บทที่ 169 ติดกับ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 169

ติดกับ

 

“ท่านเย่ ท่านน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าหากขัดขืนพวกเราแล้วผลลัพธ์จะลงเอยเช่นไร” แม้น้ำเสียงของลิ่วฉินตงจะดูสุขุมนุ่มลึก แต่วาจาของเขาเต็มไปด้วยคำข่มขู่ ชายร่างสูงใหญ่ขยิบตาเป็นสัญญาณให้ลูกน้องคว้าตัวผู้หลบหนีทั้ง 3 ในขณะที่เย่เย่ไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“ในอาณาบริเวณของหอการค้าหยูเย่ หาใช่สนามเด็กเล่นของพวกเจ้าไม่!” สิ้นเสียงของเย่เย่ ร่างของเขาก็หายไปด้วยความเร็ว ก่อนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างหน้าผู้ลี้ภัยทั้ง 3

 

แม้ว่าชื่อเสียงเรียงนามของสำนักเหยี่ยวทมิฬจะยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าสักเพียงใด แต่ลิ่วฉินตงและลูกน้องเพียงหยิบมือของเขาก็ไม่สามารถทำให้เย่เย่หวั่นเกรงได้แม้แต่น้อย นอกจากนี้หากนิกายลำนำแห่งขุนเขาของพวกแม่นางมู่หลูถูกทำลายลง ไฟสงครามจะต้องลุกลามไปทั่วแผ่นดินไม่เว้นแม้แต่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ห่างไกลเป็นแน่ ดังนั้นหลังจากที่เย่เย่ครุ่นคิดถึงข้อดีข้อเสียอยู่พักนึงเขาก็ตัดสินใจช่วยเหลือกลุ่มของแม่นางมู่ให้รอดพ้นเงื้อมมือของสำนักเหยี่ยวทมิฬ

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านเย่ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย” แม่นางมู่ซาบซึ้งในน้ำใจของเย่เย่ นางโค้งคำนับเขาอย่างไม่ลดละ ลั่วเฟิงเฉิงและหม่าเจียนเยว่ก็เช่นเดียวกันแสงแห่งความหวังเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาพวกเขาอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองก็ยังคงเป็นกังวลกับหอการค้าหยูเย่อยู่ไม่น้อย

 

ทันทีที่ลิ่วฉินตงเห็นการตัดสินใจของเย่เย่ ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ และถามเย่เย่ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านเย่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ถ้าไม่มีความเกรงกลัวต่อ 7 ขุนพลบ้างเลยหรือยังไงกัน?”

 

เฉินหนานเจียนที่เพิ่งถูกเย่เย่ซัดจนหมอบก็จ้องเย่เย่ตาเขม็ง และพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น

 

“อย่างแกเนี่ยนะผู้แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันตก เฉียงใต้? เหอะ! อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย! ถ้าเจ้าเดินทางไปภูมิภาคอื่นเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสวะปลายแถวหรอกนะจะบอกให้!”

 

เฉินหนานเจียนที่หลงคิดว่าตัวเองเสียท่าเพราะถูกเล่นงานทีเผลอ เขาก็ชี้หน้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามเย่เย่

 

บรรยากาศภายในโถงกลางของหอการค้าหยูเย่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าสันติวิธีคงไม่ใช่ทางออกสำหรับพวกเขาเหล่านี้

 

แปะ แปะ แปะ

 

เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ

 

“กล้ามาก กล้ามาก! ในเมื่อพวกเจ้าเลือกเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ” ลิ่วฉินตงที่พยายามเจรจาต่อรองก็รู้สึกเหมือนโดนเหยียบหน้าเข้าอย่างจัง

 

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็พุ่งใส่เย่เย่พร้อมตะโกนออกคำสั่งแก่ลูกน้องของเขา “ฆ่าพวกหอการค้าหยูเย่กับนิกายลำนำแห่งขุนเขาไปพร้อมๆกันเลย อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”

 

“ฆ่ามันให้หมด!”

 

“ในนามแห่งฉางหลาง ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเอง!”

 

เหล่าศิษยานุศิษย์แห่งสำนักเหยี่ยวทมิฬที่กระหายการต่อสู้ ก็เปิดฉากฆ่าฟันสมาชิกหอการค้าหยูเย่อย่างบ้าระห่ำ แม่นางมู่หลูที่ถือครองเมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยฉากออกไป

 

เย่เย่สะบัดมือ ม่านพลังทรงครึ่งวงกลมก็ค่อยๆปรากฏขึ้นครอบกองกำลังของศัตรูเอาไว้ ทันใดนั้นเองเหล่าศัตรูก็หายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน ราวกับถูกโยกไปอีกมิติหนึ่ง

 

“เป็นค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!?” แม่นางมู่พูดพึมพำอยู่กับตัวเอง พลางมองค่ายกลสวรรค์ชั้นฟ้าดาราดับสูญที่ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา

 

“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะร้ายกาจถึงเพียงนี้!?”

 

“พวกเหยี่ยวทมิฬได้งงเป็นไก่ตาแตกแน่งานนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

 

เย่เย่ไม่ได้สนใจคำเยินยอ เขาเร่งสั่งซูฉีเจี่ยและฉินเจิ้นตู

 

“ข้าจะจัดการเทพอสูรทั้งสองนั่นเอง ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วยล่ะ”

 

“ขอรับ!” ซูฉีเจี่ยและฉินเจิ้นตูตอบรับด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ พวกเขาที่ไม่ได้ออกโรงมานานก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยให้พวกมันเหลือรอดออกมาได้แน่!” เย่เย่พูดสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ลี้ภัยทั้งสาม ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในค่ายกลเพื่อจัดการกับเหล่าผู้บุกรุก

 

“ข้าน้อยซาบซึ้งในบุญคุณของท่านเย่ นิกายของพวกเราจะไม่ลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย” หม่าเจียนเยว่ตะโกนขอบคุณไล่หลังเย่เย่ไปอย่างสุดเสียง พร้อมโค้งคำนับออกมาจากใจจริง ทั้งมู่หลูและลั่วเฟิงเฉิงก็ประสานมือคำนับเย่เย่อยากพร้อมเพรียงกัน

 

ในขณะเดียวกันเหล่าศิษย์แห่งสำนักเหยี่ยวทมิฬต่างตื่นตระหนก และหวาดผวาในเวลาเดียวกัน เมื่อถูกโยกย้ายมาในมิติพิศวงที่ไร้ซึ่งพรมแดน พวกเขาเริ่มกวัดแกว่งอาวุธอย่างลนลาน

 

“เหวอออออออ ที่นี่มันที่ไหน?”

 

“ทำไมตัวข้าถึงได้ลอยแบบนี้!?”

 

“ใจเย็นก่อน! นี่มันก็แค่ภาพลวงตาที่เย่เย่มันสร้างขึ้นเท่านั้น ตราบใดที่พวกเราฆ่ามันได้ เราก็ชนะ!” ลิ่วฉินตงทำใจดีสู้เสือ พูดปลุกใจบรรดาลูกน้องที่ขวัญหนีดีฝ่อ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ถูกลอบโจมตีจากมุมมืดโดยซูฉีเจี่ยและฉินเจิ้นตู

 

“จองหอง!” เมื่อเริ่มจับจังหวะได้ เฉินหนานเจียนก็โคจรพลังปราณเข้าที่กำปั้นทั้งสองข้าง ก่อนพุ่งเหวี่ยงหมัดใส่ฉินเจิ้นตูด้วยความเร็วดุจสายลม

เปรี้ยงงงงง!

 

ฉินเจิ้นตูตั้งการ์ดป้องกันจุดสำคัญเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่ทว่าร่างของเขาก็ถูกซัดกระเด็นออกไปไกล ทันใดนั้นเองลำแสงก็พุ่งผ่านฉินเจิ้นตูใส่เฉินหนานเจียนเข้าอย่างจัง

 

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมม

 

เสียงระเบิดดังสนั่นก้องไปทั่วทุกมุมของค่ายกลจักรวาล เฉินหนานเจียนถูกลำแสงร้อนแรงยิงทะลุร่างจนเกินรูขนาดใหญ่ที่กลางลำตัว

 

“รออะไรอยู่เล่า ไปฆ่าพวกมันให้หมด!” เย่เย่ที่เพิ่งฆ่า เฉินหนานเจียนไปหมาดๆ ก็ออกคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นฉินเจิ้นตูและซูฉีเจี่ยที่ยังยืนอึ้งอยู่

 

เมื่อเหล่าสำนักเหยี่ยวทมิฬเห็น 1 ใน 2 หัวหน้าตายอย่างอเนจอนาถลงต่อหน้า ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็แตกกระเจิง แม้แต่ลิ่วฉินตงที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาก็คิดหาหนทางเอาตัวรอด

“ช้าก่อนท่านเย่! พวกเราแค่หลงผิดไปชั่วขณะ ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะ! ข้าสาบานว่าสำนักเหยี่ยวทมิฬจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่ 2” ชายร่างสูงจอมเจ้าเล่ห์รีบคุกเข่าลงขอขมาต่อเย่เย่

 

แม้ว่าการขอความเมตตานั้นจะน่าอับอาย แต่เมื่อเทียบกับการมีชีวิตรอดแล้วนั้น ลิ่วฉินตงก็เลือกการมีชีวิตอย่างไม่ลังเล ตราบใดที่เขารอดกลับไปยังสำนักได้จะกลับมาแก้แค้นเย่เย่ทีหลังก็ยังไม่สายไปเสียทีเดียว…