ในเวลานั้นเองถังซีก็วิ่งออกไปจากหลังเวที เมื่อเฮ่อหว่านอีตามออกไปนั้นถังซีหายตัวไปแล้ว และทันใดนั้นเฉียวเหลียงก็เดินเข้าไปหาเฮ่อหว่านอีอย่างรวดเร็ว จ้องมองเธอด้วยสายตามีคำถาม เฮ่อหว่านอีมองไปรอบๆ กล่าวว่า “ฉันตามออกมาแต่ไม่พบเธอแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันเห็นแล้วว่าเธอดูไม่ปกติ คุณสองคนทะเลาะกันเหรอ”
เฉียวเหลียงส่ายศีรษะกล่าวว่า “ผมจะไปตามหาเธอ” แล้วรีบออกไปตามหาทางอีกด้านหนึ่ง
เฮ่อหว่านอีมองตามร่างเฉียวเหลียงที่หายลับไป แล้วเดินวนกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย จากนั้นจึงกลับเข้าไปในหอประชุม
เฉียวเหลียงมองไปตามทางเดินในสวนของโรงเรียน ในไม่ช้าเขาก็เห็นถังซีนั่งอยู่ในศาลา ร้องไห้อยู่เงียบๆ คนเดียว เฉียวเหลียงนิ่งขึงเมื่อเห็นถังซีในสภาพเช่นนี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับเท้าเขาติดกาวแน่นกับพื้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาถังซี…
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าถังซีก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง เช็ดรอยน้ำตาที่ไหลเป็นทางบนแก้ม และหันมองกลับมา… เห็นเฉียวเหลียงกำลังยืนมองเธอ ทันใดนั้นสายธารแห่งความเศร้าก็ท่วมท้นหัวใจ ดวงตาเธอแดงก่ำและน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาอีก
เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ เฉียวเหลียงก็รู้สึกเจ็บปวดร้าวรานอย่างหนักในหัวใจ ราวกับว่าหัวใจเขากำลังถูกเข็มนับพันทิ่มแทง เขารีบก้าวเข้าไปหา ดึงถังซีเข้ามากอดในอ้อมแขน ถามด้วยเสียงแหบห้าวอย่างสิ้นหวัง “คุณร้องไห้ทำไม”
ถังซีกอดเอวเฉียวเหลียงพลางสะอื้น “ทำไมคุณถึงเลิกกับฉัน”
หัวใจเฉียวเหลียงถูกกระชากอย่างแรง เขารู้ดีว่าเธอเศร้าแค่ไหนเมื่อเขาขอให้เธอเลิกกับเขา แม้เธอจะไม่เคยแสดงออกให้เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เศร้า เฉียวเหลียงกอดเธอแน่นยิ่งขึ้น กระซิบแผ่วเบา “ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ… สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำคือทำร้ายคุณ”
“ทำไมคุณถึงเลิกกับฉัน” ถังซีเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงและถามอย่างปวดร้าว “คุณรู้ไหมว่าฉันเศร้าแค่ไหน คุณรู้ไหมว่าฉันรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหนตอนคุณจากฉันไป คุณรู้ไหมว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกเลย”
ถังซีทุบอกเขาในขณะร้องไห้ หากเธอไม่ได้กลายเป็นเซียวโหรว เธอก็ต้องตายไปแล้ว และถูกฝังอยู่ใต้ท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มนั้นตลอดกาล พร้อมด้วยความเกลียดชังและความรักที่มีต่อเขา ทั้งสองจะไม่มีวันได้เจอกันอีกในชีวิตนี้…
“ผมรู้… ผมรู้…” เฉียวเหลียงกดศีรษะเธอแนบไว้กับอกเขาแน่น ราวกับต้องการให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา “ผมรู้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเกลียดตัวเอง” เขากล่าวเบาๆ “ถ้าเพียงแต่ผมกล้าหาญพอ ผมจะจองจำคุณไว้ข้างกายผม แม้จะรู้ตัวว่าผมกำลังจะตาย”
“คนโง่!” น้ำตาถังซีเปียกชุ่มอกเสื้อเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงกอดถังซีแน่น ดวงตาแดงก่ำ และน้ำเสียงแหบห้าว “ผมสาบาน จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ยอมพรากจากคุณตลอดชั่วชีวิต ผมจะโอบกอดคุณไว้แน่นๆ เคียงข้างผม ผมจะไม่ยอมปล่อยมือคุณ”
ลำคอถังซีแห้งผาก เธออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้น ประคองใบหน้าเขารั้งลงมา และจูบเขา…
ขณะที่เฉียวเหลียงกอดถังซีแนบแน่น การจูบก็กำลังดูดดื่มลึกซึ้งยิ่งขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “อาจารย์ใหญ่ จะไปไหนครับ”
ถังซีเบิกตาโต และประกายความขัดเคืองวาววับในดวงตาเฉียวเหลียง เขากัดเบาๆ บนริมฝีปากอ่อนนุ่มของถังซี เพื่อลงโทษที่เธอทำให้เขาฟุ้งซ่าน ถังซีร้องอุทานเมื่อรู้สึกเจ็บ และผลักเฉียวเหลียงออกไป ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ตะโกนขึ้นอีก “อาจารย์ใหญ่ครับ ทำไมไม่สูบบุหรี่ในห้องสูบบุหรี่ล่ะครับ ไปสูบที่ริมทะเลสาบจะไม่ปลอดภัยนะครับ!”
“คุณเหอ วันนี้คุณดูแปลกๆ นะ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรจะคุยกับผมหรือ” อาจารย์ใหญ่หดขาที่กำลังจะก้าวออกไปและมองกลับไปที่คุณครูเหอ ซึ่งคว้าข้อมือเขาไว้ เขาขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็บอกผมมาได้เลย ผมจะ…”
ถังซีจูงมือเฉียวเหลียงวิ่งไปทางอีกด้านหนึ่ง เฉียวเหลียงถูกถังซีลากไปยังป่าไผ่ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ก่อนเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองถังซีที่จมูกยังแดง และเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เธอ ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียงและแสร้งทำเป็นโกรธ “คุณจะต้องถูกตำหนิ! ในฐานะคณะกรรมการคุณควรทำหน้าที่ให้ดี ทำไมคุณถึงหนีออกมาข้างนอกอย่างนี้”
เฉียวเหลียงชอบเห็นถังซีโกรธเพราะเธอดูน่ารัก เขายิ้ม ลูบผมเธอแล้วกระซิบ “เพราะผมต้องการให้คุณแต่งงานกับผม”
ถังซีชะงัก มองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความประหลาดใจ เฉียวเหลียงจับมือถังซี ลูบนิ้วเธอเล่น เขาลูบนิ้วนางเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ผมคิดว่าคุณต้องการเครื่องประดับสำหรับนิ้วนี้ ให้ผมสวมให้คุณได้ไหม”
ถังซีดึงมือกลับราวกับถูกไฟฟ้าชอต แล้วมองหน้าเฉียวเหลียงถามว่า “เครื่องประดับแบบไหนเหรอ”
เฉียวเหลียงยิ้ม “เครื่องประดับที่ทำจากหัวใจผม คุณจะยอมรับไหม”
ดวงตาถังซีแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง เธอส่ายศีรษะ และใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเฉียวเหลียงแข็งทื่อทันที ถังซีมองเฉียวเหลียงและเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “คุณเป็นอย่างนี้เสมอ คุณทำทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องเล่น ไม่เว้นแม้กระทั่งการขอแต่งงาน เฉียวเหลียง…” ถังซียกมือขึ้นมองนิ้วนาง ขณะกล่าวต่อไป “แหวนที่จะอยู่บนนิ้วนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงเครื่องประดับ แต่เป็นคำสัญญาระหว่างฉันกับสามีของฉัน สัญญาที่บ่งบอกว่าเราจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป คุณเข้าใจไหม ถ้าทุกคนถือว่าแหวนที่สวมบนนิ้วนี้เป็นเครื่องประดับ แหวนนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่คุณสามารถถอดและโยนทิ้งได้โดยไม่ต้องสนใจ คุณเข้าใจหรือยัง”
เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี รู้ตัวทันทีว่าเขาพูดอะไรผิดไป เขาพยักหน้า แล้วรวบร่างถังซีเข้ามาในอ้อมกอด “ผมขอโทษ ผมไม่ได้พูดให้ชัดเจน”
ถังซีส่ายศีรษะ ดึงแขนเฉียวเหลียงออก เธอมองหน้าเฉียวเหลียงและกล่าวเสียงต่ำว่า “เราออกมานานเกินไปแล้ว กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ ฉันไม่รู้ว่าฉันได้คะแนนเท่าไร”
เฉียวเหลียงจูงมือเธอ ถังซีชะงัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงมือกลับ เฉียวเหลียงกล่าวว่า “คะแนนของคุณไม่ต่ำแน่ เพราะคุณแสดงผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
ถังซียิ้ม “สิ่งที่ดีสำหรับคุณ ไม่จำเป็นต้องดีสำหรับคนอื่นนี่”
“จะไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่ดี ขืนใครกล้าทำ ผมจะกำจัดพวกเขา”
ถังซีเหลือบมองเฉียวเหลียงอย่างอ่อนใจ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครเนี่ย ถึงจะกำจัดพวกเขา ฉันจำได้ว่าคุณยังต้องพึ่งพาพี่จิ่งอยู่เลย ในการจัดการเรื่องของเฉียวกรุป…”
“นั่นเป็นเพราะผมไม่ว่าง” เฉียวเหลียงยกกำปั้นขึ้นป้องปากกระแอม เขามองหน้าถังซี นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วถามว่า “ว่าแต่… เซียวจิ่งเล่าเรื่องฉินซินหยิ่งให้คุณฟังหรือเปล่า”
ถังซีพยักหน้า “เล่าค่ะ เขาบอกว่ามือเธอบาดเจ็บ แต่เธอส่งภาพสเก็ตช์ที่เธอออกแบบไว้ก่อนหน้านั้นให้ทางบริษัท งานออกแบบชุดนั้นไม่เลว ถึงจะไม่สมบูรณ์พอแต่ก็ดูดีใช้ได้ และผู้อำนวยการแผนกออกแบบของบริษัทคุณตัดสินใจจะใช้ผลงานของเธอ ใช่ไหมคะ”
เฉียวเหลียงยิ้ม “ถ้าคุณไม่อยากให้ทำอย่างนั้น…”
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ปล่อยให้เธอเข้าร่วมการแข่งขันด้วยน่าจะสนุกกว่า จริงไหม”