หลังจากขึ้นมาบนเวทีถังซีก็โค้งคำนับผู้ชม จากนั้นเดินไปที่เปียโน เมื่อเห็นเปียโนสีขาวเธอก็ยิ้ม แล้วยกนิ้วโป้งอันใหญ่ให้เฮ่อหว่านอีอยู่ในใจ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ! เธอสวมชุดสีแดงในคืนนี้ และเปียโนของโรงเรียนเป็นสีดำ ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องลงมาจากด้านบนภาพจะดูเคร่งขรึมเกินไป แต่ถ้าเป็นเปียโนสีขาวความรู้สึกจะไม่เป็นแบบนั้น แต่จะให้ภาพที่น่าประทับใจมาก
ถังซีนั่งลงบนเก้าอี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาวางไมโครโฟนใกล้ๆ เธอ เธอพยักหน้าขอบคุณเขา แล้วมองกลับไปยังผู้ชม
เฉียวเหลียงนั่งอยู่ที่โต๊ะกรรมการ วางโทรศัพท์มือถือที่เล่นอยู่ทันทีก่อนที่ถังซีจะขึ้นเวที และรีบปรบมือ เซียวจิ่งกับเซียวส่าที่นั่งข้างๆ เขาไม่ใช่แค่ปรบมือแต่ยังผิวปากอีกด้วย
ถังซียิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็วางมือลงบนคีย์เปียโน ทันทีที่มือเธอแตะคีย์เปียโน เสียงปรบมือก็หยุดลง ถังซียิ้มพลันตัวโน้ตอันสวยงามก็หลั่งไหลออกจากปลายนิ้วเธอ… แต่ละตัวโน้ตที่ตามกันมานั้นประกอบกันเป็นบทเพลงอันสมบูรณ์แบบ…
ผู้ชมด้านล่างเวทีเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง เฮ่อหว่านอีกำลังดูการแสดงของถังซีด้วยความกังวล รู้สึกโล่งใจทันทีที่เห็นแบบนี้ เธอมองดูความมั่นใจบนใบหน้าถังซีและบ่นว่า “ดูเหมือนฉันจะกังวลมากเกินไป การแสดงของโหรวโหรวนั้นสมบูรณ์แบบที่สุด”
หลิวเฉิงอวี่นั่งอยู่ที่โต๊ะคณะกรรมการจ้องมองถังซีด้วยความหลงใหล สายตาเขาเปี่ยมไปด้วยความรัก ไม่มีใครบดบังความงดงามของหงส์ได้ แม้จะเติบโตขึ้นมาบนภูเขา เธอก็ยังคงเปล่งความงดงามเจิดจรัสได้เสมอตราบใดที่เธอต้องการ และไม่มีใครต้านทานเสน่ห์เธอได้…
เฉียวเหลียงก็มองถังซีด้วยท่าทางเดียวกัน แต่ความคิดเขาแตกต่าง เขาคิดว่าถ้าเขากล้าหาญพอ เล่าให้เธอฟังถึงความเจ็บป่วยของเขา และถามเธอว่าเธอยังอยากจะคบกับเขาอยู่หรือเปล่า ทั้งสองก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปห้าปี เธอจะไม่เนรเทศตัวเองไปตามที่ต่างๆ อันเป็นการเปิดโอกาสให้กับศัตรูที่จะฆ่าเธอ…
และจากนั้นบทเพลงบรรเลงเปียโนชิ้นโปรดของเธอ ‘เดอะ เวดดิง ออฟ เดอะ ดรีม’ หรือ ‘วิวาห์ในฝัน’ ก็จะบรรเลงอย่างอ่อนหวานในพิธีแต่งงานของเธอกับเขา ทั้งสองจะเป็นคู่รักที่น่าอิจฉา…
ในเวลานี้ ขณะกำลังเล่นเพลงอยู่ถังซีก็คิดถึงอดีตเช่นกัน เธอลืมไปนานมากแล้วว่าเธอโปรดเพลงนี้มากแค่ไหน มีช่วงเวลาที่เธออยากแต่งงานกับเฉียวเหลียงจริงๆ และเธอคิดว่างานแต่งงานของเธอกับเขา จะลงเอยด้วยการกลายเป็นหนึ่งในความฝันอันแสนงดงาม เธอจึงตกหลุมรักเพลงนี้… แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เคยเล่นให้เฉียวเหลียงฟัง…
ถังซีมองเฉียวเหลียง ก็พบว่าเฉียวเหลียงก็มองเธออยู่เช่นกัน ทันใดนั้นเธอก็เริ่มคัดจมูกขึ้นมา เธอรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว จนทำให้ท่วงทำนองเพลงค่อยๆ เปลี่ยนจากความสุขเป็นความเศร้า ผู้ชมหลายคนถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก…
เฉียวเหลียงยกมือขึ้นป้องหน้าผากและแอบเช็ดน้ำตาเบาๆ ขณะที่ไม่มีใครเห็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งถังซีก็เสร็จสิ้นการแสดง และยืนขึ้นขอบคุณผู้ชม
ช่วงเวลานั้นเป็นความเงียบงัน แล้วตามมาด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น เมื่อถังซีหันกลับหลังและเดินออกจากหน้าเวทีไป เฉียวเหลียงก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโต๊ะคณะกรรมการ
เซียวจิ่งอ้าปากค้างเมื่อเห็นเฉียวเหลียงจู่ๆ ก็ลุกจากไป แต่ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายหลิวเฉิงอวี่ก็ลุกขึ้นและกำลังจะไปหาถังซี เซียวจิ่งรีบคว้าแขนหลิวเฉิงอวี่ไว้ บอกเขาเสียงเบาว่า “ประธานหลิว อย่าเอาแต่ใจเหมือนประธานเฉียวได้ไหม คุณไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับนักเรียน ด้วยการกระทำแบบนี้หรอกใช่ไหม”
หลิวเฉิงอวี่มองเซียวจิ่งด้วยท่าทางลังเล เซียวจิ่งยักไหล่ “ทั้งสองคนเป็นกรรมการ จะออกไปก่อนให้คะแนนนักแสดงได้ยังไง ผมขอให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนเขาได้ แต่ผมจะหาอีกคนมาแทนที่คุณได้ไหม คุณอยากให้น้องสาวผมกลับบ้านมือเปล่า หลังจากทำการแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างนี้เหรอ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิวเฉิงอวีก็นั่งลงทันที ถึงตอนนี้เฮ่อหว่านโจวได้ลุกจากที่นั่งแถวแรกมานั่งลงบนเก้าอี้ของเฉียวเหลียง เขาวางสีหน้าเรียบเฉยปกปิดความประหม่า และถามเซียวจิ่งเบาๆ ว่า “เขาไปไหน”
หนิงเหยี่ยนซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวาของเฉียวเหลียง มองเฮ่อหว่านโจวด้วยท่าทางอ่อนใจ เบ้ปาก แล้วกล่าวว่า “นายคิดว่าไงล่ะ”
เฮ่อหว่านโจวถอนหายใจ บ่นอย่างหงุดหงิด “เอาแต่ใจ! เขาทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ได้ยังไง! ในฐานะกรรมการเขาควรจะนั่งให้คะแนนอยู่ตรงนี้… แต่นี่เขากลับไล่ตาม…”
หนิงเหยี่ยนขัดจังหวะโดยกล่าวว่า “เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้เลย คนดูมองนายกันใหญ่แล้ว มาเร็ว ให้คะแนนก่อน พิธีกรกำลังรอนายอยู่!”
เฮ่อหว่านโจวยิ้มเขินกลบเกลื่อน ยกป้ายคะแนนชูให้พิธีกรดู ซึ่งเป็นคะแนนเต็ม แล้วเหลือบมองหนิงเหยี่ยนพร้อมกับกล่าวว่า “เธอเล่นเปียโนเก่งกว่าน้องสาวฉันอีก น้องสาวฉันเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ สาวน้อยคนนี้เรียนรู้การเล่นเปียโนได้ยังไงในเวลาสั้นๆ แบบนี้…”
หนิงเหยี่ยนคำรามเบาๆ แล้วกล่าวว่า “สาวน้อยคนนี้ยังไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาทั้งหมด” เขาเม้มริมฝีปาก “และยิ่งไม่แสดงประวัติความเป็นมา ฉันก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวของเธอ” แต่เขาไม่พบอะไรเลย แม้จะพยายามสืบค้นเท่าไรก็ตาม
ตอนนี้เขายิ่งอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิมอีก…
กรรมการทุกคนให้คะแนนเต็มแก่ถังซี หางตาหนิงเหยี่ยนหรี่ลง เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นายลำเอียงเข้าข้างเธอ!”
เซียวจิ่งกล่าวอย่างสมเหตุผล “เธอสมควรได้คะแนนเต็ม เธอเล่นเปียโนเก่งกว่าฉันอีก”
เซียวส่าเสริมว่า “และเธอก็สวยงามมากด้วย เธอต้องได้คะแนนเต็ม”
อาจารย์ใหญ่ก็ให้คะแนนเต็มแก่ถังซีด้วยความยินดี ขณะกล่าวว่า “เซียวโหรวเล่นเปียโนเก่งจริงๆ และเธอมีผลการเรียนดีมาก ช่างเป็นนักเรียนที่มีความสามารถมากจริงๆ! เธอเก่ง เก่งมากๆ”
หางตาหนิงเหยี่ยนหรี่ลงอีก เขาเม้มริมฝีปาก และเขียนคะแนนเก้าจุดเก้าลงบนกระดาน เมื่อสังเกตเห็นว่ากรรมการอีกหลายคนให้คะแนนเต็ม เซียวจิ่งกะพริบตาปริบๆ มองเขา แล้วถามว่า “ทำไมนายไม่ให้คะแนนเต็มล่ะ!”
มีอะไรให้หักศูนย์จุดหนึ่งคะแนน
หนิงเหยี่ยนส่งเสียงฮึดฮัดและเลิกคิ้ว “นายไม่เข้าใจฉันหรือไง ฉันให้คะแนนเธอแค่นี้ เพื่อไม่ให้เธอเหลิง ถ้าเราให้คะแนนเต็มเธอก็จะรู้สึกพึงพอใจในตนเอง และหยุดพัฒนา ฉันทำแบบนี้เพื่อเธอ เข้าใจไหม”
“ฮ่าๆ ผู้กำกับหนิงพูดถูกแล้ว เซียวโหรวเป็นคนเก่ง แต่เธอยังสามารถพัฒนาให้เก่งได้มากกว่านี้อีก” เฮ่อหว่านโจวยิ้มและพยักหน้า ในเวลานี้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเปลี่ยนชื่อกรรมการบนแผ่นป้าย จากเฉียวเหลียงเป็นเฮ่อหว่านโจว ขณะที่เฮ่อหว่านโจวมองดูป้ายชื่อ พิธีกรก็กล่าวเสียงดังขึ้นบนเวที “ขอแสดงความยินดีกับเซียวโหรว เธอได้คะแนนสูงสุดเท่าที่เคยมีมาจนถึงตอนนี้ สร้างสถิติใหม่ให้กับการแสดงงานศิลปะของโรงเรียนมัธยมตี้อี ด้วยคะแนนเก้าสิบเก้าจุดเก้า อีกเพียงศูนย์จุดหนึ่งคะแนน เธอก็จะได้คะแนนเต็ม!”
หอประชุมกึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น เป็นการเริ่มต้นงานแสดงครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการแสดงของถังซี นักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังจะแสดงในคืนนี้แทบไม่อยากขึ้นเวที