ค่ำคืนอันหนาวเหน็บบนยอดเขาถูกแสงไฟอุ่นๆ ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้
ของที่เจ้าเขียวอุตส่าห์แบกขึ้นมาด้วยความเหนื่อยยากจึงมีประโยชน์ขึ้นมาทันที
“เอ้า กินนนนน” เขาเทอาหารและขนมทั้งหมดออกจากกระเป๋า
“วันๆ เอาแต่กิน!” มั่วลี่ค่อนแคะอย่างอดไม่ได้
“ไม่กินจะให้ทำอะไร?” เจ้าเขียวเบ้ปาก
“ลุกขึ้นเต้นให้เพื่อนๆ ดูสิ” มั่วลี่แกล้งแหย่
“เต้นไม่เป็นโว้ย!”
เจ้าผอมขำ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระเป๋าของเจ้าอ้วนแล้วหยิบเบียร์ออกมาหลายกระป๋องราวกับเล่นกล
“นอกจากกินขนมก็กินเบียร์ด้วยไง”
“เดี๋ยวนะ!” เจ้าอ้วนทำหน้างงแล้วก้มลงคุ้ยกระเป๋า
“เบียร์มาจากไหน? ฉันไม่ได้พกมาสักหน่อย”
เจ้าผอมกระแอมแล้วพูดเสียงเบา “ฉันแอบยัดใส่ตอนอยู่บนรถน่ะ”
“ไอ้…” เจ้าอ้วนโมโห “ก็ว่าทำไมกระเป๋าหนักกว่าตอนออกจากบ้าน ที่แท้ก็ถูกนายยัดเบียร์ใส่ตั้งหลายกระป๋อง มานี่เลย ยืนให้ฉันเตะซะดีๆ!
ทั้งสองวิ่งไล่ตบตีกันรอบวง
หยวนคังฉีทยอยเปิดกระป๋องเบียร์แล้วแจกจ่ายให้กับทุกคน
“มาๆๆ ฉลองกันเถอะ”
ค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับไปทั่ว แสงจากเปลวไฟส่องกระทบใบหน้าของทุกคนราวกับกำลังถ่ายภาพแห่งความทรงจำเอาไว้
เมื่อวันเวลาผ่านไป รูปจะซีดลง ภาพจะเริ่มเหลือง แต่ถ้าเก็บไว้ในสมองจะไม่มีมีวันแปรสภาพอย่างแน่นอน
ทุกคนยืนขึ้นแล้วชนแก้วกันอย่างสนุกสนาน “ไชโย!”
มั่วลี่เริ่มขอพรเป็นคนแรก “เพี้ยง ขอให้สวยวันสวยคืน”
ตามด้วยเจ้าเขียว “เพี้ยง ขอให้รวยวันรวยคืน”
“เพี้ยง ขอให้ลดความอ้วนสำเร็จ” เจ้าอ้วนพูดต่อ
“เพี้ยง ขอให้สูงขึ้นอีกสิบเซ็นต์” เจ้าผอมพูดตาม
หยวนคังฉียิ้มแล้วตะโกนขึ้นว่า “ขอให้มีแต่คนรัก!”
ทุกคนพากันส่งเสียงโห่หลังได้ยินประโยคนี้
“ขอให้ร่างกายแข็งแรง” เฮ่อซวินพูดท่ามกลางสายตาบีบบังคับ
เจ้าเขียวหันมองโจวจิ้ง “ตาลูกพี่แล้ว”
พอถูกเรียกสติ เธอก็กวาดตามองทุกคนแล้วพนมมือขึ้น
“ขอให้ไม่แก่ ไม่เหี่ยว สวยสะพรั่งแบบนี้ตลอดกาล สาธุ!”
“เดี๋ยวนะเจ๊!” มั่วลี่แย้ง “ขออะไรที่เป็นไปได้จะดีกว่าไหม?”
“แล้วของเธอเป็นไปได้กว่าตรงไหน?” โจวจิ้งเถียงกลับ
“แหะๆ” มั่วลี่ได้แต่เกาหัว
“เลิกเถียงกันได้แล้ว” หยวนคังฉีตัดบท “เอาเป็นว่าขอให้ทุกคนสมหวังก็แล้วกัน ชนแก้ววววว”
โจวจิ้งไม่คิดว่าตัวเองขอสิ่งที่เกินจริงอะไร เธออยากให้ทุกอย่างหยุดอยู่แบบนี้ ไม่มีใครแก่ลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม
รอบกองไฟคืนนี้ ทุกคนสลับกันเล่าเรื่องของตัวเองในอดีตเมาท์เรื่องของคนอื่นบ้าง ขุดวีรกรรมเก่าๆ ของโจวจิ้งขึ้นมาแซวบ้าง กระทั่งตกดึกจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
หลังดับไฟเสร็จ เฮ่อซวินก็เดินมาหาโจวจิ้ง
ด้วยความตกใจ เธอรีบทำเป็นหาวแล้วขอตัวไปเข้านอน แต่เมื่อเข้าเต็นท์กลับนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็หยิบมือถือขึ้นดูเวลา
ตีสี่กว่าแล้วแต่มั่วลี่ยังคงกรนเสียงดังลั่น ทำปากงึมงำเหมือนกำลังฝันอยู่
โจวจิ้งเอามือก่ายหน้าผาก สุดท้ายก็ลุกขึ้นแล้วออกไปล้างหน้าแปรงฟัน
บรรยากาศตอนตีสี่ทั้งลึกลับและเงียบสงบ
ฟ้ายังคงมืดสนิท ลมพัดผ่านต้นหญ้าจนเกิดเสียง ยังมีแมลงต่างๆ ร้องดังระงมไปทั่ว
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ดวงดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับแวววาวราวกับผ้าผืนใหญ่ที่เต็มไปด้วยเพชรเม็ดงาม
ต่อให้ไม่จุดไฟก็สามารถมองเห็นวิวตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
โจวจิ้งไม่รู้ว่าจะได้เห็นวิวแบบนี้อีกนานแค่ไหน เพราะอีกไม่นานจะต้องไปเกิดใหม่แล้ว เริ่มต้นทุกอย่างตั้งแต่อยู่ในท้องแม่และเติบโตขึ้นตามวงจรชีวิตของมนุษย์
แค่คิดเธอก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก มันคือความจำใจมากกว่าความคาดหวัง เป็นความเสียใจมากกว่าความยินดี
ขณะกำลังสิ้นหวัง เฮ่อซวินก็เดินออกจากเต็นท์มาหา
เขาทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นโจวจิ้งตื่นเช้า “ออกมายืนตรงนี้ทำไม?”
“ตื่นเต้น อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้น” เธอตอบ
เฮ่อซวินยักไหล่แล้วเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน สักพักจึงเดินกลับมาหา
“พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ยืนตรงนี้น่าจะเห็นชัดสุด”
“อืม” เธอตอบสั้นๆ
เพื่อนๆ เริ่มทยอยออกจากเต็นท์ กว่าพวกเขาจะเตรียมตัวเสร็จคงถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดี
ยืนนิ่งไปได้พักหนึ่ง เฮ่อซวินก็พูดขึ้นว่า “คำถามของฉัน เธอยังไม่ได้ตอบเลย”
โจวจิ้งถึงกับสะดุ้ง—ได้เวลาเผชิญหน้าแล้วสินะ!
“ที่หลบหน้าเพราะต้องการปฏิเสธใช่ไหม?” เขาชิงพูดก่อน
โจวจิ้งสูดหายใจเข้าลึกเตรียมจะให้คำตอบแต่กลับไม่ทัน
“ฉันไม่อนุญาต”
“หือ?” เธอทำหน้างง
“ฉันไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ”
เขามีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับคำตอบของอีกฝ่ายได้ด้วยเหรอ? แบบนี้จะมาถามทำไม?
เฮ่อซวินจ้องหน้าโจวจิ้งอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาไม่มีแม้แต่ความผิดหวัง
“ฉันจะจีบเธอ โอเคนะ” เขายกยิ้มมุมปาก
รอบข้างเงียบสงัดจนได้ยินเสียงร้องของแมลงอย่างชัดเจนแสงดาวริบหรี่ ท้องฟ้าเริ่มไม่มืดเท่าเมื่อครู่ ทุกอย่างค่อยๆ สว่างขึ้นตามลำดับ
จะอย่างไรก็ไม่สว่างเท่าดวงตาของเฮ่อซวินที่เสียดแทงหัวใจของโจวจิ้งอยู่ ก่อนจะกลายเป็นดอกกุหลาบที่ผลิบานทีละกลีบ
เธออยากร้องไห้เหลือเกิน แม้ที่ผ่านมาจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นน้ำตาเพราะไม่เคยรู้สึกเสียใจกับทางเดินชีวิตที่เลือก ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็จะอดทนจนถึงที่สุด
โจวจิ้งรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา หากไม่ได้พบกับเฮ่อซวิน การจากลาคงไม่ทรมานขนาดนี้
ที่ผ่านมาเป็นเหมือนฝันอันหวานชื่นจนเธอไม่อยากลืมตาตื่น ทุกอย่างกำลังไปได้ดี แล้วสวรรค์ก็กลั่นแกล้งให้ต้องสะดุ้งตื่นมาเจอกับรักที่ไม่สามารถไปต่อได้
สิ่งที่น่ากลัวกว่าการจากลาก็คือ การไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
เธอไม่รู้สึกเสียใจที่ได้เจอเขา หากไม่พบกันคงไม่มีโอกาสได้รับความรักที่แสนบริสุทธิ์แบบนี้ เป็นความโชคดีของเธอที่มีผู้ชายอย่างเขามารัก
“เฮ่อซวิน… ความจริงแล้ว…”
โจวจิ้งอยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่เบอร์ 000000 กลับโทรเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอรีบเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ยังคงฝืนยิ้ม “ฉันไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ”
หลังเดินห่างออกไปได้ระยะหนึ่ง เธอก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าเรียนสายคุณโจวจิ้งอยู่หรือเปล่า?”
“ใช่ ฉันเอง”
“โทรจากสวรรค์เซอร์วิสนะคะ ทางเราได้เช็กกับลูกค้าอีกท่านที่ชื่อโจวจิ้งเหมือนกัน แต่ทางนั้นเลือกที่จะสละสิทธิ์บริการครั้งนี้จึงจำเป็นจะต้องเซตอัประบบใหม่สำหรับคุณเพียงผู้เดียว ไม่ทราบว่ามีคำถามอะไรอีกไหมคะ?”
“หมายความว่ายังไง?” เธอไม่เข้าใจคำพูดวกไปวนมาของโอเปอเรเตอร์
“ลูกค้าอีกท่านที่ชื่อนามสกุลเดียวกันไม่ยอมสลับร่างคืนค่ะเราจึงจำเป็นจะต้องถามความสมัครใจของคุณก่อน”
“ไม่ยอมสลับร่างคืน หมายความว่ายังไงฉันงงไปหมดแล้ว? ถ้าฉันถูกส่งไปเกิดใหม่ ร่างนี้ก็จะไม่มีวิญญาณเหลืออยู่งั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
โจวจิ้งเบิกตากว้าง “ไม่มีวิญญาณ ก็คือตาย?”
“ทางเราจะล้างบัญชีนี้ ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของคุณจะถูกเก็บเป็นความลับอย่างดี”
“ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น! ที่คุณพูดว่าโจวจิ้งคนเดิมไม่ขอกลับเข้าร่างนี้แล้ว แสดงว่าหลังจากที่ฉันออกไปแล้ว ร่างนี้ก็จะถือว่าเสียชีวิต?”
“ใช่ค่ะ”
“ไม่ได้นะ!”
อายุแค่สิบแปดปี แต่กลับต้องจบชีวิตเพราะความผิดพลาดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เอ็นทรานซ์ก็เพิ่งจะสอบไป อีกไม่นานก็จะได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อนาคตกำลังสดใส ให้ตายตอนนี้เสียดายแย่เลย!
“ฉันเลือกที่จะไม่ไปเกิดใหม่ได้ใช่ไหม? ถ้างั้นฉันจะอยู่ในร่างนี้ต่อเอง ไหนๆ ก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ปล่อยให้ผิดต่อไปแล้วกัน”
“คุณต้องการสละสิทธิ์ ไม่ใช้บริการเกิดใหม่ฟรีแล้วถูกต้องไหมคะ?”
“ใช่ ฉันไม่ไปแล้ว ใครอยากเกิดใหม่ก็ยกให้คนนั้นได้เลย”
ฝั่งนั้นเงียบไปนานจนโจวจิ้งหัวใจเต้นรัว
“ได้ค่ะ คุณสามารถยกเลิกสิทธิ์ในทันที พร้อมกับโพรโมชันอัปเกรดเพิ่มเติมซึ่งจะมีผลในอีกสิบปีข้างหน้า”
“อัปเกรดอะไร?”
“อัปเกรดเป็นบัญชีครอบครัวค่ะ”
“อย่าบอกนะว่าฉันต้องย้ายไปอยู่ในร่างของคนอื่นอีก!”
“ไม่ใช่ค่ะ บัญชีครอบครัวคือการเชื่อมต่อบัญชีเครือเดียวกัน อีกสิบปีคุณจะได้รับสิทธิ์ทดลองใช้”
“อ้อ”
“สรุปว่าคุณต้องการยกเลิกสิทธิ์เกิดใหม่พร้อมอัปเกรดบัญชี อีกห้านาทีระบบจะทำการอัปเดตให้แบบอัตโนมัติ ไม่ทราบว่าต้องการอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหมคะ?”
“ไม่มีแล้ว” โจวจิ้งตอบ
“รับทราบค่ะ ขอบคุณที่ไว้ใจเรา สวรรค์เซอร์วิสยินดีให้บริการ”
โจวจิ้งกดวางสายแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขออย่าได้เจออะไรแบบนี้อีกเลย”
“เจ๊” มั่วลี่วิ่งมาหา “หลบอยู่ตรงนี้ทำไม? พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว รีบหาอะไรรองท้องจะได้ไปถ่ายรูปกัน ว่าแต่คุยกับใครอยู่?”
“คุยกับเครือข่ายโทรศัพท์น่ะ”
“แต่เช้าตรู่เลยเหรอ?”
“ปรึกษาเรื่องอัปเกรดบัญชี” เธอพูดไปเดินไป
“อืม” มั่วลี่บ่นงึมงำ “ระวังถูกหลอกนะ”
ทุกคนต่างตะลึงในความงามของวิวพระอาทิตย์ขึ้น
แสงสีส้มค่อยๆ ลอดออกจากกลางหุบเขา พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าจนเต็มดวง แสงแดดส่องทะลุเมฆหมอกที่ยังไม่จางหายไป ย้อมจนท้องฟ้ากลายเป็นสีทองอร่าม
ทุกคนมองตาค้างจนลืมยกกล้องขึ้นถ่ายรูป
โจวจิ้งหันมองเฮ่อซวินที่ยืนมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ สีส้มของพระอาทิตย์กลืนกินเมฆหมอกทีละนิด สาดแสงส่องกระทบไปทั่วผืนดิน