บทที่ 192 การมาเยือนของอสูรทมิฬ
ผู้คนต่างสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณที่เกิดขึ้นมาจากที่ตั้งของคฤหาสน์สราญรมย์
แต่ไม่มีใครทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านในคฤหาสน์ต้องห้ามนั่น เนื่องจากขณะนี้บริเวณโดยรอบทั้งหมดของคฤหาสน์สราญรมย์หรือแม้กระทั่งบนน่านฟ้า ก็มีหมอกที่สร้างจากพลังวิญญาณปกปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอย่างมิดชิด
สถานการณ์ผันผวนของพลังวิญญาณที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สราญรมย์ดำเนินติดต่อกันถึง 8 วัน ก่อนที่จะจบลง
บรรดาผู้คนที่ติดตามสถานการณ์นี้ ต่างรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ในช่วง 8 วันที่ผ่านมา พวกเขาต่างเดาไปถึงเรื่องเกี่ยวกับโจวจื่อซิน ว่าจะเป็นนางใช่หรือไม่ที่เป็นต้นเหตุของความผันผวนนี้
แล้วถ้าหากเกิดจากนาง เช่นนั้นก็ต้องเป็นไปได้ที่ร่างของนางที่เปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางโอสถ ระดับของมันจะต้องเพิ่มพูนขึ้นแน่นอน
แล้วว่าแต่เวลานี้มันสุกงอมแล้วหรือยัง? แล้วพวกเขาจะสามารถไปช่วงชิงมากินได้เลยไหม?
คำถามพวกนี้ต่างวนเวียนอยู่ในหัวพวกเขาทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ ซึ่งแม้แต่เหลียงซานเองก็มีคำถามเช่นนี้อยู่ในหัวเช่นกัน
“ฝ่าบาท เราควรส่งคนไปถามหลิงตู้ฉิงไหม?” ผู้อาวุโสชุดเทาถามขึ้น “ข้าเกรงว่า หากเราไม่ถามเขาตอนนี้ เราอาจจะพลาดโอกาสได้ส่วนแบ่งของร่างผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ไป”
เหลียงซานพยักหน้าและพูดว่า “อืม เจ้าจงส่งคนของเราไปคุยกับเขา ถามเขาว่าเขาต้องการอะไรเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับส่วนแบ่งของร่างผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ ยังไงซะในฐานะที่เขาเป็นหลานเขยของข้า หากคุยกับเขาดี ๆ ก็น่าจะรู้เรื่องกันอยู่”
ผู้อาวุโสชุดเทาพยักหน้าและตอบกลับ “ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล ข้าคิดว่าหากเราขอส่วนแบ่งจากเขาไม่มากเกินไป เขาจะต้องตกลงอย่างแน่นอน”
พูดจบ ผู้อาวุโสชุดเทาจึงส่งคนไปยังคฤหาสน์สราญรมย์ทันที
ครึ่งชั่วยามผ่านไป..
ณ ด้านหน้าประตูคฤหาสน์สราญรมย์ ขณะนี้หัวหน้าขันทีวังหลวงได้ยืนมองหน้าหุ่นเชิดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ด้วยสายตาหงุดหงิด “องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ข้าเป็นตัวแทนมาเจรจากับเจ้านายของเจ้า จงหลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หุ่นเชิดมองไปยังหัวหน้าขันทีด้วยแววตาไร้ความรู้สึกและตอบกลับว่า “วัสดุระดับสูง 1 ชิ้น เจ้าถึงเข้าไปได้…”
“แต่ข้ามาในนามขององค์จักรพรรดิ!” หัวหน้าขันทีตะโกนเถียง
หุ่นเชิดที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูนั้นไม่ได้สนใจกับคำเถียงเขาเลยสักนิด มันไม่แม้แต่จะส่งข้อความเข้าไปแจ้งให้คนด้านในรับทราบถึงการมาเยือนของขันทีจากวังหลวง
เมื่อเห็นว่าหุ่นเชิดตัวนี้นั้นไม่ได้ใส่ใจเขาเลยสักนิด หัวหน้าขันทีรู้สึกโกรธจนควันออกหู แต่เมื่อเขาคิดถึงชื่อเสียงของคฤหาสน์ต้องห้ามหลังนี้และสถานะที่หลิงตู้ฉิงเป็นหลานเขยขององค์จักรพรรดิ เขาจึงเก็บคำสบถเอาไว้ในใจและยื่นวัสดุระดับสูงที่มาเผื่อไว้ออกมา
เมื่อเข้ามาด้านใน หลิงตู้ฉิงถามหัวหน้าขันทีทันที “เจ้ามีเรื่องอะไร?”
หัวหน้าขันทีเหลือบมองไปยังโจวจื่อซินที่ยืนอยู่ข้างอยู่ครู่หนึ่ง และหันมายังหลิงตู้ฉิงและตอบกลับว่า “องค์จักรพรรดิต้องการให้ท่านแบ่งเลือดและเนื้อของนางให้พระองค์ โดยถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดที่ต้องการแลกเปลี่ยนก็ขอให้บอกมาได้เลย”
หลังจากหัวหน้าขันทีพูดจบประโยค ร่างของเขาถูกพลังวิญญาณในคฤหาสน์สราญรมย์กระแทกจนกระเด็นลอยออกไปจากคฤหาสน์ทันที
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตะโกนตามหลังร่างของขันทีที่ลอยออกไปนอกคฤหาสน์ “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าไม่ชัดเลย ไหนลองเข้ามาบอกข้าใหม่อีกทีสิว่าเมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
หัวหน้าขันทีที่ถูกส่งลอยออกไปนอกคฤหาสน์ เมื่อลุกขึ้นยืนได้ ถึงแม้ว่าเขาจะโมโหสุด ๆ แต่ด้วยความน่ากลัวของหลิงตู้ฉิงและคำสั่งของจักรพรรดิ เขาจึงจำใจต้องเดินกลับเข้าไปใหม่ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
แต่รอบนี้ที่เขาเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ เขากลับไม่ถูกหยุดโดยหุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าประตูและยังไม่ถูกร้องขอวัสดุระดับสูงใด ๆ จากมัน
หัวหน้าขันทีจึงเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะเมื่อครู่ที่เขาได้มอบวัสดุเพื่อจ่ายเป็นค่าผ่านประตูไปเมื่อครู่แล้ว นั่นคงจะเพียงพอทำให้เขาไม่ถูกเรียกเก็บเพิ่ม
เมื่อเข้ามาด้านในและยืนอยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิงอีกครั้ง หัวหน้าขันทีได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเก็บอารมณ์ “องค์จักรพรรดิต้องการสอบถามกับท่านเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนบางส่วนของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ แต่ถ้าหากท่านไม่สะดวกใจจะแบ่งให้ องค์จักรพรรดิขอเพียงแบ่งเลือดของนางมาให้พระองค์บ้างก็ไม่เป็นไร”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “กฎก็มีเขียนบอกอยู่ทนโท่ที่หน้าประตูว่าทุกคนต้องจ่ายค่าเข้าเป็นวัสดุระดับสูง 1 ชิ้นทุกครั้งที่เข้ามา แล้วนี่เจ้ากลับกล้าฝ่าฝืนกฎของข้าโดยไม่จ่ายค่าเข้ามาก่อน เจ้าคงจะรู้ดีใช่ไหมว่าหากใครฝ่าฝืนละเมิดกฎของข้ามันผู้นั้นจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาหัส!”
ตะโกนขึ้น “ข้ารับบัญชาจากองค์จักรพรรดิให้มาที่นี่ ท่านกล้า…”
น่าเสัยดายที่ก่อนหัวหน้าขันทีจะได้พูดจบประโยค หลิงตู้ฉิงพุ่งเข้ามาหาตัวเขาในชั่วพริบตาและประทับฝ่ามือลงบนกลางกระหม่อมของเขาทันที ส่งผลให้ร่างของเขาถูกตรึงนิ่งอยู่กับที่และแววตาของหัวหน้าขันทีก็กลายเป็นสีขาวขุ่นจนไม่เหลือร่องรอยประกายจิตสำนึกเหลืออยู่
กระบวนการทั้งหมดที่หลิงตู้ฉิงกระทำนั้นเป็นช่วงเวลาเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น
ขณะนี้ที่หัวหน้าขันทีกลายเป็นเหมือนร่างไร้จิตสำนึก เขาค่อย ๆ เดินออกไปที่หน้าประตูคฤหาสน์และยืนเฝ้าอยู่เช่นนั้นข้างกับหุ่นเชิดตัวแรกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา
บัดนี้หุ่นเชิดตัวที่สองได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว!
เรื่องราวความซวยของหัวหน้าขันทีได้ส่งไปถึงหูของเหลียงซานอย่างรวดเร็วแทบจะทันที ส่งผลให้ใบหน้าของเขาและผู้อาวุโสชุดเทาเปลี่ยนเป็นมืดหม่นลง และเผลอปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาจากร่างอย่างหนาแน่นแบบช่วยไม่ได้
“นายท่าน…” โจวจื่อซินพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ตอนนี้นางรู้สึกไม่เข้าใจว่าในเมื่อบรรพบุรุษของนางนั้นเป็นถึงเผ่าพันธุ์ภูติพฤกษาสวรรค์อันสูงส่ง แล้วเหตุไฉนทำไมพวกเขาถึงตกต่ำถึงขนาดถูกทุกคนไล่จับกินแบบนี้กัน?
หลิงตู้ฉิงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หน้าที่ของเจ้าตอนนี้มีเพียงแต่ตั้งใจฝึกฝนเท่านั้น อย่าไปใส่ใจเรื่องอื่น ๆ เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นนั่นก็เพราะว่าเจ้าอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ หากเมื่อไหร่ที่เจ้าสำเร็จวิชาที่ข้าถ่ายทอดไป เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากจนคนที่อยากจะกินเจ้า ต้องคิดทบทวนถึงร้อยตลบว่าจะกล้ามายั่วยุเจ้ารึเปล่า แล้วเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้พบกับความสงบสุข”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อที่อยู่ด้านข้างรอจนหลิงตู้ฉิงพูดจบ จากนั้นนางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “สามี ท่านทำแบบนี้ท่านต้องระวังปู่ของข้าเอาไว้ให้มากนะ ข้ารับรองว่าเขาจะต้องแก้แค้นท่านแน่ ๆ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปู่ของเจ้าหรอก หากว่าเขากล้ามาแก้แค้นข้าเมื่อไหร่ นั่นก็หมายความว่าเขารนหาที่ตายแล้ว และอันที่จริงข้าเองไว้หน้าเขาอยู่มากแล้วในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ส่งคนของเขากลับไปที่วังแบบเป็นร่างไร้วิญญาณแทนที่จะเอาคนของมาเป็นหุ่นเชิดเฝ้าคฤหาสน์ของข้าแบบนี้” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
จ้าวเหมิงลู่เองที่มีสีหน้ากังวลเช่นกัน นางได้ถามขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าการป้องกันของทางด้านของคฤหาสน์เรานั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับทางคฤหาสน์แม่ทัพหลิงหรือคฤหาสน์ตระกูลจ้าวหรือตระกูลมี่ล่ะ?”
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินคำถามนี้เขาขมวดคิ้วทันที ในใจเขาคิดอยากจะตอบกลับไปว่า ‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกันข้ากัน?’
แต่เมื่อเขาคิดถึงความสำคัญของบรรดาผู้หญิงของเขาที่มีอยู่ในใจ เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรก็ตามที่เขาคิดออกมา ขณะนี้เขาจึงพยายามคิดหาทางออกว่าจะทำยังไงดี เพราะเขารู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ทั้งหมดพร้อม ๆ กัน
หรือต่อให้เขาปรับแต่งหลิงจู้จนกลายเป็นอาวุธวิเศษระดับสวรรค์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างมากเขาก็อาจจะส่งมันไปปกป้องได้แค่อีกเพียงตระกูลเดียว ส่วนอีก 2 ตระกูลก็ยังไร้การป้องกันอยู่ดี
ในขณะที่เขากำลังคิดไม่ตก จู่ ๆ หุ่นเชิดที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก้ได้ส่งข้อความผ่านทางโทรจิตมาให้กับหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ผู้นำตระกูลมี่มาขอเข้าพบท่าน และยังได้นำอสูรจากเผ่าอสูรทมิฬสงครามติดตามมาด้วย”
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้รับข้อความเช่นนี้ คิ้วของเขาเลิกขึ้นทันทีและตะโกนขึ้น “อนุญาตให้พวกเขาเข้ามา!”
หลังจากหลิงตู้ฉิงตะโกนสั่งไม่นาน อสูรทมิฬตัวสูง 2 เมตรได้เดินเข้ามาพร้อมกับมี่ตั้วตั้วที่อยู่ด้านข้าง
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นอสูรทมิฬตนนี้ เขายิ้มให้โดยไม่ได้กล่าวทักทายใด ๆ
ส่วนอสูรทมิฬที่มองกลับมายังหลิงตู้ฉิง มันมองเขาด้วยแววตาสนอกสนใจใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“ตู้ฉิง ท่านผู้นี้คือ ผู้อาวุโสของเผ่าอสูรทมิฬสงคราม เขามีนามว่า มู่จู่ เขาอยากจะเจอเจ้าและยังมาเพื่อให้เจ้าสร้างอาวุธให้เขาตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้” มี่ตั้วตั้วกล่าวพลางยิ้มด้วยความเบิกบานใจ “อ๋อ ใช่ ข้าไม่ได้เป็นผู้อัญเชิญ ผู้อาวุโสมู่จู่มานะ เขาเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวของเขาเอง”
“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบกลับ
มู่จู่กวาดดวงตาสีเขียวมรกต มองไปยังผู้คนที่อยู่ภายในโถงรับรองแขกจนครบทุกคน และหยุดสายตาที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นเขาพูดขึ้น “เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนสร้างเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์?”
“ถูกต้อง” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
มู่จู่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “เจ้าสร้างมันขึ้นมายังไง?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “นั่นมันความลับของข้า อันที่จริงคฤหาสน์ของข้ามีกฎอยู่ หากใครก็ตามที่ต้องการเข้ามาต้องจ่ายค่าเข้าเป็นวัสดุระดับสูง 1 ชิ้นก่อน แต่ในเมื่อเจ้าตามพ่อตาข้าเข้ามา ข้าจะละเว้นให้แต่ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะถามคำถาม เจ้าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเหมือนคนปกติ คือ 1 คำถามต่อวัสดุระดับสูง 1 ชิ้น ส่วนการสร้างอาวุธนั้นก็คล้ายกันหากเจ้าต้องการให้ข้าสร้างอาวุธให้เจ้าจะต้องจ่ายค่าจ้างเป็นวัสดุระดับสูงเช่นกัน ยิ่งระดับวัสดุที่เจ้าให้ข้ายิ่งสูงมากเท่าไหร่ ข้าก็จะสร้างอาวุธที่ดีมากขึ้นให้เจ้ามากขึ้นเท่านั้น”
มู่จู่พยักหน้าและตอบกลับ “ข้ารู้เรื่องกฎของเจ้าแล้วจากท่านมี่ เอาล่ะ จงดูวัสดุต่าง ๆ ที่ข้านำมาให้เจ้า ดูว่าพวกมันจะสามารรถสร้างอาวุธระดับไหนให้ข้าได้ ส่วนวัสดุที่เหลือจากการสร้างข้าจะมอบพวกมันทั้งหมดให้เจ้าเป็นค่าธรรมเนียม”
เมื่อพูดจบ มู่จู่ได้นำเหล่าวัสดุที่แฝงไปด้วยธาตุหยินรุนแรงออกจากแหวนมิติของเขา และนำพวกมันกองไว้ตรงหน้าหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงได้ตรวจดูบรรดาวัสดุที่กองอยู่ตรงหน้าเขาสักพักก่อนที่จะพูดว่า “จากวัสดุครึ่งหนึ่งที่เจ้านำมา ข้ารับปากได้ว่าข้าสามารถสร้างอาวุธวิเศษที่เหมาะสำหรับเผ่าเจ้าที่สุดให้ได้และระดับของอาวุธที่ข้าสร้างออกมาได้จะอยู่ในระดับราชวงศ์ ส่วนวัสดุอีกครึ่งหนึ่งข้าเก็บมันไว้เป็นค่าเหนื่อยของข้า เจ้าควรจะรู้ดีว่าที่ข้าเรียกราคาสูงเช่นนี้ก็เพราะว่าอาวุธที่เหมาะสมกับเผ่าเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นมาได้ง่าย ๆ จริงไหม?”
มู่จู่พยักหน้าและกล่าวว่า “ฟังดูยุติธรรมดี! แล้วเมื่อไหร่ที่เจ้าจะสร้างเสร็จ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตอนนี้ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการกับศัตรูที่คอยสร้างความรำคาญให้ข้าอยู่ ฉะนั้นเจ้าอาจจะต้องรออีกสักหน่อยแล้วข้าจะสร้างมันให้กับเจ้า และอีกอย่างในเมื่อเจ้าก็อุส่าห์ถ่อมาตั้งไกลเพื่อมาถึงที่นี่ เจ้าเองคงไม่รีบจะกลับไปอยู่แล้วใช่ไหม?”
มู่จู่พยักหน้าและพูดว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพราะบรรพบุรุษเผ่าข้าส่งข้ามาให้คุ้มครองท่านมี่ให้ปลอดภัย เนื่องจากเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ที่อยู่ในตัวของท่านมี่นั้นสำคัญกับเผ่าของข้ามาก อันที่จริงถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะพื้นที่อาณาเขตนี้มีพลังประหลาดห้ามไม่ให้ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งเกินไปเข้ามาแล้วล่ะก็ ท่านบรรพบุรุษของข้าคงจะส่งอสูรที่แข็งแกร่งกว่าข้ามากมาแทนไปแล้ว ส่วนสำหรับเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นผู้สร้างเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ขึ้นมา ข้าจะตอบแทนเจ้าโดยการให้เจ้ายืมกำลังข้าช่วยเจ้า 1 ครั้งหากเจ้าต้องการ และเผื่อว่าเจ้าจะไม่รู้ระดับพลังของข้าในตอนนี้นั้นอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 11”
หลิงตู้ฉิง เขาเองไม่ได้พูดออกไปเช่นกันว่าอันที่จริงแล้วเขานั้นเห็นตั้งแต่แรกว่าอสูรตนนี้ระดับพลังของเขาอยู่ที่เท่าไหร่ เขาพยักหน้าและพูดว่า “แบบนี้ก็ดีเลย ก่อนหน้านี้ข้าเองก็กำลังกังวลกับความปลอดภัยของตระกูลมี่อยู่พอดี แต่ในเมื่อตอนนี้มีเจ้าคอยปกป้องพวกเขาแล้วข้าเองก็ค่อยวางใจหน่อย ส่วนสำหรับปัญหาของข้าในตอนนี้ข้าคงยังไม่ต้องการให้เจ้ามาช่วยในตอนนี้ เอาล่ะ เจ้าทิ้งเหล่าวัสดุไว้ที่นี่ เมื่อข้าพร้อมสร้างอาวุธให้เมื่อไหร่ข้าจะส่งข่าวไปบอกอีกที”
มู่จู่พยักหน้ารับทราบและไม่พูดอะไรต่อ
มี่ตั้วตั้ว ซึ่งเห็นว่าการสนทนาของหลิงตู้ฉิงกับมู่จู่จบลงแล้ว เขายิ้มและพูดว่า “ตู้ฉิง ข้าได้ยินข่าวของเจ้ามาบ้างแล้ว ข้ารู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเจ้ากำลังตึงเครียดเลยทีเดียว โชคดีที่ผู้อาวุโสมู่จู่มาที่นี่พอดี อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นตัวถ่วงให้เจ้าแล้ว เอาล่ะข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว หากเจ้าต้องการอะไรเจ้าสามารถส่งคนไปบอกข้าได้ทันที”
หลังจากพูดจบมี่ตั้วตั้ว เดินจากไปพร้อมกับมู่จู่ทันที