บทที่ 168 ผู้หลบลี้

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 168

ผู้หลบลี้

 

เพี๊ยะ!

 

เสวี่ยหยูที่พูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกชายร่างเล็กนาม เฉินหนานเจียน ตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนนางล้มลงกับพื้น

 

เหล่าสมาชิกหอการค้าที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาพยุงตัวผู้จัดการ

 

เสวี่ยแทบจะทันที และมองชายเตี้ยในชุดดำยาวด้วยสายตาอาฆาตแค้น

 

“แก กล้าดียังไง!”

 

“รู้จุดยืนของตัวเองซะบ้าง อยากตายนักรึไง!?”

 

สมาชิกหอการค้าบางส่วนก็แสดงท่าทีไม่พอใจและเริ่มชักอาวุธเข้ารายล้อมกองกำลังของผู้บุกรุก

 

ลูกค้าที่กำลังจับจ่ายใช้สอย เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ผิดปกติพวกเขาก็รีบหนีออกจากหอการค้าในทันทีเหลือไว้เพียงกลุ่มของผู้บุกรุกและสมาชิกหอการค้าเท่านั้น

 

ลี่อิงที่ทำงานกับเสวี่หยูมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นแม่นางเสวี่ยผู้เป็นแบบอย่างของนางล้มลงต่อหน้าต่อตา นางก็ขบฟันกรอดด้วยความโมโห พลางชักดาบชี้ไปที่หน้าของเฉินหนานเจียน

 

“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร วันนี้ข้าจะต้องฆ่าแกให้ได้!”

 

เฉินหนานเจียน และกองทหารของเขาที่ถูกรายล้อมด้วยเหล่าจอมยุทธ์มากฝีมือก็ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้ว่าชายร่างสูง ลิ่วฉินตง จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่บุ่มบ่ามของเฉินหนานเจียน แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่เกรงกลัวการต้อนรับของเจ้าบ้านแต่อย่างใด หนำซ้ำเขายังก้าวเท้าออกมาข้างหน้า อกจรดที่ปลายดาบของลี่อิงและพูดจาคุยโวโอ้อวดอีกด้วย

 

“เหอะ! ก็แล้วใครสั่งใครสอนให้ผู้จัดการของเจ้าไร้มารยาทกันล่ะ! โดนสั่งสอนซะบ้างก็สมควรแล้วนี่!?”

 

“พวกเจ้าเห็นเสื้อนี่ยังไม่รู้อีกงั้นรึว่าพวกข้าคือศิษย์แห่งภาคีซวนหยิง (เหยี่ยวทมิฬ)”

 

“ภาคีเหยี่ยวทมิฬ!? 1 ในภาคีของ 7 ขุนพลงั้นรึ?”

 

“แย่แล้ว! ไปเรียกท่านเย่มาเร็ว!”

 

เมื่อได้ยินชายร่างสูงประกาศกร้าว เหล่าสมาชิกหอการค้าที่อยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวก็ได้สติราวกับถูกปลุกออกจากภวังค์ แม้แต่เสวี่ยหยูเองก็ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก นางรีบลุกขึ้นและรีบคว้าไหล่ของลี่อิงเอาไว้ ก่อนจะพูดกับเฉินหนานเจียน และลิ่วฉินตงอย่างใจเย็น

 

“นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่หอการค้าหยูเย่ได้ต้อนรับศิษย์แห่ง 7 ขุนพล ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองต้องการอะไรงั้นหรือเจ้าคะ?”

 

แม้ว่าจะถูกตบที่ใบหน้าอย่างจัง แต่ด้วยประสบการณ์ทำให้นางควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ และถามพวกเขาขึ้นอย่างใจเย็น

 

ลิ่วฉินตงประหลาดใจกับท่าทีของแม่นางเสวี่ย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก่อนเน้นย้ำถึงความต้องการของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

“พวกข้ามาที่นี่เพื่อตามหาใครบางคน หากพวกเจ้าไม่อยากเดือดร้อนล่ะก็รีบส่งตัวพวกมันมาได้แล้ว!”

 

เสวี่ยหยูได้ยินดังนั้น สีหน้าและแววตานางก็สะท้อนความลังเลปนความลำบากใจออกมา ลี่อิงและเหล่าสมาชิกเห็นท่าไม่ดีก็รีบเรียกเย่เย่มา

 

อย่างไรก็ตามเฉินหนานเจียนนั้นไม่ได้ใจเย็นเหมือนกับลิ่วฉินตง ทันทีที่เขาเห็นสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของแม่นางเสวี่ย เขาก็ฉุนเฉียวในทันที

 

“ชิ! ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เห็นหัวพวกข้าเลยงั้นสินะ!? แม่หญิง เจ้าคือผู้จัดการฉะนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ!”

 

เฉินหนานเจียนปลดปล่อยจิตวิญญาณพญาอินทรีออกมา ใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ที่งอกขึ้นที่มือขวาเล็งไปที่เนินอกของเสวี่ยหยูหมายฉีกกระชากเสื้อของนางออกเป็นชิ้นๆ

 

ลี่อิงสุดจะทนนางกวัดแกว่งดาบฟาดฟันไปที่แขนขวาของเฉินหนานเจียน แต่ทว่าความเร็วของนางก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับเทพอสูรขั้นสูงได้เลย

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าา”

 

ชั่วขณะที่กงเล็บพญาอินทรีจะตะครุบเหยื่อ ทันใดนั้นเองจิตสังหารอันแรงกล้าก็โพยพุ่งมาจากข้างหลังเขา

 

เปรี้ยงงงงงงงงงงง

 

เงาตะคุ่มที่พุ่งมาด้วยความเร็วก็ซัดเข้าที่อกของชายหื่นอย่างรุนแรง และลากร่างของเขาทะลุกำแพงกระเด็นออกไป

 

“อั่กกกกกก! พรวดดด”

 

เลือดพุ่งออกมาจากปากของเฉินหนานเจียนเป็นสายน้ำ ดวงตาของเขาเบิกโพลงราวกับเห็นผี

 

“ใครก็ตามที่บังอาจแตะต้องผู้หญิงของข้า จะไม่ได้ตายดี!” เย่เย่หันไปช่วยพยุงเสวี่ยหยูขึ้น และชำเลืองมองศัตรูด้วยความเลือดเย็นราวกับอสรพิษ

 

“ท่านประธาน!” เสวี่ยหยูมองเย่เย่ตาไม่กะพริบ พลางเอามือป้องปาก

 

“โห่ กว่าจะมาได้นะท่าน!”

 

“ฆ่ามันเลย”

เมื่อสถานการณ์พลิกผัน สมาชิกหอการค้าที่ถูกกดดันจากเหล่าศิษยานุศิษย์ของภาคีเหยี่ยวทมิฬต่างตะโกนเสียงดังลั่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับไล่เลี่ยกับเย่เย่ แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าท่านประธานอีกแล้ว

 

“เสวี่ยหยู…ขอโทษที่ให้รอนะ” เย่เย่หันหน้ามองแม่นางที่อยู่ในอ้อมอกของตนด้วยความเป็นห่วงปนความรู้สึกผิด พลางนึกย้อนว่าหากเขาไม่ได้ตามเจิ้งซูลงมาเพื่อพบแขกในทีแรก ผลลัพธ์ของเรื่องราวทั้งหมดคงแย่ไปกว่านี้

 

“อื้อ ข้าไม่เป็นไร คนพวกนี้อ้างว่าเป็นศิษย์แห่งภาคีเหยี่ยวทมิฬ พวกเขามาตามหาแขกทั้งสามของท่านเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อทั้งสามคนนั้นบอกว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าท่าน ข้าก็เลย…”

 

“ไม่ต้องพูดอีกแล้วล่ะ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ” เย่เย่ยิ้มให้เสวี่ยหยูอย่างอ่อนโยน พลางใช้นิ้วชี้ป้องปากของนางไว้

 

เสวี่ยหยูได้ยินดังนั้นก็น้ำตาคลอเบ้าออกมา และซุกหน้าที่บวมเป่งของนางไปที่แผ่นอกของเย่เย่

“เจ้าคงจะเป็นเย่เย่ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้งั้นสินะ? หากเจ้าฉลาดพอเจ้าคงจะรู้ว่าต้องทำยังไง”

 

หลังจากปล่อยให้เย่เย่และเสวี่ยหยูสวีทกันอยู่พักใหญ่ ลิ่วฉินตงก็ผายมือและพูดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ หลังจากเห็นความสามารถของเย่เย่ทำให้พวกเขามองเย่เย่เปลี่ยนไปจากเดิม แม้ว่าคำพูดจะดูโอหังไปบ้าง แต่มันก็สะท้อนความไม่มั่นใจออกมาจากน้ำเสียง

 

ได้ยินดังนั้นเย่เย่ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แม้ว่าตัวเย่เย่เองจะไม่อยากมีปัญหากับภาคีที่ได้ชื่อว่าเป็น 7 ขุนพลของราชวงศ์ฉางหลาง แต่รอยบวมเป่งบนใบหน้าของเสวี่ยหยูทำให้ปรอทความโกรธของเขาปะทุขึ้นจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ใช่คนที่จะใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เขาจึงหายใจเข้าออกอย่างช้าๆเพื่อคลายความโกรธลง และเรียกแขกทั้งสามออกมาเพื่อถามไถ่

 

เมื่อลั่วเฟิงเฉิง มู่หลู และหม่าเจียนเยว่มาถึงโถงกลางพวกเขาก็ประสานมือทำความเคารพเย่เย่

 

“ขออภัยด้วยที่พวกข้าทำให้ท่านต้องเดือดร้อน แต่พวกข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆนะเจ้าคะ!”

 

เหล่าสมาชิกหอการค้าบ้างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็โกรธเกลียด บ้างก็เห็นใจ แต่ทว่าลี่อิงนั้นเป็นจำพวกแรก เป็นเพราะพวกเขาทั้งสามที่ทำให้เสวี่ยหยูที่นางเทิดทูนต้องตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ เป็นเพราะทั้งสามทำให้หอการค้าหยูเย่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ดังนั้นลี่อิงจึงไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อคนแปลกหน้าทั้งสามเลยแม้แต่น้อย

 

หลังจากที่ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น เหล่าศิษย์แห่งภาคีเหยี่ยวทมิฬก็จ้องพวกเขาตาไม่กะพริบราวกับอยากจะฆ่าจะแกงในทุกเมื่อ สำหรับพวกเขาแล้วนิกายลำนำแห่งขุนเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทง ขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำอะไรได้สะดวกไม่แต่ไหนแต่ไร ยังไม่นับการที่แม่นางมู่หลูถือครองเมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ

 

ในขณะนี้กองกำลังของทั้ง 7 ขุนพลได้ปิดล้อมนิกายลำนำแห่งขุนเขา ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลภูผาสวรรค์สรรค์สร้างลงได้ แต่ตราบใดที่เมล็ดพันธุ์ยังไม่ส่งถึงมือของเม่งเทียนฉือ นิกายลำนำแห่งขุนเขาก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีที่ต่อเนื่องและหนักหน่วงของเหล่า 7 ขุนพลได้

 

ระหว่างที่เหล่าสมาชิกหอการค้ายังคงถกเถียงกันอยู่ แม่นางมู่หลูก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมด พร้อมเปิดเผยตัวตนของพวกนาง และนิกายลำเนาแห่งขุนเขาอย่างหมดเปลือก และคุกเข่าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือกับเย่เย่ที่เป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่อีกครั้ง…