ตอนที่ 485 เหล่าชายหนุ่มแห่งกรมการค้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 485 เหล่าชายหนุ่มแห่งกรมการค้า

ในยามนี้เป็นยามเช้าตรู่ ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินผ่านท้องพระโรงเฉิงเทียน เขาก็ได้ชำเลืองสายตามองดูเล็กน้อย ประชุมราชวงศ์ยามเช้ายังมิเสร็จสิ้น และมิทราบเช่นกันว่าฝ่าบาทกำลังหารือเรื่องใดกับเหล่าขุนนาง

เขาย่อมมิได้เข้าไป แต่กลับเดินตรงไปยังสำนักงานของกรมการค้าแทน

สองวันมานี้กรมการค้าก็ได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 1 คน

คนผู้นี้มีนามว่าหม่าซิงคง ชายผู้นี้มาที่นี่ด้วยตนเอง ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมในความกล้าของเขาเป็นอย่างมาก จึงได้มอบโอกาสให้แก่เขา

ทั้งสองสนทนากันที่ธนาคารซื่อทงอยู่ราว 1 ชั่วยาม จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รีบเรียกให้เขาเข้าไปทำงานที่กรมการค้าทันที เพราะชายผู้นี้ได้เสนอข้อคิดเห็นหนึ่งที่แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ละเลยไป

หากการค้าเจริญรุ่งเรือง เงินตราในท้องตลาดต้องมีเพียงพอ !

“ท่านฟู่ลองใคร่ครวญดูเถิด หลังจากที่นโยบายใหม่นี้ถูกส่งเสริม พ่อค้าจำนวนมากจะต้องขยายเครือข่ายของโรงงานให้กว้างขวางขึ้นอย่างแน่นอน ต้นทุนของสินค้าย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ในเวลาเดียวกันผลผลิตของสินค้าก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ยามที่มูลค่าของสินค้าในท้องตลาดสูงเกินกว่าเงินตราที่ชาวบ้านเป็นเจ้าของ ก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์การหมักหมมของสินค้าจำนวนมากที่จะตามมาได้ เมื่อถึงเวลานั้น ราคาของสินค้าเหล่านั้นก็จะตกต่ำลง มิเยี่ยงนั้นก็สามารถทำได้เพียงแค่ทำลายทิ้ง แต่มิว่าจะเป็นสถานการณ์ใด ต่างก็ทำให้พ่อค้าขาดทุนทั้งสิ้น

ในแง่ที่หนึ่งคือชาวบ้านต้องการซื้อแต่มิมีกำลังทางการเงินที่มากพอ ในอีกแง่หนึ่งก็คือพ่อค้าจะทำได้เพียงแค่มองเม็ดเงินที่หายวับไปกับตาของตนเอง สถานการณ์ในตอนท้ายที่สุดคือโรงงานเหล่านั้นจะต้องปิดตัว พ่อค้าจะล้มละลาย และเศรษฐกิจทั้งแคว้นจะเป็นอัมพาต

ตัวข้านั้นอาจจะตื่นตระหนกไปสักเล็กน้อย แต่นี่คือข้อสรุปที่ข้าได้ทำการใคร่ครวญมาอย่างเนิ่นนานแล้ว คุณชายเป็นผู้คุมหางเสือของนโยบายใหม่นี้ บัณฑิตผู้นี้จึงบังอาจกล่าวออกไป หากผิดพลาดประการใดขอคุณชายโปรดชี้แจงให้กันด้วย”

คำเอ่ยนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน การจำหน่ายตั๋วเงินของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้มีทองเป็นปัจจัยหลัก และจำนวนทองสำรองของราชวงศ์หยูก็เป็นตัวตัดสินของการจำหน่ายตั๋วเงินของธนาคารเป่าหลง

หลังจากที่เขาได้เข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่แล้ว จึงได้ทราบว่าทองสำรองของราชวงศ์หยูมีมิเพียงพอต่อความต้องการตั๋วเงินของท้องตลาดในยามที่เศรษฐกิจเกิดการระเบิดตัว

แต่ตั๋วเงินนี้จะพิมพ์สุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ มิเช่นนั้นก็จะทำให้เศรษฐกิจของราชวงศ์หยูเสียหายไปกันใหญ่

มันจะมิถูกสะท้อนออกมายามที่การค้ารุ่งเรือง แต่ทันทีที่การค้าซบเซา ตั๋วเงินนี้ก็จะสูญเสียมูลค่า และมิได้ต่างไปจากกระดาษเปล่าเลย

ด้วยกำลังทางเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้ การหมุนเวียนของเงินตราหรือตั๋วเงินในตลาดยังมิเกิดปัญหาอันใด แต่หลังจากที่ผลักดันนโยบายใหม่นี้ไปได้สองถึงสามปี ยามที่กำลังการผลิตสูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ หลังจากที่เงินทุนทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สินค้าจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะเกิดภาวะเงินฝืดอย่างแน่นอน

ดังนั้นแผนการในอนาคตของฟู่เสี่ยวกวน จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาการจำหน่ายเงินตราให้ได้ภายในสองถึงสามปีนี้ สิ่งที่จะต้องแก้ไขก็คือเขาจำเป็นต้องมีทองที่เพียงพอเพื่อรองรับความต้องการเงินตราของตลาด อนุญาตให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้เพียงเล็กน้อย แต่จะต้องมิให้เกิดภาวะเงินฝืดเป็นอันขาด

และเพราะทัศนคตินี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรับหม่าซิงคงเข้าร่วมกรมการค้าเป็นกรณีพิเศษ

ชายผู้นี้ได้ซื้อหุ้นของซีซานจนกระเป๋าของตนว่างเปล่า เดิมทีแล้วก็เพื่อแก้ไขปัญหาการกินจึงอยากมาหางานชั่วคราวในธนาคารซื่อทง แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงมือนำเขาออกมาจากสำนักศึกษา และพาตัวเขาไปยังกรมการค้าในทันที !

แน่นอนว่าทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ปีหน้าก็มิจำเป็นต้องเข้าร่วมชิวเหวยแล้ว ข้ายังเรียนมิจบ แต่ก็ได้กลายเป็นขุนนางของราชสำนักไปแล้ว ทั้งยังอยู่ภายใต้คำสั่งของท่านฟู่อีกด้วย เขาตื้นตันไปถึง 2 วัน แต่หลังจากนั้นก็ตื้นตันมิออกอีกเลย…

กรมการค้ามีคนแบบไหนอยู่กัน ?

ทยอยมานั่งในห้องโถงทีละคนตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงยามเย็น คนของสำนักงานอื่นในเขตวังหลวงที่ใหญ่โตนี้ต่างเดินออกไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่คนของกรมการค้ากลับไปมิมีผู้ใดเดินออกไปแม้แต่คนเดียว

ในที่นี้มีทั้งสหายร่วมรุ่นและมีทั้งรุ่นพี่ของเขา และหนึ่งในนั้นก็ยังมีซือหม่าหนานสหายสนิทของเขาอีกด้วย

หลังจากที่ได้เอ่ยถามซือหม่าหนาน เขาถึงได้เข้าใจว่าทุกคนต่างยินยอมที่จะทำงานล่วงเวลาเอง และเหตุผลที่ยินยอมนั้นก็เรียบง่ายเสียจนเขาแทบจะกระอักเลือด “พวกเขามีความสุขที่ได้ทำงานล่วงเวลา เจ้ามิอยากทำงานล่วงเวลาก็สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อ”

ให้ตายเถอะ แล้วจะมีผู้ใดจะกล้าวิ่งหนีออกไปเพียงผู้เดียวโดยที่มิรู้สึกละอายใจได้กันเล่า ?

หม่าซิงคงจึงทำได้เพียงอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้น หมกมุ่นอยู่กับโครงสร้างของกฎหมายนี้ หลังจากนั้นก็จะค้นคว้ากับเหล่าคนที่อยู่ข้าง ๆ และก็จะถกเถียงกันจนหน้าแดงก่ำเพื่อหารือข้อคิดเห็นต่าง ๆ

ในทุกชั่วยาม รองหัวหน้าหลี่ฉายก็จะออกมาไกล่เกลี่ย “และเขียนข้อคิดเห็นของพวกเขาลงไป สุดท้ายก็จะส่งให้ท่านฟู่ตรวจสอบ ท่านฟู่จะเลือกข้อคิดเห็นของผู้ใดก็ถือเป็นที่ถูกต้อง อย่าได้เสียเวลามาพิพาทกันตรงนี้เลย ทุกคนยังอยากฉลองปีใหม่กันอยู่หรือไม่ ? ”

ดังนั้นกรมการค้าจึงเงียบขึ้นมาอีกครา จะได้ยินก็เพียงแค่เสียงของพู่กันและน้ำหมึกที่จรดลงบนกระดาษ หรือบางทีก็เป็นเสียงของถ่านที่ปะทุขึ้นมาบ้างเป็นบางคราเท่านั้น

สำหรับกรมการค้าชุดนี้ต่างก็เป็นคนที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมาด้วยตนเอง แรกเริ่มหลี่ฉายก็เป็นกังวลอย่างถึงที่สุด ในที่นี้นอกจากสามคนที่เป็นสามอันดับแรกของชิวเหวยครานี้ อีกสามสิบกว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็ยังมิได้สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษา

มีอยู่วันหนึ่งหลี่ฉายได้เดินทางไปยังสำนักศึกษา และได้ตรวจสอบเอกสารของคนเหล่านั้นอยู่หนึ่งรอบ ก็ได้พบว่าบุคคลเหล่านี้ยามที่อยู่ในสำนักศึกษามิได้โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงได้ข้อสรุปว่า… ท่านฟู่เพียงตะลีตะลานจับบุรุษที่ผ่านมาด้วยความจวนตัวเท่านั้น ท่านฟู่มีอายุเพียง 17 ปี กระทำสิ่งใดย่อมมิน่าไว้วางใจ !

แต่หลังจากที่ได้อยู่กับพวกเขาหลายวันมานี้ เหล่าชายหนุ่มกลับทำให้หลี่ฉายต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ มิใช่เพียงการทำงานล่วงเวลาเท่านั้น แต่เป็นเพราะสมองของชายหนุ่มเหล่านี้ปราดเปรียวเป็นอย่างมาก เขาเพียงแค่ให้โครงสร้างกฎหมายแก่พวกเขาไป 1 ส่วนเท่านั้น ไม่นานพวกเขาก็สามารถแต่งเติมดอกไม้ลงไปในโครงสร้างนั้นได้ !

บัณฑิตเหล่านี้ต่างก็ได้เรียนรู้มาจากกิจการของครอบครัว อย่างเช่นหวางซุนอู๋จี้และฉงฟังหยวน อีกทั้งยังมีบัณฑิตจำนวนมากที่ได้เสริมสร้างความรู้จากโครงสร้างนี้ พวกเขาจะต้องจินตนาการว่าควรจะควบคุมต้นทุนเยี่ยงไรเพื่อควบคุมพฤติกรรมของพ่อค้า สิ่งนี้มิได้บั่นทอนความกระตือรือร้นของพวกเขาเลย ในส่วนนี้ทำให้หลี่ฉายต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่

ความคิดเห็นของพวกเขาแปลกใหม่ มีหลายคำอธิบายหลายจุดที่บางทีก็มิได้ถูกต้องทั้งหมด แต่กลับเป็นแนวคิดที่หลี่ฉายสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้

ดังนั้นนับตั้งแต่ที่กรมการค้าก่อตั้งขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว เขาได้ร่างตำรา ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ เล่มแรกเสร็จแล้ว

ในตอนที่เขาคิดจะหาเวลาเพื่อส่งแบบร่างนี้ให้กับท่านฟู่ ก็คาดมิถึงว่าที่ห้องโถงใหญ่นี้จะเกิดการโต้เถียงทางด้านการค้าขึ้นมาอีกครา

“ข้าคิดว่า ‘กฎหมายแพ่งและพาณิชย์’ มิเหมาะสม พวกเจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด เหล่าพ่อค้าอาศัยกำลังของตนเองมาควบคุมสินค้าในตลาด เจ้ากลับต้องการจะต่อต้านพวกเขา เยี่ยงนั้นภายภาคหน้าผู้ใดจะกล้าทุ่มกำลังเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตนเองกัน ? ”

“หวางซุนกล่าวเยี่ยงนี้ก็มิเหมาะสม เจ้ายืนอยู่ในมุมมองของพ่อค้าจึงมองเห็นปัญหานี้ หากยืนอยู่ในมุมมองของคนทั่วไป หลังจากที่สินค้านี้ถูกผูกขาด พ่อค้าก็จะขึ้นราคาได้ตามอำเภอใจ และผู้บริโภคก็จะไร้หนทางต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น”

“คำเอ่ยนี้ของซือหม่าค่อนข้างลำเอียง ข้ากลับคิดว่าผู้คนจะทุบเงินเพื่อไปเพิ่มฝีมือให้สูงขึ้น กำจัดสินค้าที่เป็นประเภทเดียวกัน นี่คือพฤติกรรมของการแข่งขันทางตลาดรูปแบบหนึ่ง หากเป็นกรณีตรงกันข้าม ยังจะมีผู้ใดเต็มใจที่จะปฏิรูปเครื่องมือและปฏิรูปกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกกัน ? ”

ซือหม่าหนานถึงกับเอ่ยมิออกเมื่อถูกหวางซุนถามเยี่ยงนั้น ในเวลานั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามา

“พวกเจ้าถกปัญหาผิดไปหนึ่งประเด็น การผูกขาดและการแข่งขันคือสองสิ่งที่แตกต่างกัน…”

ชีวิตประจำวันของกรมการค้าได้เริ่มต้นขึ้นมาอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดินสอขึ้นมาวาดรูปบนกระดาน และอธิบายคำศัพท์ใหม่ให้เหล่าขุนนางในกรมการค้าได้ฟังโดยละเอียด รวมไปถึงว่าจะกำหนดออกมาเยี่ยงไรและอื่น ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาถึง 2 ชั่วยามในการอธิบายในคาบเรียนของวันนี้ ทันทีที่วางดินสอลง กลับพบเห็นขันทีเจี่ยเดินตัวสั่นเข้ามาด้านใน