคอยผลักดันให้สมาชิกคณะกรรมการแต่ละท่านคิดถึงสัจพจน์ มูลบท และการให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์เท่านั้น

ยิ่งตอบคำถามของลูเซียนว่า ‘ไม่’ ซ้ำๆ สีหน้าของสมาชิกทุกท่านก็เริ่มเผือดสีลงเรื่อยๆ ในขณะที่สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบมีเหงื่อกาฬผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก เลฟสกีกลับรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ลูเซียนคำราม เขาก็จะยิ่งมั่นใจขึ้น ในระหว่างนั้น เฟอร์นันโดเพียงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

เมื่อฉายภาพสองสามประโยคสุดท้ายของรายงานบนผนัง ลูเซียนก็หันไปมองนีชกาและถามด้วยเสียงแผ่วลง “เอาล่ะ ท่านนีชกา ถ้าว่าตามตรรกศาสตร์แล้ว ท่านคิดว่าการให้เหตุผลในส่วนนี้เป็นปัญหาหรือไม่ หากยึดจากข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐานแล้ว”

นีชกากำหมัดแน่น เขาสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังหลั่งเหงื่อเย็นเต็มตัว เขากลื่นน้ำลายและไม่กล้าเอ่ยอ้างถึงโลกแห่งความเป็นจริงอีก “ไม่มี…”

“ดีขอรับ ไม่มี” ลูเซียนพึมพำขณะจ้องมองสมาชิกทั้งหกท่าน

ทันใดนั้นเอง เขาก็คำรามสุดเสียงราวกับพายุรุนแรงที่โหมกระหน่ำลงมา

“แต่ละบรรทัดไม่มีปัญหาเลย! เช่นนั้นบอกข้าทีว่าเหตุใดรายงานฉบับนี้จึงผิด!”

“บอกข้าที!”

มิลินาสะดุ้งโหยง และโพล่งตอบว่า “มันขัดแย้งกับความเป็นจริงและสิ่งที่เรารู้…”

“โยนมันออกไปจากสมองท่านเลย!” ลูเซียนคำราม “บอกข้าที ในทางหลักคณิตศาสตร์ล้วนๆ ตามหลักตรรกศาสตร์ ยึดจากข้อเสนอสนับสนุนการสรุปสมมุติฐาน ตรงไหนกันที่ผิด”

“บอกข้าที!”

นีชกา มิลินา และสมาชิกทั้งงหมดเงียบกริบ ด้วยไม่ทราบว่าควรจะตอบอย่างไร หากเป็นไปตามที่ลูเซียนพูด ว่ากันตามหลักคณิตศาสตร์ล้วนๆ แล้ว รายงานฉบับนี้ถือว่าถูกต้องทุกประการ

เลฟสกีกำหมัดแน่น ศีรษะแหงยเงยขึ้นเล็กน้อย เขาหลับตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ผสมผสานทั้งความปิติยินดี ความโศกเศร้า ความเจ็บปวด และความหวัง

ไม่ทราบอย่างไร แต่เหล่าสมาชิกภายในห้องเริ่มคิดกับตนเองในใจว่า

การคำรามของลูเซียนช่างเหมือนกับเฟอร์นันโดยิ่งนัก สมแล้วที่เขาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าแห่งพายุ บางที… คนผู้นี้อาจกลายเป็นเจ้าแห่งพายุคนต่อไปก็เป็นได้…

นั่นคือสิ่งที่สมาชิกทุกคนคิดในตอนนี้

เฟอร์นันโดส่ายหน้าและพึมพำกับตนเองด้วยความขบขัน “ข้าจำไม่ได้ว่าข้าเคยไปทำผู้หญิงท้องนะ”

เมื่อเห็นว่าสมาชิกทุกคนกำลังตะลึงงัน ลูเซียนจึงฉวยโอกาสนี้วางงานเขียนอีกชิ้นลงบนวงแหวนเวทและฉายขึ้นไปบนผนังพร้อมกับรายงานของเลฟสกี

“‘ความพยายามในการอธิบายเรขาคณิตนอกระบบหอคอย’…” มิลินาอ่านหัวข้อเสียงแผ่ว ก่อนจะอ่านเนื้อหาต่อไป

รายงานขอลูเซียนถูกนำขึ้นฉายบนผนังรอบๆ สมาชิกทุกคนทีละหน้าๆ

นีชกาลูบคิ้วพลางกล่าวอย่างสับสนมึนงง “นี่คือเรขาคณิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เขาใช้สินะ…”

มาเบลกับซัลเกโรเริ่มอ่านเช่นกัน หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ใบหน้าของทั้งสองก็ไร้สีเลือด เม็ดเหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยลงมาจากหน้าผากทั้งสอง และมือของพวกเขาก็แทบจะถือปากกาขนนกเอาไว้ไม่อยู่

“นี่มัน…!” เลฟสกีกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ราวกับเห็น ‘เทพธิดาแห่งเวทมนตร์’ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ก็คือแบบจำลองเรขาคณิตที่เขามองหาอยู่นั่นเอง! นี่คือแบบจำลอง ‘เรขาคณิตเชิงไฮเพอร์โบลา’ ที่อยู่เหนือจินตนาการและประสบการณ์ทั่วไปอย่างยิ่ง นี่คือหลักฐานที่ทรงพลังที่สุด!

เขาร้องไห้ออกมาเงียบๆ หลังจากฟันฝ่ามาหลายปี ในที่สุดเขาก็มองเห็นดวงอาทิตย์สาดแสงขึ้นบนโลก ขับไล่ความมืดมิดออกไป หลังจากฝ่าฟันมาหลายปี ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวัง!

งานเขียนของลูเซียนไม่ได้ซับซ้อนอะไร หรือให้เจาะจงกว่านั้นก็คือ มันง่ายมากๆ เพียงใช้เส้นโครงแผนที่สเตริโอกราฟิก[2] บนวงกลมหนึ่งหน่วย ลูเซียนก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรขาคณิตของเลฟสกีนั้นใช้งานร่วมกับเรขาคณิตหอคอยได้จริงๆ ดังนั้น หากว่าเรขาคณิตหอคอยมีความสมเหตุสมผล เรขาคณิตเลฟสกีก็เช่นเดียวกัน!

การอธิบายที่มาอย่างสั้นกระชับและหลักฐานแสนมหัศจรรย์ของลูเซียนนั้นแสดงให้เห็นถึงความงดงามของคณิตศาสตร์ นี่คือเรื่องที่น่าตกตะลึงพอๆ กับที่เป็นหลักฐานแน่นหนาในการโน้มน้าวใจสมาชิกคณะกรรมการทุกคน!

เลฟสกีโห่ร้องในใจ เขาคิดไม่ผิด! เขาคือผู้ที่คิดถูกมาตลอด!

ในตอนนั้นเองที่ลูเซียนเริ่มพูดอีกครา แต่เสียงของเขากลับแผ่วเบานุ่มนวลลง “ดังที่ทุกท่านทราบ เราจะมองเห็นแสงที่อยู่ในสเปกตรัมเท่านั้น หากว่าเราอยากจะมองให้เห็นมากกว่านั้น เราก็ต้องใช้เครื่องมือ แต่เครื่องมือทุกชิ้นก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน”

ในเมื่อรายงานการวิจัยก่อนหน้าที่งานชิ้นนี้จะอ้างอิงได้นั้นยังไม่มี ลูเซียนจึงจำต้องพิสูจน์ในงานเขียนของเขาเอง ซึ่งทำให้งานของเขามีความซับซ้อนมากกว่าของเลฟสกี แต่สมาชิกทุกท่านก็ยังอ่านได้เข้าใจ เมื่อได้ยินคำพูดของลูเซียน คนอื่นๆ ก็นึกสงสัยว่าลูเซียนพยายามจะบอกอะไรกันแน่

“…ดังนั้น หากว่าแสงเล่นลูกเล่นกับเราในบางสถานการณ์ ดวงตาเราอาจหลอกเราได้ ดังนั้นเราจึงเกิดภาพหลอน เวทมนตร์มายาบางบทก็สร้างขึ้นโดยยึดหลักจากทฤษฎีนี้”

สมาชิกทุกคนพยักหน้า ต่างเห็นด้วยกับคำพูดของลูเซียน

ลูเซียนเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา “เช่นเดียวกันที่หูของเราสามารถหลอกเราได้ เราจะไม่ได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่เกินขีดจำกัดของเรา และในบางสถานการณ์ เราก็อาจได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง”

“ดังนั้น ความรู้และประสบการณ์ของเราจึงจำกัดอยู่ที่เพียงการออกแบบของร่างกายและดวงจิตของเรา เราต่างรู้วิธีการแปลงกาย ในตอนที่เราแปลงกายเป็นสัตว์ชนิดอื่น เรายังรู้สึกถึงโลกใบนี้ในแบบเดียวกันกับที่เรารู้สึกอยู่ในตอนนี้หรือไม่”

“ไม่” เลฟสกีตอบเสียงหนักแน่น แม้ว่าเวทแปลงกายหลายๆ บทจะมาจากความก้าวหน้าทางกายวิภาคศาสตร์ แต่ก่อนที่จะมีการค้นพบว่าค้างคาวหาตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุโดยคิดจากเวลาและทิศทางของการสะท้อนกลับ เวทแปลงกายเป็นค้างคาวทั้งหมดต่างมีข้อผิดพลาด ถึงกระนั้นนักเวทโบราณก็ยังสามารถมองโลกผ่านดวงตาของสัตว์ชนิดอื่นโดยใช้เวทแปลงกายที่ได้รับมาจากรูปแบบเวทมนตร์ของสัตว์เหล่านั้น

ลูเซียนแย้มยิ้มเมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของเหล่าสมาชิกคณะกรรมการเบื้องหน้าเขา “เช่นนั้นเราคือผู้ที่ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกันแน่ที่ถูก เป็นเรื่องชัดเจนว่าเราเป็นฝ่ายถูกทั้งคู่ จะแตกต่างก็เพียงมุมมอง ความจริงที่เราเห็นคือส่วนหนึ่งของความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า ดังนั้น ความรู้และประสบการณ์ของเราจึงมีขีดจำกัดอยู่เสมอ”

“จินตนาการของเรานั้นมีรากฐานจากประสบการณ์ของเรา ดังนั้นประสบการณ์ที่จำกัดของเราจึงวางข้อจำกัดให้กับจินตนาการ เมื่อเราสำรวจโลกนี้ต่อไป เราจะได้เห็นสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่อยู่เหนือการรับรู้และเข้าใจของเรา”

เฟอร์นันโดพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเข้าใจแล้วว่าลูเซียนกำลังพยายามจะบอกอะไร

นีชกา มิลินา เลฟสกี และสมาชิกคณะกรรมการที่เหลือต่างรู้สึกสับสนเล็กน้อย พวกเขาต่างจ้องมองลูเซียน เฝ้ารอให้เขาอธิบายให้แจ่มแจ้ง

ลูเซียนยกมือขวาขึ้น แล้วสีหน้าเขาก็กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ดังนั้น ดวงตาอาจหลอกลวงท่านได้ หูอาจหลอกลวงท่านได้ ประสบการณ์อาจนำท่านไปในทางที่ผิดได้ จินตนาการอาจจำกัดท่านเอาไว้ได้”

ลูเซียนหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่ามกลางสายตาที่จดจ้องมองมา ลูเซียนชี้ไปยังรายงานที่ฉายภาพขึ้นบนผนังและกล่าวเสียงแผ่วเบา

“แต่คณิตศาสตร์ไม่โกหก”

…………………………………

[1] ในการวิเคราะห์ค่าความจริง ถ้าประพจน์สองประพจน์ใดๆ มีค่าความจริงตรงกันทุกกรณี กรณีต่อกรณี เราจะกล่าวว่าเป็นประพจน์ที่สมมูลกัน และสามารถใช้แทนกันได้

[2] โดยทั่วไปแล้วเส้นโครงแผนที่คือระบบการเปลี่ยนตำแหน่งของละติจูดและลองจิจูดบนพื้นผิวทรงกลม ซึ่งในที่นี้คือโลก ให้มาอยู่บนแผ่นกระดาษที่มีลักษณะเรียบ เส้นโครงแผนที่มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งในแต่ละประเภทมีข้อจำกัดที่เกิดจากการบิดเบี้ยวอยู่ในตัว และเส้นโครงแผนที่สเตริโอกราฟิกคือหนึ่งในนั้น