เล่มที่ 15 เล่มที่ 15 ตอนที่ 436 พับแขนเสื้อขึ้นตั้งใจทำแต้ม

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที

แม้ปกติอู๋จุนจะพูดจาในทางที่ไม่เหมาะสมนัก ทว่าเขาไม่เคยใกล้ชิดสตรีใดมาก่อน ใบหน้าจึงปรากฎความอึดอัดผิดปกติ พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“คือว่า… แม่นางพิษน้อย พี่จุนบอกแล้ว พี่จุนมีชื่อว่าอู๋จุน ดูเจ้าสิ เหตุใดจึงไม่ยอมแก้ไข! มา เรียกพี่จุนสักคำให้ข้าฟัง… ”

อู๋จุนพยายามปกปิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเขาทั้งสอง

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้คิดเช่นนั้น หลังจากรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ซูจิ่นซีกลืนน้ำลายและหลับตาลงครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อเรียกจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

“อู๋จุน ข้าไปแคว้นหนานหลีครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อตามเจ้าไปยังหุบเขาเทพโอสถ ทว่าข้าต้องการตามหาที่อยู่ของสัตว์เทพกิเลน และไปเยือนสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลีเพื่อยืนยันสถานะของตนเอง”

แววตาสดใสของอู๋จุนพลันปรากฏความผิดหวัง ทว่าความรู้สึกนั้นกลับหายวับไปอย่างรวดเร็วจนซูจิ่นซีไม่ทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย

เขายกยิ้มมุมปากราวกับไม่ใส่ใจ “แล้วอย่างไร? แม่นางพิษน้อยต้องการไปที่ใด พี่จุนจะไปที่นั่นกับเจ้าด้วย สำหรับหุบเขาเทพโอสถ ไว้มีโอกาสค่อยไปในภายหลัง”

อย่างไรก็ตาม ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะติดตามแม่นางพิษน้อยตลอดไป

นี่คือสิ่งที่เขากำหนดไว้ในใจอย่างแน่วแน่

ซูจิ่นซีไม่พูดอันได้อีก ทำเพียงหันหลังกลับและเดินหน้าต่อ อู๋จุนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองซูจิ่นซีที่สวมชุดสีเหลืองเดินห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเขาทอดยาวออกไป

จนกระทั่งซูจิ่นซีเดินลับสายตา ทันใดนั้น อู๋จุนก็สะบัดเสื้อสีแดงเพลิงอันงดงามและมีเสน่ห์ราวกับใบไม้ร่วง และใช้วิชาตัวเบาไล่ตามร่างของซูจิ่นซี

ครั้งนี้ ซูจิ่นซีไปเยือนแคว้นหนานหลีอย่างไม่เร่งรีบเหมือนสองสามครั้งก่อนหน้า ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องแผนการเดินทางมากนัก นางเดินๆ หยุดๆ ชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามระหว่างทาง สัมผัสถึงประเพณีในพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทาง ผ่านไปสิบวัน ซูจิ่นซีและอู๋จุนก็เดินทางมาถึงดินแดนของแคว้นหนานหลี

แน่นอนว่าบนถนนเส้นนี้ ผู้ที่ชื่นชมความงามของภูเขาและแม่น้ำ ทั้งยังสัมผัสถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ย่อมเป็นอู๋จุน

ซูจิ่นซีดูเหมือนไม่มีอันใดผิดปกติ นางทานข้าวและนอนตรงเวลา บางครั้งยังแย้มยิ้มสดใสให้อู๋จุน ทว่ารอยยิ้มของนางส่งไปไม่ถึงดวงตาอันลึกซึ้ง

ในก้นบึ้งหัวใจของนาง ยังมีพื้นที่มืดมิดและเปียกชื้นอยู่เสมอ ฝนตกพรำลงมา ทว่าไม่มีฟ้าหลังฝน นางไม่อาจเปิดใจได้อีกแล้ว

ทุกวันนี้ นอกจากรีบเดินทางในตอนกลางวัน และพักดื่มชากับอู๋จุนเป็นครั้งคราว ช่วงเวลาที่เหลือ ซูจิ่นซีมักเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่บริเวณโดยรอบเงียบสงัด เรื่องในอดีตเกี่ยวกับเยี่ยโยวเหยา และบุญคุณความแค้นที่ไม่อาจแยกแยะก็ค่อยๆคืบคลานออกมา ดั่งปีศาจงูพิษที่กัดกินหัวใจของนาง ไม่ปล่อยให้นางได้มีโอกาสหลบหนี

เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองจมอยู่กับความเจ็บปวด ทุกครั้งที่ปิดประตูลง ซูจิ่นซีจะหลับตาพักใจ จากนั้นจึงฝึกฝนระบบถอนพิษและอาคมกำไลปี่อั้น

ทว่าหลายวันที่ผ่านมา อาคมกำไลปี่อั้นและระบบถอนพิษไม่มีการพัฒนาเลย และไม่มีวี่แววว่าจะเพิ่มระดับแต่อย่างใด

แน่นอน ซูจิ่นซีเข้าใจว่าการฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาและโชคชะตา ใช่ว่าเจ้านายต้องการเพิ่มระดับเมื่อใดก็ทำได้

เพียงแต่… มีอีกเรื่องที่ซูจิ่นซีรู้สึกแปลกใจอย่างมาก

นั่นคือ ร่างกายของนางดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

“แม่นางพิษน้อย เจ้าตื่นหรือยัง? แม่นางพิษน้อย วันนี้พี่จุนเข้าครัวทำอาหารจานเล็กด้วยตนเอง เจ้าลงมาข้างล่างและลองชิมดูสิ! ”

เสียงเคาะประตูของอู๋จุนดังมาจากทางด้านนอก ซูจิ่นซีถอนสมาธิออกจากระบบถอนพิษและลืมตาขึ้น ก่อนจะลงจากเตียงไปเปิดประตู

“แม่นางพิษน้อย เจ้าอยู่ในห้องทั้งวัน หิวหรือไม่? ไป พี่จุนจะพาเจ้าไปทานของอร่อย! ” อู๋จุนพูดพลางดึงแขนเสื้อซูจิ่นซีให้เดินลงไปข้างล่าง

ซูจิ่นซียืนนิ่ง นางหันไปมองมืออู๋จุนที่จับแขนเสื้อตนเอง

เมื่ออู๋จุนเห็นว่าซูจิ่นซีไม่ขยับ จึงหันหน้ามามอง ก่อนจะหัวเราะแหะๆ และรีบปล่อยมือของนาง

“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย เจ้าดูพี่จุนสิ ช่างขี้ลืมเสียจริง ต่อไปข้าจะฟังเจ้า ไม่แตะเนื้อต้องตัวเจ้า ไม่แตะเนื้อต้องตัวเจ้าแน่นอน! ”

ซูจิ่นซีเดินนำหน้าไปด้วยท่าทีเฉยเมย

ใบหน้าอู๋จุนเต็มไปด้วยความสุข เขาเดินตามหลังซูจิ่นซีลงไปด้านล่าง

ห้องส่วนตัวที่ชั้นล่างถูกกั้นด้วยม่านลูกปัด บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด แม้อาหารทั้งหมดจะใช้เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา และผักผลไม้ทั่วไป ทว่าวิธีการทำแปลกพิสดารมาก กระทั่งซูจิ่นซีที่เคยรับประทานอาหารเลิศรสมากมายเมื่อครั้งที่อยู่ในจวนโยวอ๋อง ยังรู้สึกว่าดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นมาทันที

ในความหยาบของอู๋จุนยังมีความละเอียด จากแววตาของซูจิ่นซี เขาสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตนเองทำเพื่อนาง ในที่สุดก็ทำให้นางประทับใจได้แล้ว เขาจึงอาศัยความสำเร็จนี้ไล่ตามชัยชนะต่อไป

“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย อาหารเหล่านี้เป็นฝีมือของพี่จุน พี่จุนคิดค้นขึ้นเองทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงวิธีการทำที่เป็นสูตรลับเฉพาะ แม้แต่ชื่ออาหาร พี่จุนก็คิดด้วยตนเอง”

ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางมองอู๋จุนด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

“แหะ แหะ เจ้าอย่าดูถูกพี่จุนสิ! พี่จุนทำเป็นหลายอย่าง! ไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยาของเจ้าอย่างแน่นอน”

เมื่อพูดถึงเยี่ยโยวเหยา แววตาของซูจิ่นซีพลันเปลี่ยนไป

อู๋จุนเห็นถึงความผิดพลาด เขาตบปากตนเองและรีบแก้คำพูด “ถุย! เจ้าดูปากพาจนของพี่จุนสิ บรรยากาศดีๆ เช่นนี้ จะพูดถึงคนผู้นั้นทำไม? เจ้าดูนะ พี่จุนจะพูดชื่ออาหารให้เจ้าฟังทีละจาน”

อู๋จุนกล่าวพลางชี้แนะนำชื่ออาหารให้ซูจิ่นซีฟัง เริ่มจากจานที่วางอยู่บนโต๊ะทางขวามือไปจนสุดทางซ้ายมือ

“จานนี้ชื่อว่าขลุ่ยหยกบุปผาโรย จานนี้เรียกว่าฝูงกระยางเหินฟ้า จานนี้เรียกว่าหิมะสารทฤดูซีหลิง จานนี้เรียกว่าถุงโรยผงธุลี จานนี้เรียกว่าปีกหงส์เป่าซาน… จานนี้เรียกว่าชางไห่หนานเหวยสุ่ย (ชื่อบทกลอนสมัยราชวงศ์ถัง) ”

เขาใช้บทกวีแต่งเป็นชื่ออาหารทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าอู๋จุนที่ดูเหมือนเป็นคนไม่จริงจังกับสิ่งใด กลับมีความสามารถในด้านนี้ ทำให้ผู้คนอดชื่นชมไม่ได้!

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้แสดงความคิดในใจออกมาทางสีหน้ามากนัก นางหยิบตะเกียบบนโต๊ะและคีบถุงโรยผงธุลีขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น

แววตาอู๋จุนพลันเปล่งประกาย เขามองซูจิ่นซีอย่างคาดหวัง เห็นนางเคี้ยวอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังลิ้มรสชาติ จึงเอ่ยถามว่า “แม่นางพิษน้อย เป็นอย่างไรบ้าง? ฝีมือของพี่จุนไม่เลวใช่หรือไม่? ”

รสชาติดีมากจริงๆ อร่อยกว่าอาหารที่นางเคยลิ้มลอง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอู๋จุน ซูจิ่นซีมักเคยชินกับการใช้น้ำเสียงกระแทกกระทั้น และพูดจาไม่ดีเท่าไรนัก

“ก็เป็นเหมือนมาโปโต้วฟู่ (เต้าหู้ผัดเสฉวน) ธรรมดาจานหนึ่ง เหตุใดต้องตั้งชื่อเสียไพเราะเช่นนี้? ”

“มาโปโต้วฟู่? ” ใบหน้าอู๋จุนเคร่งขรึมทันที

ซูจิ่นซีค่อยๆ ขมวดคิ้ว

ในยุคสมัยนี้ คงไม่มีผู้ใดรู้จักมาโปโต้วฟู่กระมัง?

เมื่อเห็นซูจิ่นซีนิ่งเงียบ อู๋จุนจึงหัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ช่างเถิด มาโปโต้วฟู่ ก็มาโปโต้วฟู่! เพียงแม่นางพิษน้อยชอบก็ดีแล้ว พี่จุนตกลง คราวหลังก็เรียกมันว่ามาโปโต้วฟู่”

ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ

นางไม่ต้องการเสียเวลาเปลืองสมองกับเกมคำศัพท์เหล่านี้

ซูจิ่นซีไม่ได้ทานอันใดมาทั้งวัน ตอนนี้ท้องของนางหิวมาก จึงหาที่ที่เหมาะสมและนั่งลงข้างโต๊ะ

อู๋จุนรีบเข้ามานั่งข้างซูจิ่นซี เขาคีบอาหารให้ซูจิ่นซีอย่างใส่ใจ ระหว่างรับประทานยังไม่ลืมพูดคุยกับนางอย่างต่อเนื่อง

เป็นเรื่องแน่นอนแล้วว่า แม่นางพิษน้อยตัดสินใจไปจากเยี่ยโยวเหยา ไม่ว่าต่อไประหว่างพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของเขาที่จะได้แสดงฝีมือให้นางเห็น

ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง แม่นางพิษน้อยอาจมองเห็นความดีของเขามากกว่าเยี่ยโยวเหยา และตกหลุมรักเขาแทน!

ดังนั้น เขาต้องพับแขนเสื้อขึ้นและตั้งใจทำแต้ม