ตอนที่ 484 ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 484 ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา

ภายในใจของหญิงสาวนั้นช่างรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

เปียนหรงเอ๋อกลับมายังโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางหดหู่

นางนั่งลงมองดูใบหน้าตนเองในกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วยื่นมือออกมาสัมผัสผิวแก้มอันเย็นเยือกของตน ผิวพรรณของนางยังคงนุ่มนวลชุ่มชื้น

ใบหน้าของนางงดงาม รูปร่างอรชรสมส่วน ต่อให้สวมใส่เสื้อคลุมเอาไว้ ก็มิอาจปกปิดเนินอกอันน่าภาคภูมิใจเอาไว้ได้

นางเป็นถึงคุณหนูในจวนเปียนเฉิงเมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีตั้งแต่ยังเยาว์ นั่นจึงทำให้นางมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในค่ำคืนนี้ ความมั่นใจที่นางเคยมีอยู่มากมายกลับถูกฟู่เสี่ยวกวนเหยียบย่ำบดขยี้เสียจนแทบมิหลงเหลือ

ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เชิญนางไปกินอาหารด้วยกันเท่านั้น !

เดิมทีนางยังคงกังวลใจว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกินมื้อเย็นและดื่มสุราเสียจนเมามายแล้ว เขาจะทำในสิ่งที่ทำให้นางมิอาจเงยหน้าขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ดังนั้นนางจึงพยายามมอมเหล้าตนเองให้เมามายไปเสีย เนื่องจากมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

แต่นางคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะห้ามมิให้นางดื่มเสียจนเมามาย อีกทั้งยังส่งนางออกมาจากหอซื่อฟางด้วยตนเองอีกด้วย

มิมีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น มันมิเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาเลยอย่างแท้จริง !

เขามิชื่นชอบข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ได้ยินมาว่าภรรยาทั้งสามคนของเขาก็เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง รูปร่างหน้าตาของนางก็นับว่างดงามยิ่งในเมืองเปียนเฉิง !

เหตุใดเขาจึงมิชื่นชอบข้ากัน ?

เหตุใดต้องดูแคลนข้าถึงเพียงนี้ด้วย ?

ใบหน้าของเปียนหรงเอ๋อยังคงขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตแวววาวนั้น ทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก

ความรู้สึกเกลียดชังและต่อต้านฟู่เสี่ยวกวนที่เคยมีอยู่ในใจบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว จนถึงกระทั่งนางรู้สึกว่าอยากให้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาจริง ๆ เยี่ยงนั้นแล้วนางถึงจะรู้สึกว่าตนเองมีค่าขึ้นมาบ้าง

แต่บัดนี้…เนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้มร่างกายของนางเอาไว้นั้น กลับมิเข้าตาเขาเอาเสียเลย

เปียนมู่หยูและเยียนเหลียงเจ๋อเดินเข้ามา เมื่อมองเห็นสีหน้าท่าทางของเปียนหรงเอ๋อเช่นนั้น พวกเขาต่างก็จ้องมองนางด้วยความตกตะลึง

เยียนเหลียงเจ๋อรีบเดินเข้ามาข้าง ๆ เปียนหรงเอ๋อแล้วโค้งคำนับ “ข้าขอขอบคุณน้องหรงเอ๋อยิ่ง รอให้ข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะมอบตำแหน่งที่มั่งคงให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน ! ”

เปียนหรงเอ๋อยิ้มออกมาแล้วหันไปมองทางเยียนเหลียงเจ๋อ “ความหวังดีของฝ่าบาทนั้นหรงเอ๋อขอรับไว้อย่างซาบซึ้งใจ แต่เรื่องมิได้เป็นเยี่ยงที่พวกท่านคิด…”

“เขา…เขามิได้แตะต้องข้า”

เปียนมู่หยูขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องนั้นจัดการแล้วหรือยัง ? ”

เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิด เรื่องนั้นนับว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่กัน ? ระหว่างทานอาหารนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยวาจาคลุมเครือ ทุกคราที่เอ่ยถึงเรื่องวันเจรจา เขาก็จะเปลี่ยนเรื่องทันที ดังนั้นคาดว่าน่าจะยังมิสำเร็จ

แต่เขาก็ตอบรับคำเชิญที่จะไปยังหงซิ่วจาว เช่นนั้นนับว่าสำเร็จแล้วหรือยัง ?

“วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ลูกจะจัดงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาวเพื่อต้อนรับคุณชายฟู่ เงิน 300,000 ตำลึงนั้นลูกมอบให้กับเขาไปแล้ว ส่วนเรื่องวันเจรจา เขากล่าวว่าก่อนปีใหม่นี้เขายุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะต้องรอให้ถึงหลังปีใหม่จึงจะได้นั่งเจรจากัน”

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน หลังปีใหม่เยี่ยงนั้นหรือ เขารอมิได้อย่างแน่นอน !

บัดนี้วันที่สิบห้าเดือนสิบสองแล้ว อีก 5 วันจะถึงวันนัดหมายกับฟู่เสี่ยวกวน หลังจากห้าวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็จะสิ้นชีพลง หัวหน้าคณะการเจรจาก็จะต้องถูกเปลี่ยนคน เมื่อเปลี่ยนคนแล้ว เรื่องการเจรจาก็คงจะง่ายขึ้นมามากนัก

“มิว่าเยี่ยงไรก็ตาม ลำบากน้องหรงเอ๋อมากเสียทีเดียว เรื่องหงซิ่วจาว พวกเราจะนำความหวังฝากไว้กับถงเหยียนทั้งหมด ย่อมมิได้ ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋าอยู่ ดังนั้นหากต้องการลอบสังหารเขาย่อมมิใช่เรื่องง่าย เยี่ยงนั้นแล้วเรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการอย่างละเอียดและรอบคอบ ! ”

ห้องในโรงเตี๊ยมของหยี่ฮวาถายยังคงมีแสงไฟสว่างโร่อยู่ หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กลับมาถึงจวนฟู่แล้วก็ได้เล่าเรื่องที่น่าลำบากใจทั้งสิ้นนี้ให้แก่ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวฟัง ไฟในจวนฟู่เองก็ยังคงมิดับลงเช่นกัน

เช้าตรู่ในวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสดชื่นราวกับได้เกิดใหม่ หลังจากออกกำลังกายยามเช้าแล้วเขาก็ได้ลงมาจากเตียงด้วยเสียงหัวเราะที่ชื่นมื่น

หิมะยังคงโปรยปรายลงมา ทะเลสาบซวนอู่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

ท่ามกลางแสงสลัวของยามเช้า ฟู่เสี่ยวกวนเห็นซูซูนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ลานกว้างท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย

นางยังคงสวมใส่ชุดผ้าลินินบาง ๆ และมิได้สวมใส่รองเท้าตามเดิม มีหมอกควันบาง ๆ ลอยออกมาจากร่างกายของนาง

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินเข้าไปดูด้วยความประหลาดใจ ซูซูลืมตาขึ้นมามองดูเขา จากนั้นก็หลับตาลงเพื่อฝึกฝนกำลังภายในของนางต่อไป

“อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เจ้ามินอนต่ออีกสักหน่อยหรือ ? ”

ซูซูมิได้ลืมตาขึ้นมอง นางเบ้ปากแล้วพลางนึกในใจว่า เจ้าทำเสียงดังโครมครามแบบนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ จะให้ข้านอนต่อได้เยี่ยงไรกัน ?

“ตอนที่ข้าฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง เหตุใดจึงมิเป็นเยี่ยงเจ้ากัน ? ”

“เนื่องจากเจ้าอ่อนแอจนเกินไป ! ”

อ่า… ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกของตนเอง ช่วงนี้เขายุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของกรมการค้า และมัวแต่จัดการเรื่องของปีใหม่ จึงทำให้การฝึกวรยุทธ์ล่าช้าลง

ดังนั้น เขาจึงได้นั่งลงตรงข้ามกับซูซู แล้วค่อย ๆ หลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของตนต่อไป

เขาทนอยู่ได้มิถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ก็ได้ลืมตาขึ้นมาเนื่องจากอากาศช่างหนาวเหน็บเสียเกินทน !

มองดูแล้วตนคงจะมิใช่ผู้ที่เหมาะสมที่จะฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง !

เขาลุกขึ้นยืนปัดก้นเพื่อเตรียมตัวเดินจากไป เขายังต้องเขียนจดหมายไปให้ไป๋ยู่เหลียน 1 ฉบับ และเฉินป๋อที่ประจำการอยู่ในเขตผิงหลิง 1 ฉบับ อีกทั้งยังต้องเขียนจดหมายไปให้แก่ซูม่ออีก 1 ฉบับด้วย

เดิมทีข้านั้นก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา การฝึกวรยุทธ์นี้คงมิเข้ากับข้าสักเท่าใดนัก

เขากำลังก้าวออกไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองก็ต้องตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง

หิมะที่อยู่ด้านข้างซูซู อยู่ ๆ กลับระเบิดขึ้นมา !

มิว่าจะเป็นหิมะที่ตกลงมาจากท้องนภาหรือหิมะที่อยู่รอบ ๆ ตัวนาง บัดนี้คล้ายกับได้รับแรงดึงดูดบางอย่าง พวกมันพากันพุ่งตรงเข้าไปหานาง

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ซูซูก็ถูกหิมะโถมเข้าใส่อีกครา ในครานี้รุนแรงกว่าคราก่อนมากนัก

ฟู่เสี่ยวกวนถอยหลังออกไปนับสิบก้าว

ซูซูบัดนี้ดูคล้ายกับเครื่องดูดฝุ่น หิมะที่ปกคลุมอยู่ที่ลานกว้างทั้งหมดได้ลอยเข้าไปหานาง อีกทั้งมองดูแล้วนี่คงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ศิษย์พี่ใหญ่เดินตรงเข้ามาข้างกายฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความยินดี ศิษย์พี่สามซูโหรวเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่หลังคาฝั่งตรงข้าม นางยังคงปักผ้าอยู่ในมือ แต่ใบหน้ากลับปรากฏสีแดงอมชมพูออกมาให้เห็น

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของนางนั้น เกิดมาจากความหนาวเหน็บเขาจึงมิได้ใส่ใจ ซูเจวี๋ยได้ขยับหมวกแล้วกล่าวว่า “น้องหกจะบรรลุขั้นแล้ว”

“นาง…นางจะบรรลุเข้าสู่ขั้นใดกัน ? ”

“ระดับหนึ่ง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลงทันพลัน ซูซูเหมาะแก่การฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง อย่าได้นำตนไปเปรียบเทียบกับนางเลย

“ซูม่อและถาวฮวาแต่งงานกันที่สำนักเต๋าแล้ว เขาได้รับการฝึกฝนดอกไม้ผลิขั้นสองของตระกูลเยี่ยน และบัดนี้เขา…ก็ได้บรรลุระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ช่างใจดำยิ่ง เช้าตรู่เยี่ยงนี้จะกล่าวถึงเรื่องแทงใจดำเขาเพื่ออันใดกัน ?

“ศิษย์น้องเล็ก แม้อาจารย์จะกล่าวว่าเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ในใต้หล้า แต่ข้าคิดว่าเจ้านั้นอย่าได้เสียเวลาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์อีกเลย”

“……”

หิมะในลานกว้างบัดนี้ถูกซูซูดึงดูดเข้าไปเสียจนสะอาดสะอ้าน ซูซูมิได้กลายเป็นมนุษย์หิมะแต่อย่างใด แต่นางกลับกลายเป็นภูเขาหิมะลูกเล็ก ๆ ไปเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก มิใช่เพราะกลัวว่าซูซูจะขาดอากาศหายใจหรือหนาวตายไปเสียก่อน แต่กังวลว่าเมื่อนางระเบิดหิมะเหล่านั้นออกมา จะทำให้เกิดพลังมหาศาลและทำให้เรือนของเขาแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือไม่

ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหากเขามิเห็นภาพเหล่านี้ก็คงจะมิเป็นกังวลเยี่ยงบัดนี้ ดังนั้นเขาจึงได้หันหลังเดินจากไปเพื่อรับประทานอาหารเช้าอันเลิศรสกับภรรยาที่งดงามของเขาทั้งสามคน จากนั้นก็ได้เรียกซูเจวี๋ยและเดินทางออกจากจวนฟู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

เขาจะต้องไปดูคนที่กรมการค้าเสียหน่อย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว พวกเขาจะร่างกฎหมายออกมาเยี่ยงไรกัน ?