อีกสามสิบวันทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ ไม่ว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ก็ไม่มีสิทธิ์เลือกแล้ว
ทุกความผูกพันจะถูกตัดขาด น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้กับการจัดการของสวรรค์เซอร์วิสอันไหนจะมาถึงก่อนกัน
โจวจิ้งเริ่มชินกับชีวิตในตอนนี้แล้ว มีเป้าหมายที่อยากจะเดินไปให้ถึง ทุกอย่างอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยความผิดพลาดของระบบ
ต่อให้ไม่เต็มใจแล้วจะทำอะไรได้ เพราะนี่เป็นชีวิตของคนอื่น จะอย่างไรเธอก็ไม่มีสิทธิ์แย่งชีวิตของคนอื่นแบบไร้เหตุผล
ถึงจะรู้สึกเศร้าเพียงใด เธอก็ควบคุมหรือบังคับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากชีวิตของคนเราเป็นเหมือนการทำข้อสอบ เธอก็อยากจะข้ามขั้นตอนแล้วส่งแค่กระดาษเปล่าเท่านั้น
ยังมีอีกคนที่เธอต้องการบอกลา…
โจวจิ้งก้มมองมือถือ อ่านข้อความที่เฮ่อซวินเพิ่งส่งมาหา
ผลสอบจะออกในอีกไม่กี่วัน
โจวจิ้งถูกบังคับให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ทั้งที่สามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่เพราะเถาจิงต้องการให้หมอตรวจอย่างละเอียดเพื่อความมั่นใจก่อน
ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่เท่าไหร่ หยวนคังฉีก็วางแผนจัดทริปปีนเขาด้วยความตื่นเต้น
เธอไม่มีอารมณ์จะคิดเรื่องนี้ เอาแต่ครุ่นคิดถึงสามสิบวันข้างหน้า ที่กังวลเพราะไม่รู้กำหนดที่แน่นอนว่าเป็นวันไหน อาจเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ก็ได้ สำคัญก็คือเธอจะบอกลาทุกคนที่รู้จักแบบไม่อาลัยอาวรณ์ได้อย่างไร
สวรรค์เซอร์วิสเคยบอกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาคือโพรโมชันทดลองใช้ฟรีของเธอ บริการเป็นที่พอใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนที่ได้ทดลองใช้ไปแล้ว
เพิ่งจะทำใจกับชีวิตใหม่ได้ไม่นานกลับต้องมาเจออะไรแบบนี้ ไฟในใจที่กำลังลุกโชนจึงมอดดับอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอก็ต้องผ่านแต่ละวันไปให้ได้
โจวจิ้งนั่งเหม่อบนโต๊ะเขียนหนังสือ หลังวางปากกาก็พับกระดาษที่เขียนเสร็จใส่ซองจดหมายแล้วเหน็บไว้ในไดอารี่เล่มเดิม
หนึ่งปีผ่านไป ไดอารี่ก็หมดเล่มพอดี
เธอเก็บสมุดลงลิ้นชักแล้วล้มตัวลงนอน สักพักจึงหยิบมือถือขึ้นอ่านข้อความของโจวเสี่ยวหยี
“ไปปีนเขาดูแลตัวเองดีๆ นะ เถาม่านแอบเตือนว่าอย่าลืมเอายาไปด้วย แต่พี่อย่าบอกนะว่าฉันเล่า เธอไม่อยากให้ใครรู้”
โจวจิ้งคือคนที่ช่วยชีวิตเถาม่านไว้จากเหตุการณ์เลวร้ายครั้งก่อน ยิ่งตอนที่เธอตกบันไดหัวฟาดพื้นเลือดไหลนอง เถาม่านและเถาจิงก็ยิ่งรู้สึกผิด หากเธอไม่รีบแจ้งความและไปช่วยถึงที่ อนาคตของเถาม่านคงดับไปแล้ว
เถาม่านยังคงเป็นคนเดิมอย่างที่โจวเสี่ยวหยีบอก เพราะเกลียดกันมานานหลายปีจึงต้องแอบถามเกี่ยวกับสุขภาพของเธอผ่านคนอื่น แอบเป็นห่วงไกลๆ แล้วแสร้งทำเป็นเย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้า
เถาจิงก็เปลี่ยนไปจนโจวจิ้งอึดอัด เมื่อไม่มีป้าเฉิน เธอจึงตื่นมาทำกับข้าวให้กินทุกวัน แถมยังทำอาหารให้เพื่อนทุกคนที่มาเยี่ยมกินด้วย
เมื่อทำตัวไม่ถูก เธอจึงเอาแต่แกล้งหลับไปวันๆ
โจวจิ้งต้องปีนเขากับเพื่อนๆ พาโจวเสี่ยวหยีไปด้วยไม่ได้ ส่วนโจวฉีเทียนก็วุ่นวายอยู่กับการประมูลที่ดิน เลยต้องพาเขาไปฝากที่บ้านของเถาจิง
“รู้แล้ว รีบไปนอนเถอะ” เธอพิมพ์ตอบน้องชาย
จู่ๆ ข้อความของเฮ่อซวินก็เด้งขึ้นมา “พรุ่งนี้แปดโมงเช้าฉันจะไปรับ”
เธอพลิกตัวแล้วพิมพ์ตอบหนึ่งประโยค สุดท้ายก็ลบออกจนเหลือแค่ “โอเค”
ตั้งแต่ถูกเฮ่อซวินสารภาพรักจนถึงวันที่ล้มหัวฟาดพื้นพวกเขายังคงไม่ได้เคลียร์ใจกัน
โจวจิ้งตั้งใจว่าหากไปตั้งแคมป์แล้วมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน เธอจะสรุปเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที
หากไม่ได้รับสายจากสวรรค์เซอร์วิส เธออาจตกลงเป็นแฟนกับเขาไปแล้ว แต่คงต้องเปลี่ยนใจ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นเป็นโจวจิ้งคนไหน
เธอไม่อยากรู้สึกผิดที่เป็นเหตุให้เฮ่อซวินต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับเรื่องนี้ด้วย
โจวจิ้งลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง มองท้องฟ้าที่มืดมิดพร้อมกับตะโกนด่า
“สวรรค์เซอร์วิสบ้าบออะไร นรกชัดๆ!”
สิ้นประโยคนี้ เสียงโวยวายของเพื่อนบ้านก็ดังแทรกขึ้น “ดึกมากแล้วมายืนแหกปากทำไม คนจะนอน!”
เช้าวันต่อมา เฮ่อซวินมารับตามที่นัดไว้
รถสองคันผู้ร่วมทางเจ็ดคน พวกเขานั่งด้วยกันตั้งแต่ในเมืองจนถึงตีนเขา จากนั้นก็ช่วยกันขนของลงเพื่อเริ่มออกเดิน คาดว่าจะถึงยอดเขาก่อนฟ้ามืด หลังตั้งแคมป์เสร็จก็จะรีบเข้านอนเพื่อตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า
มั่วลี่กับเจ้าเขียวไม่เคยปีนเขามาก่อนจึงค่อนข้างกลัว โจวจิ้งซึ่งนั่งรถคันเดียวกับพวกเขาลองเปิดกระเป๋าที่ตุงจนแทบปริของทั้งคู่ก็พบว่ามีแต่ขนมเต็มไปหมด
“เอาของมาเยอะขนาดนี้แบกขึ้นเขาไหวเหรอ?”
“มันคือเสบียงสำหรับช่วยชีวิต” เจ้าเขียวอธิบาย “เราต้องปีนเขาทั้งวัน ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
“ถ้าแบกไม่ไหวต้องลากขึ้นไปให้หมดนะ ไม่งั้นฉันจะทิ้งนายไว้กลางเขา!”
“ลูกพี่ อย่าใจร้ายสิ”
“เจ๊” มั่วลี่ตบบ่าโจวจิ้งเบาๆ “แค่ปีนเขาเอง อย่าไปขู่เจ้าเขียวเลย”
โจวจิ้งไม่คิดจะขู่ แต่เธอเอาจริง เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยออกกำลังกาย เอาแต่นอนเล่นมือถือไปวันๆ แทบไม่ขยับตัวทำอะไร เมื่อต้องทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานก็บ่นออดๆ แอดๆ ทำตัวติดสบาย
แล้วก็เป็นอย่างที่โจวจิ้งคิด ออกเดินได้ไม่เท่าไหร่เขาก็บ่นว่าเหนื่อย
เจ้าเขียวทรุดตัวลงบนพื้น ควักขนมเป็นกองออกจากกระเป๋า “ช่วยกันกินหน่อยเถอะ มันหนักมากฉันแบกไม่ไหวแล้ว”
“สมน้ำหน้า! เอาปลากระป๋องมาด้วยเหรอเนี่ย? แล้วนี่อะไร… น้ำสลัด? ทำไมไม่ยกหม้อกับกระทะมาด้วยเลยล่ะ”
ทางด้านมั่วลี่ที่วิ่งรอบสนามทุกคืนเกือบครึ่งปีเริ่มเหนื่อยไม่แพ้กับเจ้าเขียว ต่อให้เธอฝึกมาอย่างดีก็เป็นแค่พื้นราบไม่ได้ลำบากและชันเหมือนการปีนเขา
“ขอพักหายใจแป๊บนึง เหนื่อยกว่าที่คิดเยอะเลย” มั่วลี่หอบตัวโยน
ส่วนเจ้าอ้วนนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่เริ่มปีนก็เหงื่อแตกแล้ว สภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ
เช่นเดียวกับหยวนคังฉี หนุ่มหล่อร่างบาง ฉายา ‘ยกถังน้ำไม่ขึ้น’ ก็เดินไปหอบไปเหมือนกัน
พอเห็นเจ้าอ้วนนั่ง เขาก็รีบตามไปนั่งด้วย “เหนื่อยกันมากแล้ว พักสักหน่อยเถอะ”
คนที่ยังไหวจึงเหลือแค่เฮ่อซวิน เจ้าผอม และโจวจิ้งเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เหนื่อยเลย ตลอดทางขึ้นเขาทั้งชันและเต็มไปด้วยก้อนหินมากมายขวางทาง เข่าก็เริ่มปวดแล้ว ต่อให้มีไม้ช่วยค้ำก็ทุ่นแรงไม่ได้มาก
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะวอร์มร่างกายไว้แต่เนิ่นๆไม่เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออย่างเดียว จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้
“พักหน่อยก็ดี” โจวจิ้งตอบ ก่อนจะเดินไปนั่งใต้ต้นไม้แล้วบีบนวดหัวเข่า
พอถูกเฮ่อซวินตามมานั่งด้วย หัวใจของเธอก็เต้นระรัว กลัวว่าเขาจะถามหาคำตอบที่ยังไม่ได้รับ
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจู่ๆ เฮ่อซวินก็คุกเข่าลงแล้วผูกเชือกรองเท้าที่ไม่รู้ว่าหลุดตั้งแต่เมื่อไหร่ให้อย่างเรียบร้อย เสร็จแล้วก็ถอดหมวกของตัวเองสวมให้เธอ
หมวกที่ค่อนข้างใหญ่ใบนี้หล่นลงบังใบหน้าของโจวจิ้งจนเธอมองอะไรไม่เห็น
ขณะกำลังขยับหมวก เฮ่อซวินก็ชะโงกหน้าเข้าใกล้จนเธอตกใจผงะถอยหลัง
“หลบทำไม?” เขาขมวดคิ้วถาม
“เปล่านี่ คิดมากนะเรา”
เขาจ้องตาเธอพักหนึ่งก่อนจะเดินไปทางอื่น
เมื่อออกเดินทางอีกครั้ง ร่างกายของแต่ละคนก็ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนอย่างตอนแรก โดยเฉพาะมั่วลี่กับเจ้าเขียวที่เดินลากขาพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง
พวกเขากลัวว่าจะเหนื่อยจนหมดแรงแล้วกลายเป็นผีเฝ้าภูเขาไปตลอดกาล
มีเพียงเฮ่อซวินที่เดินนำหน้าโดยไม่พูดอะไร ทำให้ไม่มีใครกล้าหยุดพักอีกรอบ
หยวนคังฉียังไหวแม้จะเหนื่อยมาก อาจเพราะเคยปีนเขามาบ้างแล้ว พอเห็นโจวจิ้งยืนหอบ เขาก็เสนอตัวช่วยถือกระเป๋าให้
“อย่าเลย เดี๋ยวทำนายเป็นลม” โจวจิ้งแซว
หยวนคังฉีแค่ถามตามมารยาท ลำพังตัวเองก็แทบไม่ไหวแล้ว ขืนแบกกระเป๋าเพิ่มอีกเขาคงเป็นลมอย่างที่เธอแซวแน่นอน
หัวเข่าของโจวจิ้งเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นว่าเธอเดินช้าลง เฮ่อซวินก็ลดความเร็วของตัวเองเพื่อเดินเป็นเพื่อน
เดินไปได้สักพักโจวจิ้งก็เริ่มเซ เฮ่อซวินที่เห็นเข้าพอดีรีบคว้ามือของเธอมากุมแล้วจูงเดินต่อ
ตอนแรกเธอคิดจะหันไปขอบคุณ แต่สีหน้าไร้อารมณ์ของเขาก็ทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเงียบๆ
เพราะความเหนื่อยทำให้ไม่มีใครหยุดถ่ายรูปหรือชมวิวทิวทัศน์ การปีนเขาจึงไม่ล่าช้าและเป็นไปตามกำหนด
แม้จะขึ้นถึงยอดเขาแล้วแต่ภารกิจยังคงไม่เสร็จสิ้น เพราะต้องกางเต็นท์กันก่อน
เมื่อมีเต็นท์แค่สามหลัง พวกเขาจึงต้องนอนเบียดกัน
มั่วลี่อาศัยช่วงชุลมุนตอนจัดของเข้าไปกระซิบถามโจวจิ้งด้วยสีหน้าจับผิด “เป็นแล้วใช่ไหม?”
“เป็นอะไร?”
“เป็นแฟนไง เห็นเดินจูงมือกัน”
“อ้อ แค่แสดงความรักแบบเพื่อนน่ะ”
“เดี๋ยวนะ!” เจ้าเขียวที่แอบฟังอยู่พูดแทรก “ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน ไม่เห็นเฮ่อซวินจะมาแสดงความรักแบบเพื่อนด้วยเลย”
“อยากโดนรักมากนักใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปบอกให้เอง!” โจวจิ้งถลึงตาใส่
“ไม่เป็นไร” เจ้าเขียวทำท่าเขินอาย “ของเพื่อน ไม่อยากแย่ง”
“เอาไปเถอะน่า ยกให้” โจวจิ้งแซวต่อ
ช่วงที่หยอกล้อกัน เต็นท์ทั้งสามก็กางเสร็จพอดี เจ้าอ้วนและเจ้าผอมจึงชวนกันไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟเพื่อคลายหนาว