บทที่ 191 การรวมตัวกันของกลุ่มคนโลภ
เมื่อข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์แพร่กระจายออกไป ทั้งอาณาเขตทะเลชางหมางจึงเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
บรรดาผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่อยู่ในระดับสูงส่วนใหญ่ ต่างรู้เป็นอย่างดีว่าตัวตนของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์นั้นสำคัญแค่ไหน เมื่อใดที่ตัวตนนี้ได้ปรากฏขึ้น เมื่อนั้นย่อมเกิดศึกใหญ่เพื่อแย่งชิงให้ได้ผู้ครองสายเลือดนี้มาครอบครอง
แม้ว่าผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ที่ปรากฏกายในครั้งนี้จะยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวอายุน้อย และยังไม่โตเต็มวัย แต่สำนักสวนร้อยพฤกษากลับปล่อยข่าวว่าผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์นางนี้ยังสามารถที่จะบ่มเพาะเลื่อนระดับไปได้อีก ซึ่งเมื่อบ่มเพาะไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว หากนำนางมาทำโอสถมนุษย์ ระดับของโอสถจะเทียบเท่ากับโอสถระดับสวรรค์ขั้นสูงสุด
เมื่อได้ทราบข่าวเช่นนี้ ทั่วทั้งอาณาเขตทะเลชางหมางจึงยิ่งวุ่นวาย
เหล่าผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างมีความคิดที่อันหลากหลาย บ้างตั้งใจจะแย่งชิงมันมาครอบครองเพื่อบ่มเพาะมันต่อและทำให้มันช่วยพวกเขาบ่มเพาะไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า บ้างก็ตั้งใจจะแย่งชิงมันเพื่อช่วยยืดอายุขัยของตนเองที่กำลังจะหมดลงในอีกไม่นาน
เมื่อผู้คนต่างคิดไปในทางเดียวกันเช่นนี้ ผลลัพธ์ก็คือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจำนวนมากต่างพากันแห่มาที่อาณาจักรจันทรา ซึ่งตั้งอยู่ในทวีปเทียนหยวน
สีหน้าของจักรพรรดิเหลียงซานในตอนนี้กลายเป็นบิดเบี้ยวอีกครั้ง เขามองไปยังทิศทางของคฤหาสน์สราญรมย์ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความโลภ
ที่เขาโกรธก็เพราะหลิงตู้ฉิงสร้างปัญหาใหญ่ให้เขาอีกครั้ง และแถมครั้งนี้มันยังใหญ่โตกว่าเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เกิดขึ้นในหอประมูลตระกูลมี่เสียอีก รอบนี้จำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่มาจะต้องมากันเป็นจำนวนมหาศาล และหากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ต่อสู้กันในเมืองหลวง เมืองของเขาคงจะต้องป่นปี้จากการปะทะกันแน่นอน
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกครั้งที่ผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ปรากฏขึ้น เหตุการณ์เช่นนี้มันก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ต่างกัน
แต่ถึงแม้เรื่องนี้มันจะดูแย่ยังไง อย่างน้อย ๆ มันก็ยังมีแง่มุมดี ๆ ในเรื่องนี้อยู่บ้าง เนื่องจากผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ผู้นี้นั้นเป็นหนึ่งในคนของหลิงตู้ฉิง และด้วยสถานะของหลิงตู้ฉิงตอนนี้คือหลานเขยของเขา เหลียงซานจึงคาดหวังว่าอย่างน้อย ๆ หากเขาอาศัยความสัมพันธ์ฉันญาติกับหลิงตู้ฉิง เขาก็น่าจะได้รับการแบ่งปันชิ้นส่วนของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์มาบ้าง หรือต่อให้อย่างน้อย ๆ หากเขาได้ส่วนแบ่งเป็นหยดเลือดสักไม่กี่หยดมาบ้างเขาก็พอใจ
ในเวลานี้ หมิงเซียนจ้าวและชายชราผู้หนึ่งกำลังมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์จากระยะไกล หมิงเซียนจ้าวพูดกับชายชรา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุดหมิงฮ่าว ข่าวได้แพร่กระจายไปแล้ว และผู้คนมากมายต่างมุ่งหน้ามาที่อาณาจักรจันทรา แต่ว่าเราจะต่อสู้กับผู้คนจากสำนักเก้าเทพอสูรจริง ๆ หรือ?”
จือหมิงฮ่าวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ที่ตั้งของสำนักเก้าเทพอสูรอยู่ไกลจากที่นี่มาก ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ด้วยระยะทางขนาดนี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คืออาณาเขตทะเลชางหมาง ต่อให้พวกเขาจะส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ขึ้นไปมาช่วย พวกเขาก็เข้ามาไม่ได้อยู่ดี แล้วเราจะต้องไปกลัวอะไร?”
“และอีกอย่างผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์นี้ถูกค้นพบโดยสำนักสวนร้อยพฤกษาของเรา และมันเป็นพวกเขาเองที่แย่งมันจากเราไปก่อน ดังนั้นพวกเขาจะมาโทษพวกเราได้ยังไงที่เราตอบโต้พวกเขาแบบนี้ ยิ่งในตอนนี้ข้าอยู่ในขอบเขตครึ่งสวรรค์แล้ว ถ้าข้าได้กินผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ ข้าก็จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์อย่างเต็มตัว เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เราจะเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญจากสำนักเก้าเทพอสูรที่มากันเป็นฝูงเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา!”
“แต่ผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์นั้นยังบ่มเพาะไม่ถึงจุดที่พร้อมจะกินได้! ถ้าท่านด่วนกินมันตอนนี้คงจะไม่ได้ผลอะไรมาก” หมิงเซียนจ้าวพูด
“ก็ถ้าเป็นไปได้ข้าจะนำมันกลับไปบ่มเพาะต่ออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่คือทางเลือกสุดท้ายเมื่อหมดหนทางจริง ๆ ข้าคงต้องกินมันก่อน” จือหมิงฮ่าวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ด้วยความแข็งแกร่งระดับครึ่งสวรรค์ของข้ารวมกับอาวุธวิเศษระดับสวรรค์ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่ได้ส่วนแบ่งมาแม้แต่ขาข้างเดียวของมัน!”
ในเวลานี้ โจวจื่อซินที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ จู่ ๆ นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ซึ่งมันทำให้นางสั่นสะท้านด้วยความกลัว นางรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น ทำให้นางเริ่มลุกลี้ลุกลนแม้จะว่าจะอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ก็ตาม
“นายท่าน…” โจวจื่อซินเดินเข้าไปโผกอดหลิงตู้ฉิงแน่นและพูดด้วยน้ำตานองหน้า “ข้ากลัว!”
หลิงตู้ฉิงปลอบนางว่า “ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า เจ้าไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น!”
“แต่ข้าได้ยินมาว่ามีคนมากมายพากันมากินข้า…ทำไมท่านถึงไม่คิดจะกินข้าเหมือนพวกเขา! ข้ายอมตายเพราะท่านดีกว่าจะให้คนอื่นพรากชีวิตข้าไป!” โจวจื่อซินพูดขณะที่กำลังคลอเคลียกับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างจนใจ “ข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าไม่ต้องกลัว เชื่อข้าสิ!”
แต่โจวจื่อซินจะไม่กลัวได้อย่างไร?
นางเคยได้ยินมาว่าที่ข้างนอกนั่นยังมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่อยู่ในขอบเขตที่นางไม่อาจจินตนาการได้ดำรงอยู่
และถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่งานประมูลตระกูลมี่ แต่นางก็ไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงแข็งแกร่งเพียงใด แล้วนางจะไม่กลัวได้อย่างไร? นางไม่อยากถูกจับกินนี่นา
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้กำลังมีพวกไม่กลัวตายจำนวนมากกำลังมาที่นี่ แต่เจ้าสามารถพักผ่อนได้สบาย ๆ ไม่ต้องกังวล เจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าพวกมันกล้าลงมือกับเจ้า มันทั้งหมดจะต้องตาย เจ้าไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่อยู่ข้าง ๆ ข้าก็พอ แต่อันที่จริงพวกเจ้าเองในตอนนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป ข้าคงต้องเตรียมการอะไรบางอย่างก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะไม่ได้รับผลกระทบ”
ในช่วงเวลานี้ทุกคนถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากคฤหาสน์สราญรมย์ไปไหน เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงวิกฤต
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงตะโกนไปทางมี่ไล “มี่ไลเอาหลิงจู้มาให้ข้า ถึงเวลาแล้วที่หลิงจู้จะต้องพัฒนาต่อไปอีกขั้น”
มี่ไลรีบนำหลิงจู้มาให้หลิงตู้ฉิง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มี่ไลได้ใช้วิชาฝนฤดูใบไม้ผลิอย่างต่อเนื่องหล่อเลี้ยงหลิงจู้มาโดยตลอด จนตอนนี้อายุของหลิงจู้ก็มากกว่าหมื่นปีแล้ว
อันที่จริงไม่ใช่แค่วิชาฝนฤดูใบไม้ผลิที่นางได้ใช้หล่อเลี้ยงหลิงจู้ นางยังใช้วิชาสุริยะสาดแสง ซึ่งเป็นตัวแทนของฤดูร้อนลงไปหล่อเลี้ยงหลิงจู้เสริมเข้าไปอีก ส่งผลให้ภายในหลิงจู้ตอนนี้นั้นมีพลังวิญญาณแห่งกฎของฤดูเพิ่มเข้าไปรวมเป็นสองสาย
นี่ทำให้ถึงแม้อายุของหลิงจู้จะมีอายุอยู่ที่ราว 10,000 ปี แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันในตอนนี้เทียบได้กับตอนที่มันมีอายุปาเข้าไปถึง 20,000 ปีแล้ว
หลิงตู้ฉิงที่ได้รับหลิงจู้มาแล้วเขามองมันด้วยรอยยิ้มขมขื่น ถือว่าเป็นโชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาได้ให้ตระกูลมี่จัดหาวัตถุดิบในการปรับแต่งหลิงจู้มาจนครบเรียบร้อยแล้ว แต่เผอิญเขากลับไม่มีเวลาว่างปรับแต่งมันให้พัฒนาขึ้น
จนมาถึงบัดนี้ในช่วงเวลาที่คับขัน เขากลับต้องรีบปรับแต่งมันอย่างฉุกละหุกอีกแล้วเหมือนตอนที่เขาสร้างมันขึ้นมาครั้งแรก ซึ่งนี่ไม่ค่อยจะเป็นผลดีกับมันสักเท่าไหร่หากมีอะไรเกิดผิดพลาดขึ้นมา
หลิงตู้ฉิงจับหลิงจู้และแทงลงมันไปที่พื้นจากนั้นพูดกับมันว่า “เจ้าต้องดูดซับพลังวิญญาณให้มาก ๆ ก่อน แล้วข้าจะช่วยเจ้าอีกที”
หลิงจู้เปลี่ยนเส้นใยของมันให้กลับกลายไปเป็นรูปลักษณ์ของรากต้นไผ่เซียนสวรรค์ และจากนั้นมันแทงรากของตัวเองลงไปในพื้นดินใต้คฤหาสน์สราญรมย์และแผ่ขยายออกไปกินพื้นที่หลาย 10 ลี้ จากนั้นด้ามจับของมันก็กลับสู่ร่างเดิมและกลายเป็นลำต้นไผ่เซียนสวรรค์เช่นกัน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ กระแสพลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกดูดมาบรรจบกันที่หลิงจู้
ด้วยการสะสมของพลังวิญญาณจำนวนมากยิ่งทำให้สีเขียวมรกตของหลิงจู้กลายเป็นเข้มมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่หลิงจู้กำลังยุ่งอยู่กับการรวบรวมพลังงานวิญญาณ หลิงตู้ฉิงได้จัดเตรียมเหล่าวัสดุเสร็จแล้ว เขาเร่งถ่ายโอนวัสดุระดับราชวงศ์หรือแม้แต่ระดับที่เหนือกว่าไปยังลำต้นของหลิงจู้
หลิงจู้ ในเวลานี้มันเองก็เป็นเหมือนเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มันเผยโคนรากขึ้นมาจากพื้นดินและร่วมมือกับหลิงตู้ฉิง เพื่อให้เขาจารึกอักขระเวทย์ลงด้านบน
เมื่อช่วงเวลาผ่านไปจากรากสีขาว ก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีทอง ทุกคนในคฤหาสน์สราญรมย์ต่างเฝ้าดูหลิงตู้ฉิงปรับแต่งหลิงจู้อย่างเงียบ ๆ
ในขณะที่กระบวนการปรับแต่งของหลิงจู้กำลังดำเนินไปโดยหลิงตู้ฉิง
บรรดาผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงต่างก็มองไปทางคฤหาสน์สราญรมย์ด้วยสายตาตื่นเต้น
พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสการรวมตัวของพลังวิญญาณมากมายเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์
พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเดากันไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือปรากฎการณ์นี้จะต้องเกี่ยวกับผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์แน่นอน!