ตอนที่ 339 ต้มแกงนกพิราบ / ตอนที่ 340 ในใจท่านอ๋องเศร้านัก

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 339 ต้มแกงนกพิราบ 

 

 

 

 

 

คนที่ฮ่องเต้ส่งไปแจกของช่วยภัยแล้ง ว่าแล้วก็เป็นอย่างที่เฝิงเยี่ยไป๋คิดไว้ ระหว่างทางที่ผ่านเมืองเหมิงถูกซู่อ๋องดักปล้น ไม่เหลือแม้แต่ตำลึงเดียว รวมทั้งสิ้นแปดแสนตำลึงทอง ล้วนเข้าไปอยู่ในกระเป๋าซู่อ๋อง 

 

 

ซู่อ๋องใช้ทองแปดแสนตำลึงนี้ซื้อข้าว เส้นหมี่ ธัญพืช แล้วตั้งกระโจมแจกข้าวต้มอยู่นอกเมือง ไม่เพียงเท่านั้น ซู่อ๋องยังตั้งแท่นบูชาขอฝนกับเทวดา ถึงขั้นไปเยี่ยมประชาชนที่เดือดร้อนด้วยตัวท่านเอง ประชาชนที่เดือดร้อนบริเวณรอบๆ หลายเมืองก็ค่อยๆ มารวมกันที่เมืองเหมิง ถึงขั้นประชาชนจากเมืองซึ่งอยู่ไกลออกไปก็ยังมากันอยู่เรื่อยๆ 

 

 

ฮ่องเต้อยากจะส่งทหารไปยืดเงินช่วยเหลือภัยแล้งก็ไม่ได้ ห่กเป็นซู่อ๋องที่โกงเงินช่วยภัยแล้งนี้ เขายังมีข้ออ้างที่จะส่งทหารไป เพียงแต่ซู่อ๋องยืมดอกไม้ถวายพระ ซู่อ๋องเอาเงินในพระคลังของพระองค์เพื่อให้ตัวเองได้หน้า แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นเหมือนดั่งอ๋องผู้ปราดเปรื่อง พร้อมเสียดสีฮ่องเต้ในคราวเดียวกัน หากฮ่องเต้ส่งทหารมายืดเงินช่วยเหลือภัยแล้งในยามนี้คืน กลับกลายเป็นว่าเป็นฮ่องเต้ผู้เ**้ยมโหดที่ไม่สนชีวิตประชาชน อีกอย่างประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยแล้งก็เฝ้าอยู่รอบๆ เมือง พระองค์คิดจะบุกเมืองก็ต้องฆ่าประชาชนเหล่านี้เสียก่อน หากฆ่าประชาชนเหล่านี้ ไม่ต้องรอให้ซู่อ๋องลงมือ เพียงแค่ทหารชาวบ้านที่ถูกบีบบังคับจนร้อนรนก็สามารถกบฏได้แล้ว 

 

 

ฮ่องเต้คิดจะให้ภัยแล้งกูสถานการณ์กลับคืนมา กลับนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะพลาดท่าเสียเอง! 

 

 

เพียงพูดถึงการวางแผนแล้ว ฮ่องเต้ยังห่างไกลกับซู่อ๋อง พระองค์คิดเพียงแต่ว่าจะกู้พระพักตร์พระองค์อย่างไร กลับลืมไปว่า ‘กระต่ายเมื่อร้อนรนก็กัดคนเป็น’ หากตอนแรกก็จัดให้เมืองเหมิงอยู่ในรายชื่อเมืองที่จะช่วยภัยแล้ง ก็อาจจะใช้ความเมตตาซื้อใจประชาชนกลับมาได้บ้าง เพียงแต่ครั้งนี้ กลับแพ้ยับเยิน 

 

 

เรื่องที่บุกตีเมืองเมืองเหมิงจึงได้แต่ปล่อยเอาไว้ก่อน 

 

 

การป่วยของเฝิงเยี่ยไป๋นี้ ก็ป่วยได้จังหวะพอดี! ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกส่งไปช่วยภัยแล้งก็เป็นเขาแล้ว ความผิดอันใหญ่หลวงนี้ลงมาที่เขา ฮ่องเต้จะฆ่าเขา ไม่ใช่ว่าอยากลงมือเมื่อใดก็ได้เมื่อนั้นอีกหรือ! 

 

 

ฮ่องเต้กริ้วหนักอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ ฉีกฎีกาทั้งหมดสิบสองเล่ม ฆ่าเจ้าเมืองไปหลายคน ที่พลาดท่านี้บอกใครไม่ได้ สำหรับฮ่องเต้แล้วสูญเสียใหญ่หลวงยิ่งนัก ความโกรธระบายออกไปไม่ได้ จึงได้แต่ระบายใส่คนของพระองค์ 

 

 

นอกจากนั้น เจี่ยชีก็ได้พบนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งที่จวนท่านอ๋อง ครั้งนี้ไม่ใช่บินมาผิดที่ แต่บินมาตรงๆ เลย ที่ขามีจดหมายมัดติดอยู่ฉบับหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า ‘สามวันถัดไป พบกันที่ฉื่อเจียนฝูเซิง’ ลงท้ายนามว่า ‘เหยา’ 

 

 

เป็นซู่อ๋องที่อยากจะพบเขา 

 

 

การพบกันของเฝิงเยี่ยไป๋และซู่อ๋องไม่ได้มีมาก อีกอย่างยามนี้ซู่อ๋องกำลังเป็นข่าวใหญ่โต เรื่องใหญ่เพียงใดก็ไม่ถึงกับต้องมาหารือกับเขา ที่จะพบเขานั้น เกรงว่าก็คงจะเป็นเรื่อง ‘ตรงๆ ‘ อย่างหนึ่งเสียกระมัง! 

 

 

เรื่องนี้แม้แต่เฉาเต๋อหลุนเขาก็ไม่ได้พูด เขาเผาจดหมายทิ้งไป แล้วต้มนกพิราบเป็นแกง ให้เฉาเต๋อหลุนส่งไปให้เฉินยางบำรุงร่างหาย 

 

 

เฉาเต๋อหลุนขานรับ นึกถึงเมื่อครู่ได้เจอซั่งเหมยในสวน นางดึงเขาเอาไว้พูดอยู่มากมาย ล้วนเกี่ยวกับเฉินยาง เมื่อครู่ตอนที่ยืมปรนนิบัติอยู่นั้นก็พิจารณาอยู่ ตอนแรกยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดหรือไม่พูด ยามนี้ถือแกงนกพิราบ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา เขาขึ้นไปโค้งตัวพูดว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่บ่าวได้เจอซั่งเหมย ซั่งเหมยพูดถึงพระชายากับบ่าว บอกว่าสองวันนี้พระชายาร่างกายไม่ค่อยดีนัก ขี้เกียจ ไม่มีชีวิตชีวายังมักอยากจะนอน วันนี้ตอนเช้าบอกว่าอยากกินบ๊วย ที่ห้องครัวหมดแล้ว ซั่งเหมยบอกว่าตอนแรกอิงเถาตะกร้านั้นที่จะให้พระชายากินนั้นก็เช่นกัน เพียงแต่อิงเถาตะกร้าสุดท้ายถูกพระชายารองเจี่ยงเอาไปแล้ว ที่ผ่านมาหลายวัน อะไรก็ไม่อยากกิน วันนี้ตอนเช้าจนถึงยามนี้ นอกจากนมที่กินไปตอนเช้าก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

ตอนที่ 340 ในใจท่านอ๋องเศร้านัก 

 

 

 

 

 

เฉาเต๋อหลุนเห็นเขาขมวดคิ้ว ในใจก็รู้ว่าคำพูดของเขานั้นเข้าถึงในใจของเขาแล้ว จึงพูดอีกว่า “ท่านไม่ได้ไปเยี่ยมพระชายานานเช่นนี้แล้ว ไม่เช่นนั้น…คืนนี้บ่าวจะจัดอาหารเย็นไว้ที่สวนของพระชายา” 

 

 

จัดที่นางหรือ จัดที่นางเพื่ออะไร เอาความรู้สึกดีๆ ไปให้ความรู้สึกเย็นชาของนางหรือ 

 

 

“เจ้านี่ เรื่องดีๆ ทำไม่กี่เรื่อง คาดเดาความคิดเจ้านายกลับใส่ใจนัก” บอกว่าไม่เป็นห่วงนั้นก็เป็นการโกหก ไม่กินไม่ดื่ม ทะเลาะกับเขาถึงขั้นอดอาหารเสียแล้ว? นางคิดจะดื้อดึงไปถึงเมื่อใด ตัวอักษรในหนังสือก็ไม่เข้าตาเสียแล้ว จึงวางหนังสือลง แล้วจัดแขนเสื้อลุกขึ้นมา เดินไปข้างนอกสองก้าวแล้วเดินกลับมาอีก “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่ามีจดหมายมาจากหรู่หนานอยู่ฉบับหนึ่งหรือ เอามาให้ข้า” 

 

 

เฉาเต๋อหลุนอึ้งเล็กน้อย “จดหมายนั้นได้มอบให้ท่านแล้ว บ่าวให้ไว้กับมือท่านเอง ท่านยังบอกอีกว่าจะเอาจดหมายให้พระชายาดูอยู่เลย ตอนหลังยุ่งนักจึงได้ล่าช้าไป” 

 

 

นั่นเป็นจดหมายที่เว่ยฟูจื่อเขียนให้เฉินยาง ไม่กี่วันก่อนนางยังคิดถึงท่านพ่อของนาง บ่นอยู่ว่าจะรับพ่อของนางมา ไม่ได้พบหน้ากัน มีจดหมายสามารถปลอบใจได้ คิดว่านางก็คงจะดีใจ 

 

 

เพียงแต่จดหมายนี้….เขาตบศีรษะตัวเองก็นึกขึ้นมาแล้ว จดหมายนั้นถูกเขาสอดอยู่ในหนังสือ ‘ภาพค่ำคืนแห่งความสุข’ เล่มหนึ่งเสียแล้ว เขาพลิกหนังสือออกมา จดหมายกำอยู่ในมือช่างร้อนยิ่งนัก คนเป็นผู้ชาย ดูสิ่งเหล่านี้ไม่น่าแปลก บ้านใครก็ต้องมีกันอยู่บ้าง ยามที่ยังเป็นเด็ก วิชาล้วนเรียนจากในหนังสือภาพ ตอนหลังวิชาแกร่งกล้า ฝีมือท่าทางก็เยอะ ไหนเลยยังจะต้องใช้หนังสือนี้อีก เป็นเพราะช่วงนี้ไฟราคะยากจะระบาย เฉินยางก็ทะเลาะกับเขา คนอื่นเขาก็ไม่สนใจ จึงได้แต่จินตนาการเอง เอาใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในภาพเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนาง ท่าทางการยิ้ม การยกแขนการหมุนตัว เพียงแค่คิดก็เป็นความสุขมากมาย 

 

 

อาการหน้าแดงของเขาเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว ตัวเองเป็นผู้ชายปกติที่มีภรรยาสามคนสี่คน ถึงกับต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกคนอื่นรู้เข้าไม่หัวเราะแย่หรือ 

 

 

หนังสือถูกเขาเอามารองขาโต๊ะ ตอนที่ไปเขาส่งสายตาเป็นการเตือนเฉาเต๋อหลุน เฉาเต๋อหลุนตกใจ รีบแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เรื่องนี้พูดออกไปแล้วขายหน้ายิ่งนัก เขาเข้าใจดี ย่อมไม่กล้าแพร่ออกไปข้างนอก หน้าของผู้ชายสำคัญที่สุด แม้ว่าเขาจะขาดแท่งนั้นไป เพียงแต่การล้อเล่นในปกตินั้นก็ไม่ยอมให้ใครเอา ‘ขันที’ มาล้อกันเล่น น่าเสียดายนัก ความเศร้าในใจท่านอ๋อง ชาตินี้เขาไม่ได้ลิ้มรสเสียแล้ว 

 

 

เฉินยางนอนไปพักหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาเอง ตื่นขึ้นมาก็ดื่มชา จุ๊ปากเล็กน้อย รู้สึกขาดรสบางอย่างไป จึงเรียกซั่งเซียงมา ให้นางไปดูที่ห้องครัวว่ามีอะไรที่มีรสเปรี้ยวกินได้บ้างให้เอามาให้นางกิน 

 

 

ซั่งเซียงขานรับแล้วเดินออกไปข้างนอก พอไปถึงประตูก็ถูกซั่งเหมยขวางเอาไว้ “นายหญิง ฤดูนี้ ท่านอยากกินของหวานใดเลือกได้ตามสบาย แตงโมลูกท้อพุทราอะไรนั่น เฉ่าเหมย[1]อิงเถา ฮามี่กวา[2] สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของบรรณาการจากแคว้นทางใต้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารสชาติดีอย่างไร ของเปรี้ยวมีอะไรน่ากินหรือ ของหวานๆ คลุกกับน้ำแข็งผสมกับนม เหมาะกินกับอากาศเช่นนี้” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋มาถึงหน้าประตู เขาส่งสัญญาณมือให้คนที่ส่งสารไปข้างในเงียบเสียง แล้วย่องเข้าไปในห้อง เขาฟังผ่านฉากกั้นแกะสลัก ได้ยินเฉินยางพูดอย่างขี้เกียจว่า “แต่ข้าไม่อยากกินของหวาน กินแล้วเลี่ยนนัก ข้าอยากกินของเปรี้ยว ไม่จำเป็นต้องเป็นผลไม้ เป็นเพียงน้ำส้มสายชูหมักผักกาดขาวก็ได้….ไม่ได้ๆ มีกลิ่นน้ำมัน ข้าดมแล้วอยากจะอ้วก ไม่เช่นนั้นเจ้าให้เสี่ยวอันที่อยู่ห้องครัววิ่งออกไปซื้อ ให้เงินเขาสองตำลึง ให้เขาซื้อลูกไหนมาให้ข้า แล้วก็ซื้อองุ่นเปรี้ยวสักเล็กน้อย รีบไป!” 

 

 

 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เฉ่าเหมย คือ สตรอเบอร์รี่ 

 

 

[2] ฮามี่กวา คือ แคนตาลูป