เฉียวเหลียงดูเหมือนจะเข้าใจว่าถังซีหมายความว่าอย่างไร เขาเลิกคิ้ว “คุณรู้แล้วหรือว่าใครคือนักออกแบบตัวจริงเจ้าของผลงานที่เธอไปเอามา”
ถังซียิ้ม “ฉันต้องรู้จนได้สักวันหนึ่ง เหมือนอย่างที่สุภาษิตว่าไว้ไงคะ ยิ่งปีนขึ้นสูงก็จะยิ่งเจ็บหนักเมื่อตกลงมา เรารอดูก็แล้วกันว่าความยุติธรรมหรือเธอจะเป็นผู้ชนะ”
“เด็กโง่” เฉียวเหลียงจ้องมองถังซี “สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมในโลกใบนี้ สร้างขึ้นจากความคิดเห็นของมนุษย์ ความยุติธรรมไม่มีอยู่ในที่มืดหรอก…”
“จริงสิ ความยุติธรรมถูกกำหนดโดยมนุษย์ อย่างนั้นใช่ไหม” ถังซีเม้มริมฝีปากแล้วดึงมือออกจากมือเฉียวเหลียง ขณะยิ้มให้เขา “คุณเป็นกรรมการ ฉะนั้นคุณควรเข้าไปจากทางนี้ ส่วนฉันจะไปเข้าทางประตูหน้า แล้วเจอกันที่บ้านคุณบ่ายนี้นะคะ”
โดยไม่รอให้เฉียวเหลียงตอบ เธอเดินไปยังประตูด้านหน้าหอประชุม เฉียวเหลียงมองตามร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังกลับเดินไปยังทางเข้าอีกด้านหนึ่งของหอประชุม
ถังซีแนบร่างติดกับผนังตรงมุมอาคาร แล้วโผล่ศีรษะออกไปแอบดูให้แน่ใจว่าเฉียวเหลียงไปจากตรงนั้นแล้ว จากนั้นเธอก็เอนกายพิงฝาผนังอีกครั้ง แล้วหลับตาลง เธอรู้ดีว่าทั้งเฉียวเหลียงและเธอต่างมีบาดแผลในใจ ทั้งสองใส่ใจกันและกันมากเกินไป ทั้งเธอและเขาจึงเลือกที่จะไม่สนใจบาดแผล อย่างไรก็ตามหากบาดแผลไม่ได้รับการรักษาให้หายสนิท บาดแผลนั้นก็จะเป็นระเบิดเวลาแห่งความรักของคนทั้งสอง สักวันหนึ่งระเบิดลูกนี้อาจทำลายความรักของเธอและเขาลงอย่างสมบูรณ์
ทั้งสองไม่สามารถค้นหาสิ่งที่จะมาเยียวยารักษาบาดแผลนี้ได้…
ถังซียังคงยืนพิงฝาผนัง เธอเก็บงำความลับอย่างหนึ่งไว้จากเขา และเขาเก็บงำความลับหลายอย่างไว้จากเธอ
เมื่อเฉียวเหลียงกลับเข้ามาข้างใน ก็พบว่าเฮ่อหว่านโจวนั่งอยู่ในที่นั่งของเขาและทำหน้าที่แทนเขาแล้ว เขาจึงเดินไปนั่งลงบนที่นั่งของเฮ่อหว่านโจวอย่างสบายอารมณ์ เมื่อเฮ่อหว่านอีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เห็นเขากลับมาคนเดียว เธอก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วเอนตัวเข้าไปหาเฉียวเหลียง กระซิบถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า คุณบอกว่าจะออกไปตามหาโหรวโหรวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมคุณถึงกลับมาก่อนที่จะหาเธอเจอล่ะ”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว หันกลับไปมองด้านหลัง จากนั้นก็หันมามองเฮ่อหว่านอี ถามว่า “เธอยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เฮ่อหว่านอีแอบกลอกตาไปมา “ฉันคงไม่ถามคุณแบบนี้หรอก ถ้าเธอกลับมาแล้ว นี่… ฉันมีเรื่องอยากคุยกับโหรวโหรวนะ เกี่ยวกับงานใหม่ของฉันในวงการแฟชั่น คุณเข้าใจไหม”
จากคำพูดของเธอ เฉียวเหลียงรู้ได้ทันทีว่าเธอคือตัวแทนภาพลักษณ์ที่ถังซีพูดถึง เขามองเฮ่อหว่านอีอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะละสายตาและกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่คิดว่าคุณจะมีอนาคตในวงการแฟชั่น”
ในฐานะดารายอดนิยมผู้เป็นตัวแทนแบรนด์เนมหรูมากมาย เฮ่อหว่านอีรู้สึกระคายเคืองกับคำพูดของเขา อะไรกัน ผู้ชายร้ายกาจคนนี้มาพูดได้อย่างไรว่าเธอไร้ศักยภาพในวงการแฟชั่น! เธอเชิดคางขึ้น ยืดอก แล้วเบิกตาโต “คุณหมายความว่าฉันไม่มีศักยภาพในวงการแฟชั่นมากพองั้นเหรอ! คุณคลางแคลงใจในรสนิยมของโหรวโหรวเหรอ”
เฉียวเหลียงเหลือบมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเฮ่อหว่านอี แล้วละสายตาไปที่อื่น กล่าวอย่างไร้อารมณ์อีกครั้งว่า “เธอไร้รสนิยมที่ขอให้คนอื่นมาทำหน้าที่ตัวแทนภาพลักษณ์ของบริษัทเธอ เธอควรทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง”
เฮ่อหว่านอีพูดไม่ออก ไม่รู้จะโต้แย้งว่าอย่างไร เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ถ้าจะพูดตามตรงเธอเองก็คิดเหมือนกันว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน หากเซียวโหรวรับหน้าที่ตัวแทนภาพลักษณ์ด้วยตัวเอง… แต่… “บ้าจริง คุณนี่อวดแฟนชะมัด! คุณทำให้ฉันคลื่นไส้!”
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เฉียวเหลียงอวดแฟนต่อหน้าเธอ นับจากรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอมีลางสังหรณ์ว่าเขาจะต้องอวดอีกมากมายในอนาคต…
เมื่อพูดถึงถังซี เฉียวเหลียงก็อดยิ้มไม่ได้ เขามองหน้าเฮ่อหว่านอี ซึ่งเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากเขา เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอและมองเฉียวเหลียงขึ้นๆ ลงๆ เฉียวเหลียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ผมแค่พูดความจริง”
เฮ่อหว่านอีหัวเราะอย่างหมั่นไส้ แต่อดอุทานในใจไม่ได้ว่า เฉียวเหลียงนี่ทั้งหล่อเหลือเกินแล้วก็อวดดีเหลือเกินด้วย! หากเธอเป็นพี่ชาย คงไม่เลือกคบชายหนุ่มรูปงามที่มีนิสัยแบบผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนหรอก…
ถังซียังไม่กลับมาแม้ว่าการแสดงจะดำเนินไปครึ่งทางแล้วก็ตาม เฉียวเหลียงพยายามนั่งนิ่งๆ ชมการแสดงโดยแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและเริ่มหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มไม่สบอารมณ์ เฮ่อหว่านอีก็ดูนาฬิกาแล้วเม้มริมฝีปากบอกว่า “เหลืออีกประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่าๆ การแสดงก็จะจบแล้ว ในฐานะผู้ถือหุ้นของโรงเรียนคุณน่าจะลองใช้อภิสิทธิ์ออกไปตามหาเซียวโหรวนะ ทำไมเธอถึงไม่กลับมาเสียที ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ คุณช่วยออกไปตามหาเธอหน่อยสิ…”
เฉียวเหลียงมองหน้าเฮ่อหว่านอี ซึ่งยักไหล่แล้วกล่าวต่อไปว่า “คุณก็รู้นี่ว่าฉันเป็นคนดัง และนี่เป็นโรงเรียนเก่าของฉัน ถ้าฉันออกไปก่อนเวลา ใครต่อใครก็จะเก็บเรื่องนี้ไปนินทาฉัน…” ก่อนที่เธอจะพูดจบ เฉียวเหลียงก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก
เฮ่อหว่านอีกำมือแน่น และเขวี้ยงกำปั้นตามหลังเฉียวเหลียงไปด้วยความโกรธ เด็กเหลือขอคนนี้หยาบคายไม่เปลี่ยนจริงๆ! รอให้เธอพูดจบก่อนไม่ได้หรือไง
เมื่อถึงตอนนี้เซียวจิ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะคณะกรรมการก็หันกลับมามองเฮ่อหว่านอี “เขาจะไปไหน”
เฮ่อหว่านอียักไหล่ “เขากำลังคบหากับน้องสาวนายนี่…”
เซียวจิ่งหัวเราะสะใจ “ฉันได้ยินที่เธอพูดคุยกับเขาหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมาน”
“เธอพอใจเหรอ” เฮ่อหว่านอีเลิกคิ้ว “เธอพอใจที่น้องสาวมีผู้ชายคนหนึ่งมาหึงหวงงั้นเหรอ”
เซียวจิ่ง “…ไปเลยไป!” นี่เธอพูดอะไรของเธอ! ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียใจกับเฉียวเหลียง แต่เขาก็เริ่มเห็นใจถังซี เพราะเขารู้ว่าจริงๆ แล้วโหรวโหรวคือถังซี หากเธอไม่ได้รับความปวดร้าวจากความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่เคยมีต่อกัน เธอคงจะไม่ออกเดินทาง และเธอจะไม่ถูกฆาตกรรมด้วยอุบัติเหตุทางอากาศ หากพูดอย่างเป็นกลาง เฉียวเหลียงมีส่วนทำให้ถังซีเสียชีวิต…
แม้ว่าเธอและเขาจะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งคู่ แต่ผู้หญิงเป็นเพศที่บอบบาง ผู้ชายควรใส่ใจผู้หญิงให้มาก เพราะฉะนั้นเขาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เฉียวเหลียงจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่า
เฮ่อหว่านอีทำท่าทางไล่เขา “เธอนั่นแหละสมควรออกไป พูดกับผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ฮ่าๆ เธอก็รู้ว่าฉันล้อเล่น ฉันรู้ดีว่าเธอไม่ถือสาเรื่องล้อเล่นของฉันหรอก…”
“ไปลงนรกเลยไป!” เฮ่อหว่านอีโต้ตอบด้วยรอยยิ้ม เซียวจิ่งถอนหายใจ “ฉันอิจฉาพี่เหยาเหลือเกิน เขาได้ทำอะไรเฉพาะที่เขาอยากทำ และไม่ต้องมานั่งดูการแสดงที่น่าเบื่อนี้…” เมื่อจบคำพูดเขาก็หันกลับไปชมการแสดงต่อ
เมื่อเขาหันกลับไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเฮ่อหว่านอีก็หายไปทันที เธอเลิกคิ้ว เอนพิงพนักเก้าอี้ ชมการแสดงต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย