บทที่ 193 เสริมการป้องกัน
ไม่มีผู้คนจากคฤหาสน์สราญรมย์พูดอะไรสักคำขณะที่พวกเขามองมี่ตั้วตั้วและมู่จู่เดินออกไป
หลายคนประหลาดใจมากเพราะพวกเขาที่เพิ่งรู้ว่าอสูรทมิฬตนนี้ไม่ได้ถูกอัญเชิญออกมา แต่ถูกส่งมาโดยคำสั่งจากเผ่าของพวกเขาให้เดินทางมาด้วยตนเองเพื่อมาปกป้องมี่ตั้วตั้วโดยเฉพาะ
นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่พิเศษมาก!
โม่หยูถังอดไม่ได้ที่จะถาม “นายท่าน เผ่าอสูรทมิฬสงครามให้ความสำคัญกับผู้นำมี่ ขนาดนี้เชียวหรือ? ข้าคิดว่าหากเป็นข้าที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรทมิฬที่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 11 ข้าเองก็คงยังรับมือเขาได้ลำบาก”
หลิงตู้ฉิงยิ้มพลางส่ายหัว “เจ้าเข้าใจผิดแล้วพ่อบ้านของข้า อันที่จริงแล้วเจ้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาเลยก็เป็นได้ เจ้าไม่สังเกตชื่อของเขาเหรอว่าเขาชื่อ มู่จู่!”
“มู่จู่?” โม่หยูถังรู้สึกสับสน
อันที่จริงจะโทษโม่หยูถังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เนื่องจากแม้แต่เสี่ยวเยว่เฟิงและถังชี่หยุนที่รู้หลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องของอสูรทมิฬ ก็ยังไม่รู้เลยว่าชื่อ มู่จู่ มันหมายความว่ายังไง
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่าบรรพบุรุษของเผ่าอสูรทมิฬมีแซ่ว่า ‘มู่’ มู่จู่ ไม่ใช่อสูรทมิฬธรรมดา แต่เขาเป็นอสูรทมิฬที่มีสายเลือดของบรรพบุรุษเผ่าอสูรทมิฬ พลังต่อสู้ของเขาจึงสูงกว่าอสูรทมิฬทั่วไปหนึ่งระดับ”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า มู่จู่ เป็นทายาทสายตรงของบรรพบุรุษอสูรทมิฬงั้นเหรอ?” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยความตกใจ “นี่ในสายตาของเผ่าอสูรทมิฬสงคราม ให้คววามสำคัญกับผู้นำมี่สูงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์สามารถเชื่อมโยงไปยังเขตแดนของพวกเขาได้ ทั้งที่ระยะทางที่พวกเขาอยู่ห่างกันนั้นหลายร้อยล้านลี้ ซึ่งมันเทียบเท่ากับมี่ตั้วตั้วกลายเป็นประตูทางลัดให้เผ่าอสูรทมิฬติดต่อไปยังดินแดนที่ห่างไกลเช่นนี้ได้โดยแทบไม่เสียทรัพยากรใด ๆ เลยในการเปิดประตูเชื่อมนี้ ซึ่งถ้าเทียบกับการสร้างประตูเชื่อมมิติแบบปกติที่สามารถส่งคนหรือสิ่งของข้ามผ่านไปมายังสองสถานที่ได้ด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนี้ ค่าใช้จ่ายของมันจะมหาศาลมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่อสูรทมิฬไม่สามารถละเลยผลประโยชน์นี้ได้”
“และยังมีอีกประเด็นที่นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือส่งสิ่งของแล้ว อสูรทมิฬยังอาศัยใช้ความสามารถทางการค้าของมี่ตั้วตั้ว บวกกับความสะดวกในการส่งสิ่งของ เพื่อให้เขาหมุนเวียนสินค้าของอสูรทมิฬไปยังที่อื่น ๆ และสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่อสูรทมิฬต้องการได้ในราคาที่ต่ำกว่า สิ่งนี้จะนำมาซึ่งโอกาสในการพัฒนาของเผ่าพวกเขา เอาล่ะ พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมพวกเขาต้องให้ความสนใจกับผู้นำมี่ ว่าแต่ข้าอยากรู้นิดหน่อยเกี่ยวกับที่มู่จู่เพิ่งบอกว่าคนที่แข็งแกร่งเกินไปจะไม่สามารถเข้ามาในอาณาเขตที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นกัน?”
โม่หยูถังส่ายหัวบ่งบอกว่าเขาไม่รู้
แม้แต่หมิงเทียนลี่และถังชี่หยุนก็ยังส่ายหัว
ในทางกลับกันเสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยท่าทางแปลกใจเล็กน้อย “นายท่าน ท่านไม่รู้ว่าคนที่มีระดับสวรรค์ขึ้นไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่นี้งั้นหรือ? และเพราะเรื่องที่แปลกประหลาดนี้เองที่ข้ากับคนอื่น ๆ พวกเราถึงพยายามหนีมาที่ทะเลชางหมางเพื่อซ่อนตัว มิฉะนั้นคงมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนไล่ตามเรามาแน่นอน เนื่องจากปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้มี ‘ผู้ลี้ภัย’ จำนวนมากในอาณาเขตแห่งนี้”
“นั่นไง!” หลิงตู้ฉิงพึมพำ “มิน่าล่ะ ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมข้ามักมีความรู้สึกว่าที่นี่มันแปลก ๆ”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน จ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีช่องให้แทรก
เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกหลิงตู้ฉิงคุยกันเรื่องอะไร
แต่อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ได้มั่นใจว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลมี่อีกต่อไป “สามี แม้ว่าเราจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลมี่แล้ว แต่ท่านอย่าลืมว่ายังมีคฤหาสน์แม่ทัพหลิงและตระกูลจ้าวของข้าที่ในเวลานี้ก็ยังไม่มีการปกป้องอะไรเลยนะ” จ้าวเหมิงลู่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “ข้าจะให้ตระกูลของเจ้ายืมหลิงจู้ไปใช้งาน แต่มันสามารถใช้เพื่อปกป้องเท่านั้น สำหรับปู่ของข้า ข้าจะส่งกองทหารของข้าไปให้เขาใช้ป้องกันคฤหาสน์ของเขาเอง”
“ถ้าส่งหลิงจู้ไปที่ตระกูลข้า แล้วคฤหาสน์สราญรมย์ล่ะ?” จ้าวเหมิงลู่พูดอย่างเป็นห่วง
“หรือเอาแบบนี้ไหม ข้าจะไปบอกให้ท่านปู่ของข้าให้ย้ายคนในตระกูลมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อนถึงแม้ว่ามันอาจจะแออัดสักหน่อย แต่มันก็ยังดีกว่าแยกกันอยู่แล้วต้องมานั่งพะว้าพะวงกันแบบนี้” จ้าวเหมิงลู่ทั้งหนักใจและรู้สึกขัดแย้ง นางเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเกินไป และไม่สามารถทำอะไรได้
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ต่อให้ไม่มีหลิงจู้ ตราบใดที่เจ้าอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นหรอก แต่อันที่จริงข้าไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้เท่าไหร่ที่มันเหมือนเราถูกบังคับให้นั่งรออยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ดีเลย ข้าต้องคิดวิธีแก้ปัญหาก่อน”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงตู้ฉิงก็พูดว่า “เอาล่ะพวกเจ้าทุกคนกลับไปฝึกฝนต่อ ตอนนี้คนเหล่านั้นคงยังไม่ลงมือ ข้าจะใช้เวลานี้เพื่อเตรียมการอะไรบางอย่าง”
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็แบ่งกองวัสดุของมู่จู่ออกเป็น 2 กอง กองหนึ่งเขานำมันใส่ไว้ในแหวนมิติเพื่อเก็บไว้สำหรับสร้างอาวุธวิเศษของเผ่าอสูรทมิฬให้มู่จู่ ส่วนของที่เหลือเขากองมันทิ้งไว้กลางลาน
จากนั้น เขาเรียกให้เสี่ยวเยว่เฟิงมานั่งลงข้าง ๆ และให้นางเริ่มใช้พลังเพลิงฟินิกซ์บรรพกาล เพื่อหลอมละลายส่วนผสมต่าง ๆ ให้กลายเป็นก้อนเดียวกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงตู้ฉิงเริ่มหลอมสมบัติวิเศษที่คฤหาสน์สราญรมย์
นอกจากนี้เขายังใช้คริสตัลสื่อสารของเขาเพื่อติดต่อมี่ตั้วตั้ว หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนให้ช่วยหาวัสดุตามรายการที่เขาต้องการมาให้เขาและให้ส่งพวกมันมาที่คฤหาสน์สราญรมย์
หลังจากที่เสี่ยว่เฟิงหลอมละลายวัสดุชุดแรกเสร็จ หลิงตู้ฉิงก็โยนเหล็กนิลที่ได้มาจากมู่จู่ผสมเข้าไปกับวัสดุที่เสี่ยวเยว่เฟิงหลอมไปก่อนหน้า จากนั้นเขาก็เพิ่มวัสดุอื่น ๆ และเริ่มก่อรูปให้มันกลายเป็นชุดเกราะ
เกราะแต่ละชิ้นไม่ได้มีคุณภาพสูงมากนัก พวกมันเป็นเพียงเกราะระดับปฐพีขั้นสูง
แต่ในการสร้างสมบัติวิเศษระดับต่ำเช่นนี้ ความเร็วในการสร้างของหลิงตู้ฉิงจึงรวดเร็วและไม่กินแรงเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาสร้างสมบัติระดับวิญญาณ ภายใน 5 วันชุดเกราะ 700 จนเกือบ 800 ชุดทั้งหมดก็เสร็จสมบูรณ์
“ชุดเกราะเหล่านี้ท่านจงนำพวกมันไปให้บรรดาทหารของเราสวมใส่ แต่ละชุดจะช่วยให้บรรดาทหารสามารถปลดปล่อยพลังของกระบวนรบได้ดียิ่งขึ้น ส่วนตัวของท่านเองก็ใส่มันด้วย มันจะช่วยให้ท่านควบคุมกระบวนรบได้ดียิ่งขึ้น” หลิงตู้ฉิงอธิบายให้กับหลิงฉุยฟงฟัง
“ชุดเกราะนี่มันชื่ออะไร?” หลิงฉุยฟงรีบถาม
“ท่านจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการ และเดี๋ยวอีกไม่นานข้าจะให้ท่านกับบรรดาทหารย้ายไปที่คฤหาสน์ท่านปู่ชั่วคราวเพื่อไปปกป้องที่นั่น” หลิงตู้ฉิงสั่งพร้อมกับยื่นชุดเกราะที่ดูแปลกกว่าอันอื่นไปให้กับหลิงฉุยฟงและกล่าวต่อ “ท่านช่วยเอาเกราะพิเศษนี้ไปให้กับท่านปู่ด้วย เมื่อถึงเวลาท่านต้องทำให้แน่ใจว่าเวลาสวมใส่มัน เขาจะต้องใส่มันด้วยตัวเอง”
หลิงฉุยฟงตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลิงฉุยฟงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์และรู้เรื่องตำนานของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์เป็นอย่างดี รวมถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียดในปัจจุบัน เขาจึงรู้ว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปมันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ตอนนี้ความปลอดภัยของคฤหาสน์ตระกูลหลิงได้หล่นมาอยู่ในมือของเขา
“ระหว่างนี้ท่านจงฝึกฝนบรรดาทหารต่อไปก่อน เราต้องทำให้มั่นใจว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง บรรดาทหารจะต้องสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้!” หลิงตู้ฉิงสั่ง
หลิงฉุยฟงพยักหน้าอย่างจริงจังและส่งมอบชุดเกราะทั้งหมดให้เหล่าทหาร สำหรับชุดเกราะหลังจากที่เขาได้ปรึกษากับหลิงเจิ้งสงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว พวกเขาจึงช่วยกันตั้งชื่อชุดเกราะให้มันว่า เกราะทะลายภูผา
เมื่อเสร็จจากเรื่องชุดเกราะ หลิงตู้ฉิงก็เริ่มหันมายุ่งกับการปรับแต่งรถม้าของเขาต่อ เขาถอดเศษชิ้นส่วนวิญญาณกิเลนทองคำออกจาก ดาบกิเลนร่ำไห้ และนำมันไปฝังไว้ที่ด้านบนของรถม้า รวมไปถึงสมบัติระดับวิญญาณ 2 ชิ้นที่เหลียงซานเคยมอบไว้ให้เพื่อเป็นของขวัญวันสมรส ก็นำมาถูกหลอมรวมเข้ากับรถม้า จากนั้นเขาก็หยิบ ผลึกดาราสวรรค์ ขนาดเท่าเมล็ดงาออกมา 2 ชิ้น และนำพวกมันฝังที่ด้านในห้องโดยสาร ส่งผลให้แสงดาวปรากฏขึ้นที่ด้านในของรถม้า หลิงตู้ฉิงเพิ่มไม้ธาตุหยินอีก 7 ชิ้นที่เขาได้รับจากมู่จู่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เพลาของรถม้า
ระยะเวลาที่หลิงตู้ฉิงหมดไปกับการปรับแต่งรถม้า ขั้นตอนนี้กินเวลาไปถึงครึ่งเดือนถึงจะแล้วเสร็จ
“นายท่าน หลังจากที่ปรับแต่งเสร็จแล้วกงหนิวยังสามารถลากมันไหวอยู่อีกรึเปล่า?” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างเป็นห่วง ในฐานะสารถี นางเฝ้าดูทุกขั้นตอนในการปรับแต่งรถม้าอย่างตั้งใจ นางจึงรู้ว่ารถม้าคันนี้แตกต่างไปจากเดิมมาก
“ถ้าในตอนนี้เขาคงยังไม่สามารถลากมันได้หรอก น้ำหนักของมันยังคงมากเกินไป” หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ต้องรอให้ข้าได้ประทับอักขระเวทย์พลังแห่งกฎแรงโน้มถ่วงก่อน กงหนิวถึงจะสามารถลากมันได้ แต่เขาก็ยังคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าแต่ก่อนสักหน่อย”