ตอนที่ 61.เพราะอะไรน่ะหรือ?

หัวโจก

เธอคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะเอื้อมไปกุมมือของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น

เฮ่อซวินชะงักแล้วหันมองเธอด้วยสีหน้าตกใจ

โดยไม่รอช้าเธอรีบเขย่งเท้าขึ้นแล้วหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว

“มองฉันทำไม มองพระอาทิตย์สิ” โจวจิ้งกระซิบที่ข้างหูของเฮ่อซวิน

เขาหัวเราะในลำคอแล้วหันมองพระอาทิตย์อย่างเชื่อฟัง

ฟ้าหลังฝนจริงๆ อนาคตของเธอสว่างไสวไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ตรงหน้า

“สวยสุดๆ ไปเลย!” เจ้าผอมตะโกน

ต่างจากเจ้าเขียวที่ทำเสียงเศร้า “ทางลงเขาดูลำบากมากเลย”

“ชอบทำลายบรรยากาศอยู่เรื่อย!” มั่วลี่ถลึงตาใส่

“แม่เจ้า มันยอดมาก!” เจ้าอ้วนมองวิวตรงหน้าตาไม่กะพริบ

“เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้ม” หยวนคังฉีพูดอย่างภาคภูมิใจ

โจวจิ้งกำมือเฮ่อซวินแน่นกว่าเดิม—ใช่ เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้ม

ตอนเดินขึ้นเขาแรกๆ เธอรู้สึกขัดขืน งุนงง สิ้นหวัง แต่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้หรือล้มเลิกแม้แต่ครั้งเดียว

ท้องฟ้าที่มืดมนย่อมต้องมีแสงสว่างบ้างเป็นธรรมดา เหมือนชีวิตของคนเราที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย มีอุปสรรคและความไม่ราบรื่นตลอดทาง แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

ต่อให้มืดมิดเพียงใดก็ยังมองเห็นดวงดาว เห็นแสงอาทิตย์ส่องสว่างยามเช้า เห็นความสวยงามของธรรมชาติแม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ

อุปสรรคและอันตรายระหว่างทางล้วนเป็นบททดสอบของชีวิต

อดีตยังผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับอนาคต

แม้ทางลงเขาจะลำบากกว่าทางขึ้น แต่ใช่ว่าชีวิตจะไม่พบเจอเรื่องแบบนี้อีก ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน ลำบากเพียงใด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว

เพราะอะไรน่ะหรือ?

เพราะฉันมีคุณอยู่ข้างกายไงล่ะ

 

แสงอาทิตย์เดือนเก้าไม่แสบร้อนอย่างที่คิด

ท้องถนนยามเช้าในเมือง H รถติดจนไม่มีช่องว่างให้ขับรถผ่าน

ผู้คนจับตาไปที่ขบวนแต่งงานซึ่งขับต่อกันเป็นสองแถว มีดอกไม้ติดอยู่หน้ารถทุกคัน ไม่รู้ว่าเป็นงานแต่งของลูกบ้านไหน

ที่อีกฟากหนึ่งของเมือง หญิงสาวในชุดสูทสีเทากำลังขับรถสปอร์ตอย่างรีบเร่ง

งานแต่งที่ว่าถูกจัดขึ้นในสวน เมื่อไปถึงเธอก็พบว่าแขกเหรื่อมารอกันพร้อมหน้าแล้ว

จอดรถเสร็จ โจวจิ้งในชุดสูทสีเทาก็รีบร้อนเข้างานแต่กลับถูกสาวผมแดงแสนเซ็กซี่เข้ามารั้งไว้

เธอตัวไม่สูงมาก รูปร่างดีมีโค้งเว้าชัดเจน ผิวพรรณผ่องใส หน้าอกใหญ่โตโดดเด่นสะดุดตา เดรสยาวเกาะอกเข้ากับผมสีแดงเป็นลอนอย่างมาก

“โย่ว เจ๊! ทนายโจวชื่อดัง คิดว่าจะไม่มาแล้วเสียอีก” มั่วลี่ทักทายด้วยความคิดถึง

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พริบตาเดียวก็สิบปีแล้ว

ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเองตามที่อาจารย์ฉีบอก

ไม่มีใครคิดว่าสาวร่างอวบในวันนั้นจะกลายเป็นสาวหุ่นดีในวันนี้ ผู้ชายทั้งงานแต่งพากันจ้องมองเธอจนตาแทบทะลัก

โดยเฉพาะเด็กเกเรผมทองอย่างโจวจิ้งที่กลายเป็นทนายความชื่อดัง หญิงสาวผู้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงอย่างมากในสังคม

โชคชะตาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ

พิธีแต่งงานในวันนี้มีเจ้าเขียวเป็นเจ้าบ่าว

จากเด็กหนุ่มไม่เอาไหนที่ฝันว่าจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน กลับกลายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใส่แว่นหนาเตอะ สภาพคงแก่เรียน สุภาพเรียบร้อยและพูดจามีหลักการอย่างน่าตกใจ เจ้าสาวของเขาคือคนที่โจวจิ้งคุ้นเคยเป็นอย่างดี รูมเมตที่นอนด้วยกันจนเรียนจบมัธยมปลาย เมื่อก่อนเฝิงเอี้ยนฝันอยากเป็นครู มาวันนี้กลับได้เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังแทน

“สามีเจ๊ล่ะ?” มั่วลี่ถาม

“น่าจะใกล้ถึงแล้ว”

มั่วลี่ชะเง้อมองแล้วโบกไม้โบกมือ “หมอเฮ่อ ทางนี้”

ชายร่างสูงในชุดสูทเดินมาแต่ไกล ความหล่อไม่แพ้เมื่อสิบปีก่อน เพียงแต่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น กลิ่นอายความเป็นชายทำให้เขาดูลึกลับน่าค้นหากว่าเดิม

โจวจิ้งแอบภูมิใจที่เขาหล่อขึ้นตั้งแต่อยู่กับเธอ

ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน เหมือนจะมีแค่คู่ของเฮ่อซวินกับโจวจิ้งที่ทำตามเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่แรกได้

ตอนคะแนนเอ็นทรานซ์ออก มหาวิทยาลัย G รับโจวจิ้งเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ ส่วนเฮ่อซวินได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย A คณะแพทยศาสตร์ตามที่หวัง

ทั้งสองมหาวิทยาลัยห่างกันแค่ถนนเดียว ทั้งคู่จึงคบกันกระทั่งเรียนจบ

เฮ่อซวินไปเป็นหมอในโรงพยาบาล ส่วนโจวจิ้งก็เข้าทำงานในสำนักงานกฎหมาย

สิบปีผ่านไป เฮ่อซวินกลายเป็นดาวเด่นที่ขาดไม่ได้ในโรงพยาบาล ส่วนโจวจิ้งก็กลายเป็นทนายที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ

งานแต่งของเจ้าเขียวมีผู้ร่วมงานไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่เขาสอนกับมือ

ตั้งแต่เรียนจบ เขาเต็มที่กับการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างมาก ดูจากความสนิทสนมที่มีต่อนักศึกษาก็รู้แล้ว

“เห็นเด็กๆ พวกนี้แล้วรู้สึกแก่ขึ้นมาเลย” มั่วลี่ถอนหายใจ

“อายุแค่ยี่สิบแปดทำเป็นบ่นว่าแก่ คนอายุสามสิบแปดไม่ลาโลกกันหมดเลยเหรอ?” โจวจิ้งส่ายหน้า

จู่ๆ มั่วลี่ก็ทำตาวาวแล้ววิ่งตามหนุ่มฝรั่งผมทองแสนหล่อเหลาที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เห็นแบบนี้ โจวจิ้งจึงหันไปคุยกับเฮ่อซวินต่อ “วันนี้ไม่มีผ่าตัดเหรอ?”

เฮ่อซวินส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือไปปัดผมหน้าม้าให้เธอ “ไปต่างจังหวัดเหนื่อยไหม?”

หลังกลับจากต่างจังหวัด เธอยังไม่มีเวลาได้เปลี่ยนชุดก็ต้องรีบมางานแต่งของเจ้าเขียวก่อน

“รอบนี้เคสค่อนข้างยาก ไม่น่ารับทำตั้งแต่แรกเลย”

“แล้วรับไว้ทำไมล่ะ?”

“เพราะลูกความหล่อ” โจวจิ้งทำหน้าเจ้าเล่ห์

“หล่อ?” เฮ่อซวินขมวดคิ้ว

“ใช่ คนหนึ่งหล่อ คนหนึ่งน่ารัก ฉันชอบทั้งคู่เลย”

“หลายใจแบบนี้ คืนนี้โดนชำแหละแน่!” เฮ่อซวินยักคิ้ว

“ทะลึ่ง!”

“แค่จะตรวจสมอง คิดไปถึงไหนเนี่ย?”

เห็นอีกฝ่ายเริ่มงอน เธอจึงดึงแขนเขามากอด “ยังไงก็หล่อสู้คุณไม่ได้หรอก”

เพิ่งได้เริ่มสวีต โจวเสี่ยวหยีโทรมาเข้ามาพอดี

“จะถึงแล้วนะ พวกพี่อยู่ตรงไหน?”

“มาด้วยเหรอเนี่ย?” โจวจิ้งถาม

“พี่มั่วลี่ชวน จะถึงแล้วแค่นี้ก่อนนะ”

โจวเสี่ยวหยีขึ้นชั้นมัธยมปีที่สี่แล้ว เกเรเหมือนโจวจิ้งทุกกระเบียดนิ้ว แต่ยังเชื่อฟังเฮ่อซวินอยู่บ้าง

“เจ้าตัวเล็กของคุณมาแล้ว ฉันไปหาก่อนนะ”

เฮ่อซวินพยักหน้าแล้วไปทักทายเพื่อนๆ ต่อ

ขณะเดินผ่านสนามหญ้า โจวจิ้งเห็นหนุ่มฝรั่งที่มั่วลี่เพิ่งจะวิ่งตามนั่งเอาอกเอาใจเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ตรงม้านั่งยาว ส่วนมั่วลี่ก็นั่งเป็นดอกไม้หอมท่ามกลางหนุ่มๆ อยู่อีกฟากหนึ่ง น้อยครั้งที่มั่วลี่จะอกหักหรือถูกปฏิเสธ โจวจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจสาวสวยตรงหน้า

เธออายุยังน้อย ผิวขาวอมชมพู ผมสีทองยาวประบ่า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ใส่เดรสตัวสั้น ดูน่ารักราวกับตุ๊กตาบาร์บี้เดินได้

แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด โจวจิ้งก็ถึงกับอึ้ง

“ไปนั่งไกลๆ ได้ไหม! โอ๊ย เลิกตื๊อให้ฉันกินขนมสักที!”

เธอประหลาดใจที่สาวผมทองคนนี้พูดภาษาจีนได้คล่องแคล่ว ทั้งยังติดสำเนียงของเมือง H ด้วย

“คนต่างชาติเก่งภาษาจีนขนาดนี้เลยเหรอ?” เธอพึมพำกับตัวเอง

สาวผมทองแสนสวยคนนี้พูดภาษาจีนด้วยสำเนียงท้องถิ่นที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าหู

อีฟ หนุ่มฝรั่งลุกขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ พอดีกับที่เด็กสาวเหลือบไปเห็นโจวจิ้งพอดี

“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ?”

โจวจิ้งกระแอมเบาๆ แล้วเตรียมเดินหนี

“เดี๋ยวก่อน!” สาวผมทองที่ชื่อมาร์ตี้ตะโกนเรียก

“เรียกหล่อนทำไม?” อีฟถามด้วยสำเนียงจีนเพี้ยนๆ

มาร์ตี้เดินตรงไปหาโจวจิ้ง เบิกตาสีฟ้างดงามมองอีกฝ่ายด้วยความเหลือเชื่อ

เธอขยับเข้าใกล้เพื่อมองให้ชัดอีกรอบ กระทั่งมั่นใจกับความจริงที่ไม่อยากจะเชื่อจึงตัดสินใจถามตรงๆ

“เธอคือ… โจวจิ้งใช่ไหม?”

โจวจิ้งไม่พอใจกับความไร้มารยาทของเด็กสาวตาสีฟ้าที่มาถึงก็เรียกชื่อของเธอแบบห้วนๆ ไม่มีคำว่าพี่นำหน้าสักนิด

แต่เมื่อเหลือบไปเห็นต่างหูของอีกฝ่ายซึ่งเป็นลายหัวกะโหลกตกแต่งด้วยเพชรวิ้งวาว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

“เธอก็เหมือนกัน… ใช่โจวจิ้งไหม?”

“พระเจ้า!” มาร์ตี้อุทานด้วยความตกใจ

“ให้ตายเถอะ!” โจวจิ้งเองก็ตกใจเช่นกัน

“ไม่ทราบว่า…” อีฟเกาหัวแกรก

“หุบปาก!” มาร์ตี้ตวาด “ไปไกลๆ เลย ฉันมีเรื่องต้องคุยกับผู้หญิงคนนี้!”

หนุ่มฝรั่งมองโจวจิ้งสลับกับมองมาร์ตี้ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ

ในหัวของโจวจิ้งมีแต่คำถาม แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าที่สาวฝรั่งผมทองตาฟ้าสามารถพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วก็เพราะว่าถูกวิญญาณของโจวจิ้งอีกคนสิงร่างนั่นเอง

ผ่านมานานกว่าสิบปี ไม่คิดว่าจะได้พบกับเจ้าของร่างตัวจริงในสถานการณ์แบบนี้

จำได้ว่าสวรรค์เซอร์วิสเคยอัปเกรดบัญชีให้เธอด้วยการมอบโพรโมชันพิเศษ หรือนี่จะเป็นบัญชีครอบครัวที่ระบบผูกไว้ให้

พวกเธอจะต้องเป็นครอบครัวเดียวกันงั้นเหรอ?

มาร์ตี้เดินวนรอบตัวโจวจิ้งเพื่อสำรวจทุกซอกมุม สุดท้ายก็ส่ายหน้า “คิดไม่ถึงว่าโตขึ้นฉันจะหน้าตาแบบนี้ เชยชะมัด!”

โจวจิ้งกลอกตาให้กับความคิดของอีกฝ่าย เพราะตอนเข้ามาอยู่ในร่างนี้ใหม่ๆ ผมสีทองของเธอฟูฟ่องราวกับสิงโต ชี้โด่ชี้เด่ไปคนละทิศละทาง แต่แทนที่จะได้รับคำขอบคุณกลับถูกตำหนิเสียนี่

เธอยังมีคำถามอีกมากมายในใจ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง

“ตอนนี้เธอทำงานอะไร แต่งงานมีลูกหรือยัง?” มาร์ตี้ชิงถามก่อน

“เป็นทนาย แต่งงานแล้ว มีลูกหนึ่งคน คุณย่าพาไปเที่ยวต่างจังหวัดยังไม่กลับ”

“ฉันเนี่ยนะเป็นทนาย? หน้าตาแบบนี้ หุ่นแบบนี้ ต้องเป็นดาราไม่ก็นางแบบหรือเปล่า!” มาร์ตี้ทำหน้าไม่พอใจ “ช่างมันเถอะ แล้วสามีของฉันเป็นใคร? อย่าบอกนะว่า…” เธอจ้องโจวจิ้งตาไม่กะพริบ “ฉันแต่งงานกับหลินเกา!”

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้แต่งงานกับเขา ฉันแต่งกับเฮ่อซวิน”